หลิวผิงไม่ได้ไต่ถามอีก อย่างไรเสียบิดามารดาเขาต่างไม่กังวลใจ อาจเพราะเด็กในเขตูเาล้วนเป็เช่นนี้กระมัง
ร้องทักให้สองคนดื่มชา แล้วพูดคุยเรื่อยเปื่อยอีกไม่กี่ประโยค จึงได้ทราบว่าบ้านใหม่ของพวกเขาสร้างเสร็จแล้ว ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้กำลังจะย้ายบ้าน หลิวผิงแสดงความยินดีไปหนึ่งรอบ รีบกล่าวว่าถึงเวลาจะไปอวยพรด้วยตัวเองแน่นอน ทำเอาคู่สามีภรรยาหูฉางกุ้ยและหลี่ซื่อตื่นเต้นจนเอาแต่กล่าวออกมาว่าขอบคุณ
หลังจากนั้น หลิวผิงจึงเสนอราคาซื้อโสมคนไว้ในราคาสูงถึงสองร้อยเหลียงอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม แม้โสมคนต้นนี้จะมีอายุมากหน่อย แต่รากโสมหักไป ตามราคาตลาดแล้วหากเปลี่ยนเป็คนที่ไม่เกี่ยวข้องกัน หลิวผิงคงให้ราคามากที่สุดแค่หนึ่งร้อยห้าสิบเหลียง แต่นี่คือผู้ใดกันล่ะ สกุลหูแห่งหมู่บ้านวั้งหลินเลยเชียวนะ! เป็แหล่งเสบียงอาหารที่ช่วยชีวิตของคุณชาย อย่าว่าแต่สองร้อยเหลียงเลย หากขายหนึ่งพันเหลียงพวกเขาก็ต้องยิ้มแล้วรับซื้อไว้
คิดรวมกับเศษเงินของกระต่ายกับไก่แล้ว หลิวผิงจึงไปส่งสองคนออกจากร้านด้วยตัวเอง
“คุณชาย นี่เป็โสมคนที่สกุลหูนำมาด้วยวันนี้ขอรับ”
หลิวผิงยื่นกล่องเล็กใส่โสมคนออกไปอย่างนอบน้อม
“อื้ม” กู้ฉีวางพู่กันขนหมาป่าในมือลง เงยศีรษะขึ้นจากหน้าโต๊ะ บนใบหน้าผอมซูบยังคงมีสีหน้าของคนป่วยอยู่สองสามส่วน ดีที่ว่าดวงตาหนึ่งคู่ใสสะอาดมองแล้วยังมีชีวิตชีวาอยู่บ้าง กู้ฉีเอาโสมคนเข้ามามองใกล้ๆ ด้วยความสนใจค่อนข้างมาก เขาเคยเห็นโสมคนมาไม่น้อย โสมคนร้อยปีนี่สำหรับคนธรรมดานับว่าล้ำค่า แต่สำหรับคนสูงศักดิ์ครอบครัวขุนนางตำแหน่งสูงและมีอำนาจมากแล้วกลับเป็ของธรรมดา
“อายุยังไม่ถึงร้อยปี บอกว่าเป็แม่นางหูขึ้นเขาเองแล้วขุดเจอ นับว่าหาได้ยากขอรับ” หลิวผิงยิ้มและกล่าว
“…แค่กๆ เด็กสาวผู้นั้นขึ้นเขาขุดเอง?” กู้ฉีใช้มือปิดปากไอสองครั้ง บนใบหน้าขาวซีดเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ครอบครัวพวกเขาไม่ใช่ว่าหาเงินได้จำนวนหนึ่งหรือ? ทำไมยังต้องขึ้นเขาขุดสมุนไพร โผล่ไปที่ที่อันตรายด้วย
หลิวผิงรีบเล่าคำของหูฉางกุ้ยซ้ำอีกหนึ่งรอบ
กู้ฉีพยักหน้าน้อยๆ เหมือนกำลังไตร่ตรองอะไรอยู่ แมวดำที่ดูบ้านๆ แต่งดงามหยิ่งยโสตัวนั้น กล่าวกันว่าเป็ครอบครัวหูช่วยชีวิตกลับมาจากในเขา ดูแล้วฉลาดเฉียบแหลมมาก ไม่คิดเลยว่าจะเข้าใจพาเด็กสาวผู้นั้นไปขุดโสมคน นี่นับว่าเป็วิธีตอบแทนบุญคุณของสัตว์ที่ประหลาดตามหุบเขาและท้องทุ่งกระมัง
“ในเมื่อครอบครัวหูสร้างบ้านใหม่เสร็จสิ้น พวกเราควรไปอวยพร” กู้ฉีสั่งงาน “เ้าให้กู้จงเตรียมของขวัญอวยพรที่เหมาะสมให้เรียบร้อย”
“…คุณชาย ท่านจะรุดหน้าไปกล่าวอวยพรด้วยตัวเองหรือขอรับ?” หลิวผิงงงงัน นั่นเป็เพียงครอบครัวเกษตรกรเล็กๆ ครอบครัวหนึ่ง คุณชายไปด้วยตัวเองไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง?
