บริเวณทะเลสาบมรกตบรรยากาศเงียบสงัด เปลวเพลิงหลากสีเริงระบำบนกองกระดูกเหล่าอสูรอย่างราบเรียบ ก่อนจะกลายร่างเป็อสูรหลากชนิด
ณ ริมทะเลสาบ ศิษย์หลายพันคนจากสี่สำนักเชื้อสายรากอสูรกำลังพูดคุยเกี่ยวกับอสูรประหลาดที่เกิดจากการแปลงกายของเปลวเพลิง
“แปลกยิ่งนัก เหตุใดข้าถึงจำอสูรเ่าั้ไม่ได้เลย?”
“หรือพวกมันไม่ใช่อสูรในดินแดนหยวนซิง?”
การคาดเดานี้ทำให้ทุกคนใอย่างยิ่ง หากพวกมันไม่ใช่อสูรในดินแดนหยวนซิง เช่นนั้นจะไม่ใช่สิ่งที่มาจากนอกโลกหรอกหรือ?
จำนวนศิษย์จากสำนักหยวนซิวทั้งเจ็ดมีประมาณห้าร้อยคน อีกทั้งยังมีศิษย์จากสี่สำนักเชื้อสายรากพฤกษามากกว่าเจ็ดร้อยคน
คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เดินทางมาจากหลุมั์ และ้าสำรวจสิ่งที่ซ่อนอยู่ในทะเลสาบมรกต
หนิงเทียนและซิ่งอวี่เจวียนยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ซึ่งห่างจากทะเลสาบประมาณห้าจั้ง
น้ำในทะเลสาบสีเขียวเข้มจนมองไม่เห็นปลา ทั้งยังมีบรรยากาศที่แฝงถึงอันตราย
ยามนี้ บรรดาศิษย์เชื้อสายรากอสูรต่างกรูกันเข้ามา พร้อมกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงภายในพื้นที่เขตหนึ่ง เมื่อศิษย์หลักของเชื้อสายจื๋อซิวได้ยินเช่นนั้น หลายคนก็รีบหันหลังกลับแล้วมุ่งตรงไปยังพื้นที่เขตหนึ่ง
หนิงเทียนถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น “พี่สาวซิ่ง ในพื้นที่เขตหนึ่งมีสิ่งใดอยู่หรือ?”
“ในนั้นมีแม่น้ำและต้นไม้ริมฝั่ง และบนต้นไม้ก็มีรังงูอยู่”
ซิ่งอวี่เจวียนนึกถึงสถานการณ์ในเขตหนึ่ง ขณะที่หนิงเทียนก็ประหลาดใจอย่างมากกับคำตอบนี้
หลังจากนั้นไม่นาน ศิษย์เชื้อสายรากพฤกษาก็แจ้งว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในพื้นที่เขตสองด้วย ซึ่งเื่นี้ก็ดึงดูดให้หลายคนวิ่งออกไปเช่นกัน ส่งผลให้ริมทะเลสาบเหลือศิษย์อยู่กว่าพันคน และส่วนใหญ่เป็ศิษย์หยวนซิว
“หาคนลงไปลองดูก่อน ว่าอันตรายที่ซ่อนอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้คืออะไร?”
