ยามสนธยาวันต่อมา ภายในโรงเตี๊ยม
จางเจิ้นซานนั่งที่โต๊ะด้วยสีหน้าเ็ารับฟังจ้าวผิงที่รายงานสถานการณ์อย่างรวดเร็วอยู่ด้านข้าง
หลังจากฟังรายงานจบ จางเจิ้นซานก็เงียบงันชั่วขณะ จากนั้นยืนขึ้นอย่างกะทันหันโบกมือแก่มุสิกเทาที่แทะผลไม้อยู่บนโต๊ะ สัตว์ตัวเล็กนี้จึงหยุดเคลื่อนไหวและเงยขึ้นมองจางเจิ้นซาน เห็นได้ชัดว่ามันกริ่งเกรงอยู่ แต่หลังจากถูกจ้าวผิงส่งเสียงเร่งรัดก็ปีนป่ายขึ้นไหล่จางเจิ้นซานอย่างว่องไว
“นายท่านจะออกไล่ล่าในบัดดล?” จ้าวผิงอดไม่ได้ต้องเอ่ยปากถาม “นายท่านเร่งรุดมาที่นี่ต้องสิ้นเปลืองพลังิญญามากมาย สมควรพักผ่อนฟื้นกำลังก่อน”
“ข้ารู้กำลังตนเองดี!” จางเจิ้นซานขมวดคิ้วเล็กน้อยกล่าวอย่างชัดแจ้ง ก่อนจะเดินออกจากโรงเตี๊ยมโดยไม่รีรอ
เห็นเงาร่างจางเจิ้นซานออกไปอย่างเร่งร้อน จ้าวผิงถอนใจอย่างแ่เบาพึมพำกับตนเอง “ด้วยฝีมือด่านภูติญญา นายท่านย่อมรับมือกับผู้ฝึกปรือิญญาด่านวีรชนิญญาอย่างปลอดโปร่ง แต่ข้ากลับรู้สึกอยู่ตลอดว่าคนผู้นั้นยังมีบางอย่างเก็บงำไว้ การต่อสู้คราก่อนนั่นย่อมไม่ใช่ฝีมือทั้งหมดของมัน หวังว่านายท่านจะไม่เสียความเยือกเย็นเพราะความเคียดแค้น...”
… … … …
มุสิกเทาตามรอย เป็อสูริญญาระดับหนึ่ง ซึ่งเป็ระดับต่ำสุดในบรรดาอสูริญญา โดยปกติจะไม่เป็อันตรายและไม่อาจเลื่อนระดับได้ แต่พวกมันกลับมีคุณค่าต่อบางคนอย่างยิ่งเนื่องเพราะความสามารถพิเศษของมันที่เรียกว่า การตามรอย!
หากน้ำลายมันกระทบถูกร่างกายของเป้าหมาย หลังจากนั้นสามวันไม่ว่าเป้าหมายจะหลบหนีหรือซุกซ่อนอยู่ที่ใด จะถูกมุสิกเทาตามรอยค้นพบตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ
มิหนำซ้ำ นอกจากจะล้างน้ำลายมันด้วยน้ำยาพิเศษแล้ว ก็ไม่มีหนทางใดจะหลบหนีได้พ้น
ไม่ถึงชั่วยามครึ่ง ภายใต้การนำทางของมุสิกเทาตามรอย จางเจิ้นซานก็มาถึงริมแม่น้ำที่ไป๋หยุนเฟยหยุดพักเมื่อคืนก่อน
หลังจากมาถึงที่นี้ มุสิกเทาตามรอยก็พลันส่งเสียงแ่เบา จางเจิ้นซานจึงหยุดเท้าอย่างสงสัยและเห็นสัตว์ขนาดเล็กนี้ะโลงจากไหล่วิ่งไปหยุดที่ริมแม่น้ำชั่วครู่ ราวกับไม่แน่ใจบางอย่างก่อนจะวิ่งวนไปทั่วบริเวณ พร้อมกับจมูกอันเล็กของมันขยับสูดดมไม่หยุดยั้ง
“ไม่คิดว่าคนผู้นี้จะตื่นตัวอย่างยิ่ง มันกลับล้างน้ำลายของมุสิกเทาตามรอยอย่างระมัดระวังที่บริเวณนี้!” เมื่อเห็นท่าทางของมุสิกเทา สีหน้าจางเจิ้นซานก็แปรเปลี่ยนไป มันแค่นหัวเราะอย่างเ็าก่อนจะสงบคำปล่อยให้มุสิกเทาค้นหาเป้าหมายต่อไป “มันจะทำอันใดได้อีก? หากไม่ได้ล้างด้วยน้ำยาพิเศษก็เพียงทำให้ข้าเสียเวลาอีกเล็กน้อยเท่านั้น แต่อย่าหวังว่าจะหนีพ้นเงื้อมมือข้าไปได้!”
