“ใช่แล้ว ไม่ว่าพร์ของเย่เฟิงคนนี้จะวิปริตแค่ไหน ก็แค่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 เท่านั้น จะพลิกสถานการณ์ทั้งหมดได้เยี่ยงไร?” ผู้คนได้ยินคำพูดของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นต่างก็คิดเช่นนี้
“ข้าขอถามเ้า จู่ ๆ เ้าก็เข้าร่วมเช่นนี้ จุดประสงค์ของเ้าคืออะไร?” จ้าวหยางเอ่ยถามเย่เฟิง
“แน่นอนว่าต้องเข้ามร่วมต่อสู้น่ะสิ” เย่เฟิงกล่าวเสียงเรียบ จากนั้นเขาหันไปมองผู้ฝึกยุทธ์สำนักยุทธ์เทียนเสวียน “อีกสองคน มีศิษย์พี่ท่านไหนยินดีร่วมสู้ไปกับเย่เฟิงคนนี้บ้าง?”
ถ้อยคำของเย่เฟิงฉะฉาน เขาคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 ตามกฎแล้ว จำต้องมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 และ 3 เข้าร่วมด้วย
“ข้าสองคนยินดีร่วมสู้ไปกับศิษย์น้องเย่!” จู่ ๆ มีผู้ฝึกยุทธ์สองคนเดินออกมาจากฝูงชน สองคนนี้คือเกาจื้อผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 2และฉางหย่งผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3
“ฝ่ายราชวงศ์ท่านใครจะออกมา?” เย่เฟิงพยักหน้าให้เกาจื้อและฉางหย่ง จากนั้นหันไปพูดกับจ้าวหยาง
“ข้าสามคนจะจัดการเขาเอง!” ไม่รอให้จ้าวหยางกล่าวสิ่งใด จู่ ๆ มู่เยี่ยนก็เสนอตัวด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม จากนั้นเขา หลงเซ่าเจี๋ย และิเสวียนก็เดินออกจากฝูงชนผู้ฝึกยุทธ์ราชวงศ์ มู่เยี่ยนมองเย่เฟิงด้วยสายตาดูแคลน วันนี้เขาต้องชะล้างความอัปยศในอดีตให้ได้
“ไม่คิดว่าตบะของเ้าจะก้าวหน้าเร็วถึงเพียงนี้ แต่เ้าในตอนนี้ก็ยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเผชิญหน้ากับข้า!” มู่เยี่ยนกล่าว พลังต่อสู้ของเขาพัฒนาไปมาก จึงมั่นใจว่าตนจะจัดการเย่เฟิงได้อย่างแน่นอน
“งั้นหรือ?” เย่เฟิงปรายตามองมู่เยี่ยน ก่อนจะกล่าวพลางแสยะยิ้มว่า “ในเมื่อเ้ามั่นใจเพียงนี้ เช่นนั้นก็เริ่มเลยเถอะ!”
เย่เฟิงเอาสองมือไพล่หลัง เสื้อคลุมพลิ้วไหว สีหน้าของเขายังเฉยเมย แต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ บัดนี้เย่เฟิงบรรลุขั้นยุทธ์แท้แล้ว พลังต่อสู้ก็ย่อมแกร่งขึ้นหลายเท่า
“ในเมื่อเ้าอยากเล่นถึงเพียงนี้ เช่นนั้นข้าก็จะสงเคราะห์เ้า!” มู่เยี่ยนกล่าว จากนั้นพลังปราณปะทุออกจากร่างเขา พร้อมแสงแห่งาปกคลุมร่างเขา ทันใดนั้นเขาเหวี่ยงหมัดที่อัดแน่นไปด้วยพลังแห่งขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 และหนักเกิน 150,000 จินโจมตีฝ่ายตรงข้ามทันที
ทว่าเย่เฟิงยังคงยืนอยู่ที่เดิม เมื่อหมัดของมู่เยี่ยนเข้ามาใกล้ตัวเขา เขาจึงจะเหวี่ยงหมัดออกไป ก่อนจะเข้าปะทะกับหมัดของมู่เยี่ยน ตามมาด้วยเสียงะเิดังสนั่น มู่เยี่ยนรู้สึกว่ามีพลังทำลายล้างบุกรุกร่างกายเขา มันทำลายอวัยวะภายในส่งผลให้สีหน้าของมู่เยี่ยนดูไม่ได้ พร้อมกับถอยหลังไปหลายสิบก้าวจึงจะตั้งหลักได้
“เป็ไปได้อย่างไร? เ้าแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร?” มู่เยี่ยนกล่าวด้วยความใขณะมองเย่เฟิง ตอนเขาบรรลุขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 ก็เชื่อมั่นในพลังของตนมาก คิดว่าตนสามารถเอาชนะเย่เฟิงง่าย ๆ แต่บัดนี้ทั้งสองคนปะทะกันอีกครั้ง มู่เยี่ยนกลับรู้สึกว่าพลังของเย่เฟิงแข็งแกร่งจนเขาต้านทานไม่ไหว แม้เขาจะอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 ก็ยังรับการโจมตีของเย่เฟิงไม่ได้