“ที่นี่มีศิษย์จื๋อซิวไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นก็ให้พวกเขาลอง”
ศิษย์หยวนซิวมักหยิ่งทะนงอยู่เสมอ แม้จะอยู่ในดินแดนอื่น แต่พวกเขาก็ยังคงไม่ให้ความสำคัญกับจื๋อซิวเช่นเดิม ทั้งยัง้าให้ผู้อื่นทำงานที่สกปรก เหนื่อยหน่าย และเสี่ยงอันตรายแทนตนเอง
หนิงเทียนมองพวกเขาด้วยสายตาเ็า ทว่าศิษย์จากเชื้อสายรากอสูรกลับพุ่งเข้าหาศิษย์หยวนซิวเ่าั้ทันที และก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างทั้งสองฝ่าย
เมื่อการต่อสู้ระยะประชิดเกิดขึ้น หนิงเทียนก็ได้เห็นด้วยตาตนเองอย่างชัดเจนว่าหยวนซิวมีข้อได้เปรียบอย่างยิ่งแม้จะอยู่ในขอบเขตระดับเดียวกัน และการประลองฝีมือครั้งนี้ก็ทำให้ฝ่ายจื๋อซิวคำรามอย่างหงุดหงิด
ซิ่งอวี่เจวียนถอนหายใจเบาๆ “เป็เื่ยากที่จื๋อซิวคนหนึ่งจะโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางผู้คนนับพัน แต่เทียบกับหยวนซิวแล้ว ในบรรดาร้อยคนสามารถพบเจอผู้แข็งแกร่งได้มากมาย”
หนิงเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อยและกำลังจะพูดบางอย่าง ทันใดนั้นมวลน้ำในทะเลสาบมรกตก็แหวกออกจากกันอย่างเงียบสงบ เผยให้เห็นพระราชวังผลึกแก้วโปร่งแสงในบริเวณก้นทะเลสาบ ซึ่งมีประกายแวววาวจากแก้วสีเหลืองอำพันที่ช่วยเพิ่มสีสันสดใสอันทรงเสน่ห์
เหล่าศิษย์จากกลุ่มต่างๆ ที่ต่อสู้กันริมทะเลสาบต่างหยุดมือ แล้วหันมองด้วยสายตาประหลาดใจ ก่อนจะจับจ้องไปยังพระราชวังผลึกแก้วหลากสีสัน
“เร็วเข้า! รีบเข้าไปเลย” ศิษย์จากโถงเพลิงทมิฬะโลั่น เนื่องด้วยความ้าคว้าโอกาสนี้ก่อนใคร
ศิษย์สำนักหานเทียนและศิษย์หยวนซิวอื่นๆ ต่างก็พุ่งตัวไปข้างหน้า ขณะที่ศิษย์จากสำนักจื๋อซิวทั้งแปดก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน
ซิ่งอวี่เจวียนแสดงสีหน้าตื่นเต้น ทว่ายามที่นางกำลังจะก้าวออกไปก็ถูกหนิงเทียนเข้ามาห้ามไว้
“อย่าใจร้อนเกินไป การเข้าไปในสถานที่แปลกประหลาดเช่นนี้นับว่าไม่ฉลาดนัก”
หนิงเทียนมีท่าทีสงบนิ่งอย่างมาก ขณะที่ทุกคนจ้องมองพระราชวังผลึกแก้ว แต่เขากลับสนใจกระดูกอสูรในทะเลสาบมากกว่า
เมื่อน้ำในทะเลสาบแยกเป็สองฝั่ง กระดูกอสูรบางส่วนก็ปรากฏออกมา ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนที่สังเกตเห็นว่า กองกระดูกสีขาวที่เผยขึ้นเหนือผิวน้ำก่อนหน้านี้กลับกลายเป็ว่างเปล่าหลังจากน้ำในทะเลสาบแยกจากกัน ทั้งยังซ่อนตัวอยู่ใต้ผิวน้ำของทะเลสาบ
สิ่งแปลกประหลาดเช่นนี้ทำให้หนิงเทียนรู้สึกระแวง มีสิ่งใดซ่อนอยู่ในทะเลสาบสีเขียวมรกตแห่งนี้กันแน่?
พูดตามหลักเหตุผล หากน้ำในทะเลสาบแยกออกจากกันเช่นนี้ กระดูกอสูรก็ควรเผยชิ้นส่วนที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ทว่าสุดท้ายแล้วกระดูกนั้นกลับหายไปอย่างลึกลับ
ยามนี้หลายคนเร่งรีบเข้าไปในพระราชวังผลึกแก้วแล้ว และในไม่ช้าก็มีเสียงกรีดร้องดังก้อง จากนั้นเหล่าศิษย์แต่ละสำนักก็หนีออกมาอย่างบ้าคลั่ง แต่ละคนมีท่าทีราวกับเห็นผีที่น่าขวัญผวา
ยามนี้ พระราชวังผลึกแก้วซึ่งมีกระจกเคลือบด้วยแก้วหลากสีถูกย้อมจนกลายเป็สีแดง ทันใดนั้นแผ่นศิลาสูงประมาณสองจั้งแผ่นหนึ่งก็ผุดขึ้นจากก้นทะเลสาบ ซึ่งมีเืไหลรินออกมาจนมีสภาพไม่น่ามอง
ซิ่งอวี่เจวียนตัวสั่นและพูดอย่างร้อนรน “รีบออกไปจากที่นี่เร็วเข้า!”