“อืม อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นแล้ว ควรออกจากบ้านไปขยับเขยื้อนบ้าง” กู้ฉียิ้มบางๆ หันกลับไปนั่งหน้าโต๊ะเขียนหนังสือดีๆ หยิบพู่กันที่เพิ่งเขียนตัวอักษรและยังไม่ทันแห้ง ตวัดพู่กันเขียนตอบจดหมายมารดาต่อไป
อากาศค่อยๆ อบอุ่นขึ้นแล้ว แต่… หางตาวาดผ่านกระถางไฟมุมห้องที่เผาจนแดงไปหมด หลิวผิงยกชายแขนเสื้อคลุมตัวนอกขึ้นแอบเช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วมองกู้ฉีที่สวมเสื้อขนสัตว์ตัวใหญ่อีกครั้ง มุมปากหลิวผิงกระตุกเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้่หนึ่งกู้ฉีป่วยหนักหนึ่งครั้ง ร่างกายเพิ่งจะดีขึ้นได้เล็กน้อย กลุ่มคนรับใช้เขาล้วนระมัดระวังยิ่งขึ้น กลัวมากว่าพอประมาทเพียงนิดจะทำให้เกิดอาการป่วยอื่นๆ ได้
ไปอวยพรด้วยตัวเอง? เส้นทางูเาห่างไกลลมโชยหนาวเย็น ไม่ระวังเพียงนิดอาจโดนอากาศหนาวและลมหนาวกลับมาป่วยอีก
หลิวผิงรู้สึกลำคอแน่นตึง ถอยออกไปด้วยใบหน้ากลัดกลุ้ม ทำอะไรไม่ได้แล้ว เร่งรีบมองหากู้จงแล้วไปแจ้งข่าวให้ทราบ
ั้แ่ออกจากฝูอันถัง หูฉางกุ้ยกับหลี่ซื่อเดินมาถึงมุมถนน มองหน้ากันและกันอยู่สองสามที สายตาปิดบังความเบิกบานใจไว้ไม่อยู่ เงินสองร้อยเหลียง รวมกับเงินที่สะสมไว้ของที่บ้านอีก ขอเพียงใช้จ่ายอย่างประหยัดหน่อย ชั่วชีวิตก็ไม่ต้องกระวนกระวายแล้ว
“หรงเหนียง!” หูฉางกุ้ยจูงมือของหลี่ซื่อไว้แล้วยิ้มซื่อๆ ไม่หยุด
หลี่ซื่อค่อนข้างมีสติสุขุม ดึงมือของเขาออกพร้อมกับมองซ้ายขวาอยู่ไม่กี่ครั้ง แล้วจึงถลึงตาใส่เขาหนึ่งที กล่าวเสียงเบา “นี่บนถนนใหญ่นะ ระวังหน่อย พวกเรารีบซื้อของให้เรียบร้อย กลับไปค่อยคุยกัน”
“อื้อ!” หูฉางกุ้ยพยักหน้า เงินสองร้อยเหลียงนั่นเขาเก็บไว้บนชุดรัดรูปอย่างดี เขาลูบส่วนบนของเสื้อคลุมที่นูนขึ้นแล้วอดตื่นเต้นไม่ได้
สองคนไม่กล่าวอะไรกันอีก ก้าวเท้าไปทางตลาด
เวลายังเช้าอยู่ แต่บนตัวสองคนเก็บเงินสองร้อยเหลียงไว้ จะมีกะจิตกะใจเดินเตร่ได้อย่างไร ซื้อของเสร็จด้วยความรีบเร่ง แล้วจึงขึ้นบนถนนกลับหมู่บ้าน