“อ่อนหัด!” เย่เฟิงเย้ยหยัน ตอนเขาอยู่ขั้นรวมชี่สูงสุดก็มีพลังมากพอที่จะสู้กับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 5 ทั่วไปได้แล้ว บัดนี้เขาบรรลุขั้นยุทธ์แท้ พลังย่อมเพิ่มพูนขึ้นกว่าเดิม เพียงหมัดเดียวของเขาก็มีพลังเกินสองแสนจิน แม้มู่เยี่ยนจะมีตบะสูงกว่า แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่เฟิง
“สวบ!” เห็นเย่เฟิงก้าวออกมา ก่อนจะมาเยือนเบื้องหน้ามู่เยี่ยนในพริบตา พร้อมกับรัวหมัดที่มีพลังเกินสองแสนจินโจมตีอย่างต่อเนื่อง มู่เยี่ยนถูกซัดถอยหลังไปหลายก้าว ตัวต้องสั่นสะท้าน อวัยวะภายในได้รับผลกระทบจากพลังที่รุนแรงนั่นและเหมือนกำลังถูกทำลาย จนใบหน้าเขาต้องขาวซีด ทันใดนั้นหมัดของเย่เฟิงมาเยือนอีกครั้ง ในที่สุดมู่เยี่ยนก็ทนไม่ไหว จึงถูกซัดกระเด็นออกไปพร้อมกระอักเื
“ก่อนหน้านี้ข้าเตือนเ้าแล้ว ว่าต่อไปอย่ามายั่วยุข้าอีก และเ้าต้องเข้าใจนะว่า ข้าคือคนที่เ้ามิอาจเอาชนะได้ไปชั่วชีวิต!” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็นขณะมองมู่เยี่ยนที่นอนหมดสภาพอยู่บนพื้น
เมื่อผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายราชวงศ์เห็นมู่เยี่ยนพ่ายแพ้เย่เฟิงต่างก็เบิกตาโพลงด้วยความใ สามารถคว้าที่หนึ่งในงานชุมนุมหวงปั่งมาครองได้ พลังของเย่เฟิงผู้นี้น่าสะพรึงกลัวตามคาด เขาสามารถเอาชนะมู่เยี่ยนได้อย่างง่ายดาย ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก
เมื่อกล่าวจบ เย่เฟิงก็หันไปมองศึกของหลงเซ่าเจี๋ยกับฉางหย่ง ซึ่งหลงเซ่าเจี๋ยสมกับเป็ผู้ฝึกยุทธ์ในรายนามเฟิงอวิ๋น เพียงเวลาสั้น ๆ ก็กำราบฉางหย่งลงได้
“หมัดนี้ ดูซิว่าเ้ารับได้ไหม!” หลงเซ่าเจี๋ยเหยียดยิ้มมุมปาก จากนั้นสำแดงหมัดที่อัดแน่นด้วยพลังสิบส่วนของตนโจมตี เขาพยายามกำจัดฉางหย่งด้วยหมัดนี้ แต่ขณะนั้นมีเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวตรงกลางระหว่างหลงเซ่าเจี๋ยกับฉางหย่ง พร้อมกับเหวี่ยงหมัดออกมาด้วยความเร็วปานฟ้าแลบ ก่อนจะเข้าปะทะกับหมัดของหลงเซ่าเจี๋ย
“ตูม!” สองหมัดเข้าปะทะกัน พลันคลื่นพลังทำลายล้างแพร่กระจาย หลงเซ่าเจี๋ยรู้สึกว่ามีพลังไร้เทียมทานสายหนึ่งบุกรุกเข้ามาในร่างเขา ทำให้เขาตัวสั่นสะท้าน ก่อนร่างจะถูกซัดกระเด็นออกไปพร้อมกระอักเื ซึ่งเงาร่างนี้ก็คือเย่เฟิง แม้แต่มู่เยี่ยนยังถูกหมัดของเย่เฟิงกำราบ จึงยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพลังของหลงเซ่าเจี๋ย
“ศิษย์พี่ฉาง คงต้องยกิเสวียนให้ท่านสองคนจัดการแล้ว!” เย่เฟิงหันไปกล่าวกับฉางหย่งโดยไม่ปรายตามองหลงเซ่าเจี๋ย
“ได้!” ฉางหย่งตอบรับขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาซาบซึ้ง พร้อมกับในใจเลื่อมใสศรัทธาเย่เฟิงยิ่งกว่าเดิม จากนั้นเย่เฟิงยืนอยู่ที่เดิมพลางเอาสองมือไพล่หลัง เพื่อรอดูผลลัพธ์ ส่วนฉางหย่งแม้ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ในรายนามเฟิงอวิ๋น แต่เมื่อสองคนร่วมมือกัน ก็สามารถจัดการิเสวียนที่อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 ได้อย่างราบรื่น ไร้ซึ่งอุปสรรคใด ๆ