หนิงเทียนยังคงไม่สะทกสะท้านและเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงในพระราชวังผลึกแก้วอย่างเงียบสงบ น้ำในทะเลสาบทั้งสองด้านยังคงขยายออกไป ทั้งยังเผยให้เห็นก้นทะเลสาบที่โล่งและกว้างขึ้น
บงกชสีมรกต ต้นไม้แห้งเหี่ยว หญ้าต้นน้อย และเถาวัลย์เขียวต่างแกว่งไกวไปมาในเวลาเดียวกัน พร้อมทั้งดูดซับพลังิญญาจากฟ้าดินอย่างรุนแรงจนก่อตัวเป็กระแสน้ำวนสี่แห่ง
หลังจากเข้าสู่ขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นสี่ ความเร็วของเงารากพฤกษารอบร่างหนิงเทียนก็มาถึงระดับใหม่ ซึ่งความเร็วของรากแต่ละชิ้นเพิ่มขึ้นจากสามสิบหกเท่าเป็สี่สิบเก้าเท่า และความเร็วโดยรวมก็เพิ่มขึ้นจากหนึ่งร้อยแปดเท่าเป็หนึ่งร้อยเก้าสิบหกเท่า
นี่เป็การเพิ่มระดับที่น่ากลัวอย่างยิ่ง!
บริเวณก้นทะเลสาบ ด้านนอกพระราชวังผลึกแก้วมีแผ่นศิลาสีเืแปดสิบเอ็ดแผ่น ซึ่งทุกแผ่นล้วนมีใบหน้าที่ดุร้ายเก้าใบหน้าปรากฏขึ้น
ก่อนหน้านี้มีศิษย์หลายพันคนเร่งรีบเข้าไปในพระราชวังผลึกแก้ว แต่สุดท้ายก็มีไม่ถึงสามร้อยคนที่รอดกลับมา
หนิงเทียนปล่อยมือซิ่งอวี่เจวียนแล้วบอกให้นางรออยู่ที่นี่ พร้อมห้ามไม่ให้ทำอะไรบุ่มบ่าม จากนั้นเขาก็เดินลงไปที่ก้นทะเลสาบมรกต
พฤติกรรมที่ผิดปกติของหนิงเทียนดึงดูดความสนใจจากเหล่าศิษย์สำนักต่างๆ นอกพระราชวังผลึกแก้วมีเจตนาสังหารอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่สามารถหลบหลีกได้พ้น แล้วเ้าหนิงเทียนผู้นั้นเบื่อที่จะมีชีวิตหรืออย่างไร?