เพิ่งเร่งเกวียนล่อถึงหน้าบ้าน พบว่าบนพื้นเนินลาดเอียงหลังบ้านตนเองมีเสียงดังขึ้น
พอเงยหน้ามองไป ที่แท้นกอินทรีทองตัวนั้นมาวนเวียนบนต้นพุทราสองต้นอีกแล้ว
“ทำไมนกอินทรีั์นี่มาอีกแล้ว?” หลี่ซื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกปวดหัวอย่างมาก
“ใช่” หูฉางกุ้ยก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
“เลิกสนใจมัน แล้ววางของให้เรียบร้อยก่อน” หลี่ซื่อลงจากเกวียนล่อ รีบย้ายของบนเกวียนเข้าไปในบ้าน
“อื้อ” หูฉางกุ้ยตอบรับ
เจินจูเคยกล่าวว่าไม่ต้องสนใจนกอินทรีตัวนี้ มีเสี่ยวเฮยอยู่มันเฝ้าได้
นกอินทรีมาได้ครู่หนึ่ง กลับไม่เหมือนเช่นที่เคยเป็มา มันเอาแต่โผลงมาต่อสู้ระยะประชิดกับเสี่ยวเฮย เพียงวนเวียนอยู่ไม่กี่รอบ แล้วบินไปพักอยู่บนต้นไม้สูงใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง หมุนเวียนไปมาแบบนี้ ก่อกวนบรรดาชาวไร่ชาวนาที่ทำงานล้อมรั้วอยู่จนต้องหยุดดูอยู่ตลอด
“นกอินทรีตัวนี้ตัวใหญ่นัก!”
“มันเอาแต่จ้องแมวตัวนั้นทำไม?”
“…เอ๊ะ มันไม่ได้จะโฉบลงมาจิกเสี่ยวเฮยใช่ไหม?”
“เจินจู นกอินทรีั์นี่ไม่ใช่ว่าอยากกินแมวดำบ้านเ้าใช่ไหม เ้าดู มันเอาแต่จ้องเสี่ยวเฮย” หลิ่วฉางผิงะโ
เจินจูกับหลัวจิ่งกำลังยืนอยู่บริเวณต้นพุทรา พวกเขาถูกเสียงโวยวายของชาวไร่ชาวนาดึงดูดให้มาที่นี่
“…”
นางจะกล่าวว่านกอินทรีนี่พุ่งมาที่ต้นพุทราได้หรือไม่? คนที่มีความรู้ทั่วไปนิดหน่อยต่างก็รู้ว่านกอินทรีเป็สัตว์กินเนื้อ ไม่กินมังสวิรัติ
เสี่ยวเฮยสงบนิ่ง ไม่สนใจการยั่วยุของนกอินทรีเลย เอาแต่นอนฟุบอยู่บนกิ่งต้นไม้ที่มีแสงแดดอย่างเฉยเมย พอนกอินทรีเข้าใกล้จึงยกหัวขึ้นมองสองสามที
“ทำไมนกอินทรีตัวนี้ถึงได้สนใจเสี่ยวเฮยเพียงนี้?” หลัวจิ่งถาม เหยื่อเต็มป่าเขาไม่ไปจับ เอาแต่ทุ่มสุดแรงกับแมวดำหนึ่งตัว ไม่กี่วันนี้เอาแต่ตีกันอยู่หลายรอบ หรือว่ามีอย่างอื่นที่พิเศษกัน?
