แสงดาวส่องประกายเต็มท้องฟ้า แสงจันทร์นวลผ่องราวผ้าบาง เป็ภาพยามค่ำคืนที่งดงามน่าหลงใหล
ทว่ามู่หรงฉางไม่มีกระจิตกระใจจะดูดาวอย่างชื่นชม เพราะว่าสิ่งที่นางเกลียดที่สุดในชีวิตก็คือการรอคน
ตอนนี้นางกลับต้องรออยู่ที่หน้าประตูจวนอวี้หวางกลางดึกแบบนี้ หากมู่หรงอวี้ไม่ยอมกลับมา เช่นนั้นนางจะต้องรอจนฟ้าสว่างหรือ?
เพิ่งจะผ่านไปเพียงหนึ่งถ้วยชา ความอดทนของนางก็ถูกใช้ไปจนหมดสิ้น นางเหยียบขึ้นไปบนบันไดหินด้วยท่าทางหงุดหงิด ท่าทางอ่อนแอก่อนหน้านี้ถูกกวาดทิ้งไปจนหมด ก่อนจะเชิดคางสวยให้สูงขึ้น “เปิ่นกงคือองค์หญิงจาวฮวา เมื่อครู่เจอเื่น่าใยิ่งที่ถนน ตอนนี้อยากจะเข้าไปพักผ่อนในจวนอวี้หวาง”
คนเฝ้าประตูสองคนมองหน้ากันไปมา ก่อนจะพูดขึ้น “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเ้าคือองค์หญิงจาวฮวา? ดึกดื่นเที่ยงคืน องค์หญิงจาวฮวาจะออกจากวังมาทำอะไร? องค์หญิงจาวฮวาเป็องค์หญิงที่ฝ่าารักมากที่สุด ตอนนี้จะต้องพักผ่อนอยู่ที่ตำหนักบรรทมแล้ว...”
พูดยังไม่ทันจบ พวกเขาก็เห็นป้ายหยกสลักอย่างงดงามปรากฏอยู่ตรงหน้า
พวกเขาจ้องป้ายหยกเขม็ง ต่อมาก็ขยี้ตามองแยกแยะอย่างละเอียด ไม่ผิด นี่เป็ป้ายหยกแสดงตนขององค์หญิงจาวฮวาจริงๆ
“กระหม่อมมีตาหามีแววไม่ ถึงได้ล่วงเกินองค์หญิง ขอองค์หญิงโปรดอย่ากริ้วเลยพ่ะย่ะค่ะ”
พวกเขาร้องขอด้วยท่าทางต่ำต้อยน่าสงสาร มู่หรงฉางเชิดหน้าก่อนจะเดินเข้าไป
ในเวลานี้ มู่หรงอวี้ไม่มีความคิดจะกลับจวน
หลังออกจากหอเฟิ่งหวง เขาก็แอบเฝ้าอยู่ด้านนอกหอ
ค่ำคืนในฤดูร้อนเหมือนกับม่านที่ถูกปิดลงมา แสงดาวพราวระยับ ร่างเงาสีขาวของเขาเมื่ออยู่ในเวลากลางคืนแบบนี้ยิ่งสะดุดตาเป็พิเศษ
รถม้าคันหนึ่งวิ่งออกมาจากตรอกเล็กช้าๆ คนขับรถก็คือฉินรั่ว มู่หรงฉือะโขึ้นไป ก่อนจะมุดเข้าไปนั่งในรถม้า ยังคงสวมหน้ากากสีเงินอยู่
มู่หรงอวี้ที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดยกมือออกคำสั่ง เงาดำสายหนึ่งก็กระโจนออกไปเหมือนกับสายฟ้าพุ่งเข้าใส่รถม้า
นั่นก็คือองครักษ์กุ่ยหยิง
เื่เกิดขึ้นภายในพริบตา ฉินรั่วเห็นเงาดำกลุ่มหนึ่งพุ่งมาทางรถม้าอย่างรวดเร็ว จึงร้องออกมาด้วยความใ “เตี้ยนเซี่ย มีนักฆ่าเพคะ!”
มู่หรงฉือใ รีบวิ่งออกจากรถม้า
กุ่ยหยิงเหินทะยานเข้ามาในขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยกลิ่นอายดุดันสายหนึ่ง ฉินรั่วเตรียมพร้อมต่อสู้ พร้อมทั้งปล่อยพลังปราณสายหนึ่งออกมาต้าน
หากเขาออกแรงทั้งหมด มีหรือฉินรั่วจะสามารถต้านทานเขาได้?