เขาเดินไปด้านหน้าแผ่นศิลาเปื้อนโลหิต พลันบงกชสีมรกตข้างกายก็ดูดซับพลังิญญาเข้าไป แล้วแผ่รังสีที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่าออกมาััความแตกต่างบนแผ่นศิลา
หนิงเทียนรู้สึกว่ามีความลึกลับซ่อนอยู่บนแผ่นศิลาเหล่านี้ และมันคือกุญแจสำคัญในการเข้าสู่พระราชวังผลึกแก้ว
เมื่อเห็นว่าหนิงเทียนปลอดภัยดี คนอื่นๆ จึงกลับมายังก้นทะเลสาบอีกครั้งด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความละโมบโลภมาก
ทันใดนั้น ป้ายสัญลักษณ์ป้ายหนึ่งก็ลอยออกมาจากแผ่นศิลา แล้วตกไปอยู่ในมือของจี้ชิว ผู้เป็ศิษย์ซิงซิว
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้ ข้าเข้าใจแล้ว!” จี้ชิวดีใจเป็อย่างมาก และรีบวิ่งเข้าไปในพระราชวังผลึกแก้วพร้อมป้ายนั้น
ผู้เห็นเหตุการณ์คนอื่นๆ ต่างอิจฉาอย่างยิ่ง ทว่าพวกเขากลับทำได้เพียงศึกษาแผ่นศิลาอย่างถี่ถ้วนต่อไป
ผ่านไปไม่นานป้ายแผ่นที่สองก็ปรากฏขึ้น และตกไปอยู่ในมือของเหยียนเริ่นเฟิงแห่งโถงเพลิงทมิฬ ซึ่งทำให้เกิดความปั่นป่วนอีกครั้ง
จากนั้นเหมยเอ้าซงจากสำนักหานเทียนก็ได้รับป้ายและกลายเป็ผู้โชคดีคนที่สาม กว่าหนิงเทียนจะได้รับป้ายและเข้าสู่พระราชวังผลึกแก้ว ก็ล่วงไปจนถึงลำดับที่ห้าแล้ว
ธารสายเล็กลอยอยู่กลางอากาศภายในพระราชวังผลึกแก้วหลากสี มีฝูงปลาแหลกว่ายอยู่ในสายธารใสสะอาด พืชน้ำพลิ้วไหว นอกจากนี้ยังมีสาหร่ายอีกด้วย
พระราชวังผลึกแก้วมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ภายในมีทั้งหมดเก้าโถง ประตูทุกบานล้วนเปิดกว้าง และมีธารน้ำลอยผ่านโถงทั้งเก้า ซึ่งเป็การไหลวนเวียนที่ไร้จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด
ในแต่ละโถงมีแผ่นหยกโปร่งใสซึ่งมีลำธารคดเคี้ยวอยู่ภายใน ทุกสายธารล้วนมีรูปร่างที่แตกต่างกัน จนผู้พบเห็นสามารถปลดปล่อยจินตนาการได้อย่างสนุกสนาน
หลังจากหนิงเทียนเข้ามาในพระราชวังผลึกแก้ว และเดินผ่านโถงทั้งเก้า เขาก็ต้องตกตะลึง
สถานที่แห่งนี้แตกต่างไปจากที่เขาคาดหวังไว้มาก เนื่องจากที่นี่ประกอบด้วยศิลาเก้าแผ่น ลำธารเก้าสาย ทางคดเคี้ยวเก้าทาง และธรรมะเก้าวิถี
หนิงเทียนค่อนข้างสับสนเล็กน้อย ซึ่งจี้ชิว เหยียนเริ่นเฟิง เหมยเอ้าซง และคนอื่นๆ ต่างก็เกาหัวและทำได้เพียงเฝ้ามองอยู่นานโดยไม่เข้าใจแม้แต่น้อย
...