เป็อย่างที่มันกล่าวจริงๆ เพียงไม่นานมุสิกเทาก็พลันวิ่งไปตามแม่น้ำขณะส่งเสียงอย่างตื่นเต้นก่อนจะปีนป่ายกลับขึ้นไหล่ของจางเจิ้นซานอีกครา จางเจิ้นซานแสดงสีหน้ายินดีรีบพุ่งกายไปตามทิศทางนั้นโดยไม่รีรอ
จางเจิ้นซานเร่งฝีเท้าสุดกำลัง ยามวิ่งตะบึงก็ปรากฏเสียงหวืดหวือดังฝ่าอากาศออกไปท่ามกลางรัตติกาลเงียบสงัด มุสิกเทาตามรอยบนไหล่ก็ตะปบคว้าคอเสื้อด้วยกรงเล็บไว้แแ่ขณะขดตัวเป็ก้อนกลมเพื่อไม่ให้ปลิวหล่นลงจากไหล่ไป
การไล่ล่าอย่างไม่หยุดยั้งดำเนินไปตลอดทั้งคืน จนกระทั่งรุ่งเช้าอีกวันจางเจิ้นซานจึงชะงักเท้าลง หลังจากพักผ่อนหนึ่งชั่วยามและปล่อยให้มุสิกเทายืนยันทิศทาง ก็เริ่มไล่ล่าต่ออีกครา...
กระทั่งพระอาทิตย์ลับขุนเขา ดวงจันทร์เริ่มฉายแสง จางเจิ้นซานจึงหยุดยั้งลงอีกคราที่ป่าละเมาะแห่งหนึ่ง ก่อนจะนำอาหารจากแหวนช่องมิติออกมารับประทานพร้อมกับฟื้นฟูพลังิญญาที่สูญเสียไป
ยามนี้ใบหน้าจางเจิ้นซานกลับเริ่มมีร่องรอยความกังวลปรากฏขึ้น
“บัดซบ! คนผู้นี้หลบหนีไปไกลแค่ไหนกันแน่? มันสมควรวิ่งตะบึงเพียงข้ามวันเมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดไล่ตาม ก็สมควรผ่อนคลายความตื่นตัวและชะลอฝีเท้าลง... ทว่าแม้ข้าจะไล่ล่าสุดฝีเท้าก็ยังไม่อาจพบเห็นร่องรอยของมัน”
“หากข้าคลาดโอกาสนี้ไป ไม่ทราบจะมีโอกาสหามันพบอีกหรือไม่ หากมันหลบหนีออกจากมณฑลฉิงหยุนได้ ข้าก็แทบหมดโอกาสล้างแค้นให้แก่หยางเอ๋อร์แล้ว!”
“ผ่านไปสองวันแล้ว เหลืออีกเพียงวันเดียว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไล่ล่ามันให้พบภายในพรุ่งนี้!”
วันต่อมาซึ่งเป็วันสุดท้ายของกำหนดเวลาในการไล่ล่า จางเจิ้นซานถึงกับไม่พักผ่อนทุ่มเทกำลังไล่ล่าไม่หยุดยั้ง
ยามบ่าย เมื่อเหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึงครึ่งวันจะเป็เส้นตายของการไล่ล่า สีหน้าจางเจิ้นซานกลับกลายเป็วิตกกังวล ปรากฏร่องรอยความสิ้นหวังฉายชัดบนใบหน้า “หรือว่า... ข้าไม่อาจไล่ล่ามันทันได้จริงๆ?”