“…ข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า?” เจินจูแกว่งสองแขน แกล้งทำเป็ไม่รู้ไม่ชี้
หลัวจิ่งเอียงหน้ามองนางแวบหนึ่ง แสดงออกว่าไม่เชื่อ
จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ เจินจูแอบแลบลิ้นในใจ
“ท่านลุงหลิ่ว ไม่ต้องสนใจนกอินทรีตัวนั้น มันสู้เสี่ยวเฮยไม่ได้หรอก น่าจะวนอีกไม่กี่รอบก็ไปแล้วเ้าค่ะ” เจินจูยิ้ม
แหงนหน้ามองสีท้องฟ้าและกล่าวปรึกษากับหลิ่วฉางผิง “ท่านลุงหลิ่ว ท่านปู่ข้ากล่าวว่าผ่านไปอีกสองสามวันฝนอาจจะตก สองวันนี้ต้องรบกวนพวกท่านให้เร่งทำแล้ว หากสามวันนี้เร่งเสร็จได้ก็นับค่าแรงทุกคนเพิ่มขึ้นหนึ่งวัน”
“ได้ เข้าใจแล้ว เบาใจได้เลย วันนี้น่าจะขุดฐานรั้วเสร็จ พรุ่งนี้ก็สร้างกำแพงขึ้นได้แล้ว ข้าจะพยายามเร่งให้เสร็จทันเวลา” หลิ่วฉางผิงยิ้มแล้วตอบ
ดีมากเลยหากล้อมรั้วเสร็จแม้จะกั้นสัตว์ปีกไม่ได้ แต่ก็กั้นสิงสาราสัตว์บนพื้นดินได้ สบายใจได้ไปตั้งเท่าไร แค่ไม่กี่วันนี้ เสี่ยวเฮยก็ตบงูตายไปแล้วสามตัว ตีฮวนจื่อ [1] หนีไปหนึ่งตัว มารดาเถอะ... ต้นพุทรานี่ในสายตาสัตว์ที่มีสติปัญญาแล้ว เหมือนเนื้อพระถังซัมจั๋ง [2] เลยจริงๆ นางเสียใจเล็กน้อยที่ย้ายต้นไม้ออกมาปลูกข้างนอก
เสี่ยวเฮยเฝ้าปกป้องต้นพุทราทั้งวันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา ดวงตาแบ่งสีขาวดำที่ชัดเจนของเจินจูจ้องนกอินทรีั์ตัวนั้นที่สูงมากกว่าครึ่งตัวคน ขนปีกสีน้ำตาลทองเป็ประกายภายใต้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ดวงตาสองข้างเฉี่ยวคม ไม่รู้แน่ชัดว่าเป็สายพันธุ์อะไร ดูแล้วฉลาดเฉียบแหลมมากนัก
นางกลอกตาเล็กน้อย ไม่เช่นนั้นลองเจรจาซื้อตัวเ้านกอินทรีตัวนี้ไว้?