วันที่เจ็ดของการชุมนุมล่าสัตว์ฤดูเหมันต์ ศิษย์หลักหลายคนรีบออกจากพื้นที่เขตหนึ่งแล้วมุ่งสู่ก้นทะเลสาบ
หลินหวาจากสำนักร้อยอสูร ตี๋เยี่ยนจวินจากสำนักทะยานเวหา เฟิ่งจิ่วอี้จากนิกายวิหคเหิน และเจียงจิ้งปัวจากโถงมัจฉาัล้วนได้รับป้ายแล้วเข้าสำรวจพระราชวังผลึกแก้วตามลำดับ
ทันใดนั้น ศิลาแปดสิบเอ็ดแผ่นก็แตกสลาย น้ำในทะเลสาบเพิ่มขึ้นสูง เป็เหตุให้ศิษย์ของทุกสำนักล้วนหวาดหวั่นจนต้องหลบหนี
ภายในพระราชวังผลึกแก้ว ป้ายเก้าแผ่นลอยขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะสถิตเข้าไปในแผ่นหยกที่แตกต่างกัน และส่งผลให้ทั้งเก้าแผ่นสั่นะเื
กระแสน้ำในแผ่นหยกยังคงเคลื่อนไหว ตัวอักษรโปร่งใสเริ่มปรากฏขึ้นทีละแผ่น ทุกคนล้วนเห็นเนื้อหาและเข้าใจความหมายในรูปแบบที่แตกต่างกัน
บรรดาเก้าคนในพระราชวังผลึกแก้ว มีหกคนที่เป็จื๋อซิว ได้แก่ หลินหวาจากสำนักร้อยอสูร เฟิ่งจิ่วอี้จากนิกายวิหคเหิน เจียงจิ้งปัวจากโถงมัจฉาั หยางิอวี่จากสำนักั์พฤกษา หนิงเทียนจากสำนักร้อยบุปผา และตี๋เยี่ยนจวินจากสำนักทะยานเวหา
ส่วนสามคนที่เหลือ คือ จี้ชิวผู้เป็ศิษย์ซิงซิว เหมยเอ้าซงจากสำนักหานเทียน และเหยียนเริ่นเฟิงจากโถงเพลิงทมิฬ
ความเข้าใจของทั้งเก้าคนมีความชัดเจนแตกต่างกัน หากเทียบดูแล้วซิงซิวย่อมมีข้อได้เปรียบมากที่สุด ขณะที่หยวนซิวทั้งสองคนก็ไม่ด้อยไปกว่าซิงซิวเท่าใด
หลังจากพวกเขาทำความเข้าใจความลึกลับบนแผ่นหยกแล้ว พวกเขาก็รีบไปยังจุดอื่นทันที โดยหวังว่าจะรวบรวมความลึกลับทั้งหมดบนแผ่นหยกทั้งเก้าเข้าด้วยกัน
ในบรรดาคนเหล่านี้ หนิงเทียนเป็คนหนึ่งที่มีระดับต่ำ ทั้งยังทำความเข้าใจได้ช้าที่สุด เนื่องจากวิธีการเข้าใจของเขาต่างจากคนอื่นๆ
กระแสสายธารแสดงให้เห็นถึงสิ่งใด?
ความเข้าใจของจี้ชิวส่งผ่านมาจากอำนาจแห่งฟ้าดิน และเขาพยายามทำความเข้าใจจากการก่อตัว สิ่งที่เหมยเอ้าซงเข้าใจ คือ สายธารกลายเป็น้ำแข็งและพัฒนาเป็ศาสตร์แห่งการต่อสู้ ส่วนเหยียนเริ่นเฟิงก็เข้าใจถึงหนทางรวมน้ำและไฟเข้าด้วยกัน ซึ่งช่วยให้ความแข็งแกร่งของเขาพัฒนาขึ้นมาก
ขณะที่จื๋อซิวทั้งหกมีความเข้าใจเกี่ยวกับกระแสสายธารที่แตกต่างกัน คนทั้งสามจากเชื้อสายรากอสูรก็คอยเฝ้าดูน้ำและสังเกตสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็การไหลของสายน้ำหรือการเคลื่อนตัวของหมู่ปลา และสิ่งที่พวกเขาเข้าใจก็คือศาสตร์แห่งการหยิบยืมความแข็งแกร่ง
อีกสามคนจากเชื้อสายรากพฤกษาก็ใช้วิธีดื่มน้ำและนึกถึงแหล่งที่มา พวกเขาใช้น้ำบำรุงร่างกายและเส้นลมปราณ โดยมีจุดเน้นของการเข้าใจที่แตกต่างออกไป
ทางด้านหนิงเทียน เขาเข้าใจสิ่งต่างๆ จากแผ่นหยกทั้งเก้าว่าน้ำคือแหล่งกำเนิดของชีวิต แต่ก็ยังรู้สึกว่ายังมีบางอย่างขาดหายไป