ทันใดมุสิกเทาตามรอยบนไหล่มันพลันร่ำร้องเสียงต่ำ เมื่อเห็นท่าทางผิดปกติของมันจางเจิ้นซานรีบหยุดเท้ามองจ้องมองด้วยท่าทีตึงเครียด
มุสิกตัวเล็กนี้ใช้จมูกสูดดมอย่างระมัดระวัง ก่อนจะร่ำร้องออกมาสองคราพร้อมกับตะกุยกรงเล็บแ่เบาอย่างตื่นเต้น
“พวกเราเข้าใกล้แล้ว?! ในที่สุดข้ามาถึงใกล้ตัวมัน!!” เห็นท่าทีของมุสิกเทา จางเจิ้นซานก็อดไม่ได้ต้องโห่ร้องอย่างตื่นเต้นยินดี
หลังจากวางมุสิกเทากลับบนไหล่ จางเจิ้นซานก็วิ่งตะบึงไปด้านหน้าอีกครา
ครึ่งชั่วยามต่อมา ขณะปีนป่ายขึ้นยอดเขาเล็กๆ มุสิกเทาพลันส่งเสียงแหลมสูงพร้อมกับท่าทีตื่นเต้นอย่างยิ่ง จางเจิ้นซานลอบยินดีในใจ จากนั้นกวาดตามองเบื้องล่างอย่างละเอียดจึงพบเห็นทุ่งหญ้าเชิงเขาปรากฏเงาร่างคนผู้หนึ่งวิ่งตะบึงเข้าสู่ป่าเบื้องหน้า
คนผู้นั้นดูเหมือนจะเป็ชายหนุ่มผู้หนึ่ง ชั่วขณะนั้นแม้มันจะไม่วิ่งตะบึงแต่ก็ไม่เชื่องช้าเช่นกัน
ยามที่จางเจิ้นซานมองเห็นเงาร่างคนผู้นั้น ทั้งร่างมันก็สั่นระริก สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็บิดเบี้ยว ความเคียดแค้นเดือดดาลพวยพุ่งออกจากสองตาไม่หยุดยั้ง
“เป็มัน! ต้องเป็มันอย่างแน่นอน! ในที่สุดก็ไล่ตามเ้าทัน! ข้าจะไม่ยอมให้เ้าหลุดรอดไปได้เด็ดขาด ถึงเวลาชดใช้ต่อการตายของบุตรชายข้าด้วยชีวิตเ้าแล้ว!!”
… … … …
คืนนั้น หลังจากพบว่าศัตรูมีวิธีไล่ล่าตนเองได้ ไป๋หยุนเฟยจึงเร่งฝีเท้าวิ่งตลอดสองวันสองคืน นอกจากหยุดพักฟื้นพลังแล้วมันก็ไม่หยุดเท้าแม้แต่ครู่เดียว!
อีกอย่าง ไม่ทราบว่าเป็เพราะมันคิดไปเองหรือไม่ แต่ผ่านไป่หนึ่งยามที่ยกมือขวาขึ้นสูดดม มิคาดไป๋หยุนเฟยกลับได้กลิ่นประหลาดนั้นอย่างเบาบาง การพบเห็นครั้งนี้สร้างความกังวลแก่มันอย่างยิ่ง เกือบทุกคราที่หยุดพักจะต้องใช้เวลาชั่วน้ำเดือดขัดหลังมือไม่หยุด ราวกับทำเช่นนี้จะช่วยให้มันรู้สึกผ่อนคลายลงได้บ้าง...
สองวันต่อมา ในที่สุดไป๋หยุนเฟยก็ไม่อาจฝืนทนวิ่งตะบึงทั้งวันทั้งคืนได้ หลังจากพักผ่อนครึ่งคืนก็ชะลอฝีเท้าลงขณะที่มุ่งหน้าต่อไป
นี่กลับต้องขอบคุณการใช้ท่าเท้าเหยียบคลื่นติดต่อกันสองวันสองคืนไม่หยุดยั้ง ที่ทำให้ไป๋หยุนเฟยเชี่ยวชาญเคล็ดิญญานี้ขึ้นอย่างคาดไม่ถึง หากฝึกฝนตามปกติต่อให้ไม่เกียจคร้านก็ต้องใช้เวลาถึงสิบวันจึงจะชำนาญท่าเท้าเหยียบคลื่นถึงระดับนี้ได้
ยามบ่าย หลังจากปีนป่ายถึงยอดเขา มันหยุดพักรับประทานอาหารแล้วจึงมุ่งหน้าลงสู่ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ด้านล่าง ถัดไปเบื้องหน้าไม่ไกลเป็ป่าทึบ ไป๋หยุนเฟยหมายจะตัดทะลุป่าออกไปโดยหวังว่าจะพบบ้านเรือนผู้คน
แต่เมื่อมองดูทุ่งหญ้าและป่าไม้กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาเบื้องหน้า ไป๋หยุนเฟยแทบจะร่ำไห้ออกมา
“ที่นี่คือ... ข้าอยู่ที่ไหนกันแน่?”