ิเสวียนถูกศัตรูล้อมหน้าล้อมหลัง จนไม่นานก็พ่ายแพ้ เมื่อจ้าวหยางเห็นฉากนี้ก็เผยหน้าเขียว มู่เยี่ยน หลงเซ่าเจี๋ย และิเสวียนคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 ถึง 3 ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเขา แต่บัดนี้สามคนนี้กลับพ่ายแพ้ราบคาบ มู่เยี่ยนและหลงเซ่าเจี๋ยถูกเย่เฟิงคนเดียวทำร้ายจนได้รับาเ็สาหัส ส่วนิเสวียนที่เหลือคนเดียวก็ไร้ประโยชน์
“นี่น่ะหรือผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายราชวงศ์ ร้ายกาจตามคาดเลยนะ!” เย่เฟิงถากถางขณะมองจ้าวหยาง
“ฝ่ายข้าชนะสามศึก ส่วนฝ่ายเ้าเพิ่งชนะแค่ศึกเดียว แล้วมีสิทธิ์อะไรมาอวดดีต่อหน้าข้า?” จ้าวหยางกล่าวเสียงเย็น
“พวกเ้าสามคนออกไปสู้!” จากนั้นจ้าวหยางหันไปกล่าวกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ถึง 6 ที่ลงสนามไปก่อนหน้านี้
“ขอรับ ท่านอ๋อง!” ทั้งสามคนรับคำสั่งด้วยสีหน้ามั่นใจ
“ฝ่ายสำนักยุทธ์เทียนเสวียนมีใครไหม? หากไม่มีก็ยอมแพ้ซะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลา!” ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 กล่าวเสียงเย็น ก่อนหน้านี้พวกเขาสามคนเอาชนะฝ่ายสำนักยุทธ์เทียนเสวียนได้อย่างง่ายดาย ซึ่งคาดว่าสามคนนั้นคือคนที่แข็งแกร่งสุดในสามระดับนี้ของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนแล้ว ฉะนั้นพวกเขาย่อมไม่เกรงกลัวคนอื่น
หลังจากกล่าวเช่นนั้น ผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายสำนักยุทธ์เทียนเสวียนก็เผยสีหน้าเคร่งขรึมอีกครั้ง ต่อให้เย่เฟิงแข็งแกร่งเพียงใด ก็ทำได้เพียงคว้าชัยชนะในกลุ่มระดับของเขาเท่านั้น ส่วนกลุ่มระดับอื่น ฝ่ายสำนักยุทธ์เทียนเสวียนอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด หากเป็เช่นนี้ ฝ่ายแพ้ก็ยังคงตกเป็ของสำนักยุทธ์เทียนเสวียน
“พวกเ้าสามคนไปสู้กับพวกเขา” ฉินเจิ้นถิงหันไปกล่าวกับผู้ฝึกยุทธ์สามคนที่อยู่ด้านหลัง สามคนนั้นรับคำสั่ง ก่อนจะไปเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้าม แต่ทันใดนั้นเย่เฟิงกลับห้ามพวกเขา
“ศิษย์น้องเย่มีอะไรหรือ?” หนึ่งในสามคนนั้นเอ่ยถาม
“ให้ข้าสู้แทนศิษย์พี่ท่านนี้” เย่เฟิงกล่าวขณะมองผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาสามคน เมื่อผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายราชวงศ์ได้ยินต่างก็ตะลึงงัน และมองเย่เฟิงด้วยสายตาเหลือเชื่อ
“เขาพูดว่าจะสู้แทนผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 เขาไปเอาความกล้ามาจากไหนกัน?” ผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายราชวงศ์คนหนึ่งกล่าว
“อย่าดูถูกเย่เฟิงคนนี้ ในงานชุมนุมหวงปั่ง เขาอยู่แค่ขั้นรวมชี่ที่ 8 ก็เอาชนะพลเหล็กกล้าหนึ่งในสี่มหาพลแห่งอาณาจักรเว่ยได้แล้ว แม้พลเหล็กกล้าจะอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 แต่พลังต่อสู้ก็ถึงมาตรฐานของขั้นยุทธ์แท้ที่ 4” ผู้ฝึกยุทธ์อีกคนนึกถึงศึกของเย่เฟิงกับพลเหล็กกล้าในงานชุมนุมหวงปั่ง จึงอดพูดขึ้นมาไม่ได้