เขาออกแรงเพียงสามส่วนเท่านั้น
ชั่วพริบตา ทั้งสองคนก็ได้ประมือกันไปแล้วสิบกระบวนท่า
มู่หรงฉือกลับขึ้นมายืนดูการต่อสู้บนรถม้า มองออกว่าคนชุดดำที่ปิดใบหน้าเพียงเข้ามาหยอกฉินรั่วเล่น คนๆ นี้ไม่เหมือนนักฆ่า แล้วมาจากไหนกัน?
ฉินรั่วถูกกุ่ยหยิงท้าทายอยู่หลายรอบ อารมณ์ก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ ตามประชิดเข้าโจมตีจนออกห่างจากตัวรถม้า
มู่หรงฉือหัวเราะพลางส่ายหน้า แต่กลับมั่นใจว่าฉินรั่วจะไม่เป็อันตราย
เป็อย่างที่คิด เ้านายมาแล้ว
มู่หรงอวี้ทะยานมาในความมืด แล้วไปยืนอยู่บนหลังคาบ้านข้างถนน ยืนอยู่ระหว่างฟ้ากับดินภายใต้ความมืดมิดยามค่ำคืน
ลมในตอนกลางคืนพัดมา แขนเสื้อสีดำกระพือเหมือนกับลูกไฟสีดำ
ใบหน้ารูปสลักเ็าราวบุปผาหิมะ ท่ามกลางความมืดอันแสนลึกลับยามค่ำคืน ดวงหน้านี้ทั้งขาวสะอาด สูงส่งและสง่างาม
นางชะงักไป เขาควรจะกลับจวนไปแล้วไม่ใช่หรือ? จงใจมาซ่อนตัวดักรอนางที่นี่?
มู่หรงอวี้ะโลงมา แขนเสื้อใหญ่พัดราวนกกระพือปีก
พลังปราณอันแข็งแกร่งสายหนึ่งผ่านหน้าไป มู่หรงฉือยืนปะทะสายลม ในหัวสมองมีความคิดมากมายแล่นปราด
หากปล่อยกระบวนท่ารับมือออกไป มีความเป็ไปได้อย่างมากที่นางจะเปิดเผยความสามารถออกไป
เขาดักรอนางอยู่ที่นี่ ก็เพื่อบีบบังคับให้นางลงมือ
เขาคงจะมองออกั้แ่อยู่ที่หอเฟิ่งหวงแล้วใช่หรือไม่?
มู่หรงฉือยืนอยู่ตรงนั้น แมู้เาไท่ซานสั่นะเืสีหน้าก็ไม่เปลี่ยน
นิ้วเรียวยาวห้านิ้วแตะเข้าที่ลำคอของนาง จับเข้าที่จุดชีพจร ส่วนตัวเขายืนอยู่บนรถม้า แขนเสื้อสีดำราวกับปีกที่ค่อยๆ หุบลง
นิ้วมืออุ่นร้อนลวกอยู่บริเวณผิวของนาง นางจ้องเขาผ่านสายลมในยามค่ำคืนโดยไม่แสดงอารมณ์ใด
ดวงตาสีดำของมู่หรงอวี้ซุกซ่อนจิตสังหารเอาไว้ แต่กลับเต็มไปด้วยประกายสีเงินจากแสงดาว
เขายกมือขึ้นถอดหน้ากากสีเงินของนางออก
ส่วนนางไม่ขยับแล้วปล่อยให้เขาทำตามใจ
หน้ากากเงินอยู่ระหว่างนิ้วของเขาก่อนจะเปลี่ยนกลายเป็ผงสีเงินลอยไปตามลม ใบหน้างดงามปรากฏขึ้นในความมืด
“ที่แท้ก็เป็องค์รัชทายาทนี่เอง” ในน้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาไม่ได้มีความประหลาดใจเลยสักนิด ก่อนจะปล่อยมือออก
“ท่านอ๋องกังวลว่าเปิ่นกงกลับวังแล้วจะมีอันตราย ถึงได้มาปกป้องหรือ?” มู่หรงฉือพูดเสียงเบา แล้วหัวเราะเสียงเย็น
“เตี้ยนเซี่ยมาจากไหนหรือ?”