ลองหน่อยก็ได้ แต่นกอินทรีสายพันธุ์ส่วนใหญ่กินเนื้อนี่ อืม เนื้อพะโล้ที่บ้านยังมีอยู่นิดหน่อย เติมน้ำแร่จิติญญาเข้าไปเล็กน้อย หึๆ มันน่าจะชอบกิน
ตอนนี้คนมากเกินไป หาเวลาที่เหมาะสมแล้วค่อยว่ากัน
ผ่านไปหนึ่งเค่อ นกอินทรีั์วนอยู่ไม่กี่รอบ จึงไม่อยู่กวนใจเสี่ยวเฮยอีกและบินจากไป
“เฮ้อ ในที่สุดก็ไปเสียที มีนกอินทรีมองอยู่ข้างบน น่าหวาดกลัวจริงๆ”
“นั่นน่ะสิ! กลัวมากว่าจู่ๆ มันจะโฉบลงมา”
เหล่าชาวไร่ชาวนามองเงาที่ไกลออกไป พากันถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
“เฮ้อ เหล่านายท่านหนึ่งกลุ่มยืนอยู่ที่นี่ ยังจะกลัวสัตว์ปีกขนแบนเรียบตัวนั้นอีกหรือ ที่ในมือพวกท่านถืออยู่เป็ผ้าฝ้ายใช่หรือไม่” หลิ่วฉางผิงว่ากล่าวพร้อมกับหัวเราะ
คนหนึ่งกลุ่มมองหน้ากันไปกันมา ก็จริงในมือทุกคนไม่ใช่จอบก็เป็เสียม หากนกอินทรีโฉบลงมาจริง หนึ่งคนตีลงไปหนึ่งทีมันก็ตายได้แล้ว
“แหะๆ นี่ไม่ใช่ว่ามันอยู่ใกล้เกินไป ทุกคนเลยตื่นตระหนกกันทั้งหมดหรือ”
“ใช่ๆ ฮ่าๆ”
...สามวันต่อมา ในท้องฟ้ามีเมฆฝนครึ้มอยู่ครึ่งค่อนวัน แล้วก็ตกโปรยลงมาตามที่คาดไว้แต่ไม่หนัก ตกเบาๆ ติดต่อกันยาวนาน เกิดลมทางทิศใต้ตามมาเป็พักๆ ลมพัดผ่านไปทั่วทั้งูเา
กำแพงรั้วรอบเนินเขาเล็กๆ หลังบ้าน ถูกหลิ่วฉางผิงเร่งทำอยู่ครึ่งวันท่ามกลางสายฝนปรอยในที่สุดก็เสร็จสิ้น เจินจูปลื้มอกปลื้มใจอย่างมาก จ่ายค่าแรงเพิ่มหนึ่งวันด้วยคำพูดที่เชื่อถือได้ ให้หลิ่วฉางผิงจัดการมอบค่าแรงแก่ทุกคน นอกจากนี้ยังมอบน้ำมันหมูสองชั่งให้ทุกคนด้วย แต่ให้พวกเขาเอาที่ใส่น้ำมันมารับกันเอง เพราะที่บ้านไม่ได้มีที่ใส่น้ำมันมากเพียงนั้น
ชาวไร่ชาวนาที่มาทำงานดีใจกันยกใหญ่ ทุกครัวเรือนล้วนต้องใช้น้ำมันหมู น้ำมันหมูสองชั่งมีค่ามากกว่าสิบเหวิน เท่ากับได้รับค่าแรงมากกว่าหนึ่งวัน ครอบครัวหูฉางกุ้ยใจกว้างมากเสียจริง
“ขอบ... ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของท่านลุงท่านอาและพี่น้องในหมู่บ้านทุกท่าน กำ... กำแพงรั้วนี่จึงสร้างเสร็จได้อย่างราบรื่นเช่นนี้ ผ่านไปสองวันพวกข้าย้ายบ้าน ทุก... ทุกคนต้องมาทานมาดื่มกันนะ” หูฉางกุ้ยกัดฟันกล่าวให้จบอย่างตะกุกตะกัก
นับั้แ่ที่หวังซื่อบอกว่าไม่สามารถไปหานางให้ออกความเห็นได้ทุกเื่ เื่มากมายหูฉางกุ้ยเลยต้องรับภาระและออกหน้าเอ่ยเอง บุตรสาวบอกคำพูดที่เขาต้องกล่าวคร่าวๆ หนึ่งรอบ แม้เขาจะกล่าวซ้ำอย่างแข็งขืนไม่เป็ธรรมชาติเล็กน้อย แต่จะดีหรือร้ายอย่างไรก็ยังกล่าวจนจบได้