“พลเหล็กกล้าแข็งแกร่งจริง แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ของฝ่ายราชวงศ์จ้าวก็ไม่ด้อยไปกว่าเขาหรอก ข้าไม่คิดว่าเย่เฟิงจะแข็งแกร่งเท่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ได้” หลังจากเย่เฟิงออกตัวว่าจะสู้แทนผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ผู้คนก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ ผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายราชวงศ์บางส่วนก็ยิ่งดูแคลนเย่เฟิง คิดว่าเย่เฟิงยโสโอหัง ถึงอย่างไรศึกต่อสู้นี้ต้องดำเนินทั้งหมดหกคน หากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 5 หรือ 6 ของฝ่ายราชวงศ์ล้อมกรอบเย่เฟิงหมายสังหาร เช่นนั้นเย่เฟิงก็เจอหายนะเข้าแล้ว
“เย่เฟิงเ้าเพิ่งทะลวงขั้นพลัง ไม่ง่ายที่จะเข้าร่วมศึกระดับนี้ ให้พวกเขาไปเถอะ” ฉินเจิ้นถิงกำชับเย่เฟิง เขาไม่หวังให้เย่เฟิงเสี่ยงอันตรายเพราะศึกต่อสู้นี้ ถึงอย่างไรในใจของพวกเขา ตบะของเย่เฟิงก็ยังต่ำต้อยเกินไป
“ไม่เป็ไร!” เย่เฟิงกล่าว เมื่อฉินเจิ้นถิงเห็นความมุ่งมั่นของเย่เฟิงก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงเรียกผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 คนนั้นกลับมา
“เย่เฟิง เ้าอาสาสู้แทนคนเดียว เช่นนั้นพวกเราจะปฏิบัติต่อเ้าเยี่ยงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 หากเ้าตกตายในศึกนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับข้า ทุกอย่างคือสิ่งที่เ้าเลือกเอง” จ้าวหยางกล่าวพลางแสยะยิ้ม
“แน่นอน กลับกัน หากข้าฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ของฝ่ายท่าน นั่นถือเป็เื่สมเหตุสมผล” เย่เฟิงตาเผยประกายเฉียบคม เขารู้ว่าองค์ชายใหญ่จะใช้โอกาสนี้ลงมือฆ่าเขา
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเ้า!” จ้าวหยางกล่าว
“หาที่ตายก็ต้องรับผลที่จะตามมาเอง ตายเสียเถอะ!”
เมื่อสิ้นเสียงจ้าวหยาง ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ฝ่ายราชวงศ์คนนั้นก็สำแดงพลังบุกโจมตีเย่เฟิง ซึ่งคนผู้นี้เป็คนของกองทัพอาณาจักรจ้าว มีพลังต่อสู้แกร่งกล้า และไม่ใช่คนที่มู่เยี่ยนจะเทียบเคียง
ขณะนั้นกระบองหลิวจินปรากฏในมือเขา ก่อนเขาจะพาดกระบองนี้ที่หนักดุจทองคำไปที่ศีรษะเย่เฟิง การโจมตีนี้เพียงพอที่จะบดขยี้ศีรษะของเย่เฟิงได้อย่างง่ายดาย
จู่ ๆ เย่เฟิงใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อพร้อมแสงดาวปกคลุมร่าง ในขณะที่หลบหนีกระบองของอีกฝ่าย เขาก็เหวี่ยงหมัดโจมตีไปที่อกของอีกฝ่ายทันที
ส่วนศึกของผู้ฝึกยุทธ์คนอื่น ๆ ก็เริ่มในเวลาไล่เลี่ยกัน และดำเนินไปอย่างดุเดือด แต่ผู้คนส่วนใหญ่จะชมศึกของเย่เฟิงกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 คนนั้นเสียมากกว่า
เผชิญหน้ากับหมัดของเย่เฟิงเช่นนี้ ทำผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 คนนั้นรู้สึกเกินคาด คล้ายนึกไม่ถึงว่าเย่เฟิงจะเคลื่อนไหวคล่องแคล่วและว่องไวได้มากถึงเพียงนี้ จากนั้นเขาชักกระบองหลิวจินกลับมาด้วยความรวดเร็ว เพื่อพยายามต้านหมัดของเย่เฟิง