หลังจากจี้ชิว หลินหวา เหมยเอ้าซง และคนอื่นๆ เข้าใจความหมายที่แท้จริงของแผ่นหยกทั้งเก้าแล้ว พวกเขาก็พยายามเข้าไปในสายธารที่ลอยอยู่กลางอากาศ และไหลไปตามสายน้ำที่หมุนเวียนผ่านโถงทั้งเก้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หนิงเทียนเฝ้าดูอย่างเงียบๆ ตัวอักษรบนแผ่นหยกเก้าแผ่นยังคงกะพริบอยู่ในใจราวกับมีการเรียงลำดับผิดพลาด แต่เขาไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากที่ใด
หนิงเทียนเป็คนสุดท้ายที่เข้าไปในสายน้ำ เขาไร้ซึ่งความคิดใดๆ นอกจากตัวอักษรนับไม่ถ้วนที่แวบขึ้นในใจ
โถงทั้งเก้าหมุนเวียนไปทีละรอบ
ในรอบแรก จี้ชิว หลินหวา เหยียนเริ่นเฟิง และอีกแปดคนต่างก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ตัวอักษรในใจของพวกเขาจัดเรียงใหม่และแก้ไขข้อผิดพลาดตามลำดับ ทำให้พวกเขาเข้าใจความหมายได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
รอบที่ห้า บางคนคิดว่าความเข้าใจของตนสมบูรณ์แบบแล้ว จึงตัดสินใจออกจากกระแสน้ำ
จี้ชิวถอนตัวออกไปในรอบที่แปด และเหลือหนิงเทียนเพียงคนเดียวที่ยังคงล่องลอยอยู่กลางสายน้ำ
เมื่อหนิงเทียนเข้าสู่การหมุนเวียนรอบที่เก้า ตัวอักษรในใจก็เริ่มส่องสว่างขึ้น ก่อนจะหยุดชะงักและจัดระเบียบใหม่
การหยุดชะงักเช่นนี้เกิดขึ้นทุกๆ เก้ารอบ จำนวนเก้าครั้งติดต่อกัน ซึ่งรวมทั้งหมดเป็แปดสิบเอ็ดรอบ และใช้เวลาไปเกือบสองวัน
ท้ายที่สุด เส้นทางทั้งหมดก็เกิดการควบแน่น จากเก้าสิบเก้าคืนสู่หนึ่ง
ใน่แห่งการรู้แจ้งโดยสมบูรณ์ของหนิงเทียน เส้นลมปราณที่ห้าของเขาก็เต็มไปด้วยแผนที่จิติญญา ทั้งยังมีหยดน้ำหนึ่งหยดลอยอยู่ภายใน คอยหล่อเลี้ยงพลังอันไม่มีที่สิ้นสุดและเป็ตัวแทนของแหล่งกำเนิดชีวิต
เสียงคำรามแห่งเต๋าดังขึ้นในร่างของหนิงเทียน เส้นลมปราณเปรียบเสมือนธารัที่ะเืท้องฟ้า จากนั้นก็มีกระแสน้ำรูปวงแหวนปรากฏขึ้นข้างกาย
ทันใดนั้นโถงทั้งเก้าก็สั่นไหว ห้วงอากาศบิดเบี้ยว สายธารที่ลอยอยู่พังทลายลง และกระแสน้ำทั้งหมดก็รวมตัวกันเป็โลงศพธารา
ร่างหนึ่งประจักษ์ชัดอยู่ในโลงศพ นั่นคือสตรีนางหนึ่งซึ่งโปร่งใสไปทั้งร่าง จึงมองเห็นได้ไม่ชัดนัก ทั้งยังรับรู้ถึงความงดงามที่แสนลึกลับ
โลงศพธาราลอยนิ่ง ผิวน้ำควบแน่นเป็ลวดลายคล้ายตราประทับ บ่งบอกถึงพลังงานลี้ลับที่อยู่เื้ั
จี้ชิว หลินหวา เฟิ่งจิ่วอี้ เจียงจิ้งปัว หยางิอวี่ ตี๋เยี่ยนจวิน เหมยเอ้าซง และเหยียนเริ่นเฟิงต่างจับจ้องโลงศพราวกับพวกเขาได้ยินเสียงปริศนาเอ่ยขาน ก่อนจะค่อยๆ ฉายแววความ้าแย่งชิงออกมาในดวงตา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้