“ได้ มาแน่นอน…” ทุกคนพากันยิ้มแล้วตอบรับ ล้วนเป็คนหมู่บ้านเดียวกัน นิสัยของหูฉางกุ้ยทุกคนส่วนใหญ่ต่างเข้าใจ แล้วก็ไม่มีคนหัวเราะเยาะการติดอ่างของเขาด้วย
สกุลหูตอนนี้เป็ครอบครัวร่ำรวยของหมู่บ้านวั้งหลิน บ้านที่สร้างใหม่ไม่แย่ไปกว่าบ้านที่อยู่ในเมืองเลย คนค้าขายไปมาหาสู่ยิ่งไม่เป็สองรองใครในเมือง เวลาเช่นนี้สกุลไหนจะยังทำโง่ไม่รู้จักวางตัวได้อีก
“เอ่อ แล้วก็ คือ พื้นที่ใหญ่หนึ่งแปลงที่เหลือไว้ในบ้านใหม่ ที่เตรียมไว้ขุดสระใหญ่ รอให้งานเลี้ยงผ่านไปแล้ว หากทุกคนมีเวลายังจะขอเชิญมาช่วยกันขุดอีกนะ” หูฉางกุ้ยเช็ดเหงื่อที่ผุดออกมาบางๆ บนหน้าผากเพราะความตื่นเต้น แผลเป็บนใบหน้าของเขาเดิมทีขรุขระไม่เรียบที่เห็นว่าดำคล้ำ เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดทำเอาคนตกอกใเป็อย่างมาก ตอนนี้ไม่ใช่แค่เรียบขึ้นมากแล้ว ดูเหมือนยังค่อยๆ ปกติขึ้นด้วย เหลือเพียงรอยถลอกเก่าแก่สีอ่อนหนึ่งชั้น ความเปลี่ยนแปลงใบหน้านี้ของเขาไม่ทำให้คนใสะดุ้งโหยงอีกต่อไป และยังทำให้หูฉางกุ้ยสบายใจมากขึ้นด้วย เขาเริ่มมั่นใจในตัวเองมากขึ้นทีละนิดแล้ว
“ว่างๆ ต้องว่างอย่างแน่นอน” ทุกคนรีบตอบรับ
การปรับปรุงดินก่อนหว่านข้าวในฤดูใบไม้ผลิผ่านไปแล้ว งานในพื้นที่ที่บ้านตัวเองก็มีคนทำ พวกเขาเหล่านี้หางานหาเงินเพิ่มได้ ต้องยินดีมาหาเงินมากขึ้นหน่อยอย่างแน่นอน
“เช่นนั้น ถึงเวลาทุกคนต้องมากันทั้งหมดนะ” กล่าวคำบอกของบุตรสาวออกไปหมดแล้ว หูฉางกุ้ยผ่อนคลายลงมาก อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
“ได้เลย”
ส่งชาวไร่ชาวนาไปแล้ว เจินจูจึงคำนวณบัญชีกับหลิ่วฉางผิงที่เหลืออยู่ หลิ่วฉางผิงนับเป็หัวหน้าคุมงาน ต้องจัดการวัสดุอุปกรณ์กำลังคนและคุมงานทั้งหมด ค่าวัสดุอุปกรณ์และค่าแรงของ่แรกล้วนจ่ายไปแล้ว ที่เหลืออยู่เป็รายการที่บันทึกไว้ในบัญชีเล็กน้อยจำนวนหนึ่ง พอเจินจูตรวจสอบหนึ่งรอบแล้วก็ไม่ได้มีความแตกต่างมาก จึงให้หูฉางกุ้ยจ่ายเงินที่คงเหลือไปอย่างสบายใจ
เชิงอรรถ
[1] ฮวนจื่อ (獾子) คือ แบดเจอร์ (badger) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
[2] พระถังซัมจั๋ง คือ พระภิกษุที่บำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญามาแต่เยาว์ ในนิยายจีนเื่ ไซอิ๋ว ซึ่งบรรดาปีศาจทั่วทุกสารทิศต่างหวังทานเนื้อพระถังซัมจั๋ง เพื่อให้ได้เป็ะ