“หอเฟิ่งหวง”
“ที่แท้เมื่อไม่นานมานี้เตี้ยนเซี่ยเองก็อยู่ที่หอเฟิ่งหวง เช่นนั้นเตี้ยนเซี่ยก็คงจะเห็นเื่ที่เกิดขึ้นกับองค์หญิงจาวฮวาที่หอเฟิ่งหวงแล้วสินะ เหตุใดเตี้ยนเซี่ยถึงไม่ออกหน้าช่วยองค์หญิง?”
“แน่นอนว่าละครวีรบุรุษช่วยสาวงามจะต้องให้วีรบุรุษอย่างท่านอ๋องเป็คนแสดง เปิ่นกงคอยชมอยู่ด้านข้างก็พอแล้ว” นางกล่าวก่อนจะกลับเข้าไปในตัวรถ
มู่หรงอวี้เดินอาดๆ ตามเข้าไปก่อนจะนั่งลง “เตี้ยนเซี่ยไปทำอะไรที่หอเฟิ่งหวง?”
ภายในความมืดของตัวรถ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาประหนึ่งเปล่งประกายได้โดยธรรมชาติ เป็แสงอ่อนๆ จากผิวขาวผ่อง
มู่หรงฉือนั่งอยู่ในจุดที่ไกลจากเขามากที่สุด “ไปผ่อนคลายเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะเจอเข้ากับจาวฮวา ใช่แล้ว จาวฮวากลับวังไปแล้วหรือไม่?”
ดวงตาของเขาเหมือนกับน้ำแข็งสีดำเงา “เปิ่นหวางได้ส่งคนให้คุ้มกันองค์หญิงกลับวังไปแล้ว”
นางพูดเสียงนุ่ม “จาวฮวาได้ออกจากวังทั้งที คิดว่าคงไม่มีทางกลับวังง่ายๆ”
“ความหมายของเตี้ยนเซี่ยก็คือ...”
“ท่านอ๋องฉลาดปราดเปรื่อง ลองคิดดูสักหน่อยก็เข้าใจแล้ว” นางยิ้มเย็น “ดึกแล้ว เปิ่นกงเองก็ควรจะกลับตำหนักบูรพาได้แล้ว ท่านอ๋องยังไม่กลับจวนหวางหรือ?”
“ไม่รีบ” มู่หรงอวี้พูดเสียงเนือย
มู่หรงฉือแอบครุ่นคิด เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?
ทันใดนั้น รถม้าก็เดินหน้า นางเปิดหน้าต่างออกไปมอง เห็นด้านหน้ารถมีคนขับเพิ่มมาหนึ่งคน
ก่อนหน้านี้นางมัวแต่ครุ่นคิดจึงไม่รู้สึกว่ามีคนขึ้นรถม้ามา
รถม้าวิ่งไปด้วยความเร็วผ่านเมืองหลวงในยามค่ำคืน
เพียงไม่นานก็ถึงจวนอวี้หวาง รถม้าหยุดลง นางกำลังคิดว่าเขาจะทำอะไร ทันใดนั้นข้างกายก็มีคนเข้าประชิด กลิ่นน้ำหอมอุ่นร้อนแผ่กระจายไปรอบด้านปกคลุมตัวนางไว้
“เปิ่นกงจะลงไปก่อน” นางลุกขึ้นด้วยท่าทางนิ่งสงบ แต่ความจริงในใจกลับว้าวุ่นเล็กน้อย
“ไม่รีบ” มู่หรงอวี้ดึงนางให้นั่งลง ก่อนจะพูดเตือนเสียงเบาที่ข้างหูนาง “ทางที่ดีที่สุดเตี้ยนเซี่ยอย่าสอดมือเข้ามา ไม่เช่นนั้น...”
มู่หรงฉือรู้สึกว่าเสียงของเขา ร่างกาย แม้แต่ลมหายใจก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการเป็ผู้ล่า ทำให้ทั่วทั้งตัวของนางไม่ค่อยเป็ตัวของตัวเองนัก
นางตั้งสติแล้วยิ้มอย่างไม่กังวล “ไม่เช่นนั้นจะทำไม? เปิ่นกงยุ่งเื่ไม่เป็เื่เข้าหรือ? วันนี้ไม่มีนี่นา”
น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำอย่างร้ายกาจ “หากเตี้ยนเซี่ยอยากจะลองลิ้มรสฝีมือของเปิ่นหวาง ว่าเปิ่นหวางจะใจแคบอย่างไร? แน่นอนว่าจะต้องทำให้เตี้ยนเซี่ยพอใจได้แน่”
นางเองไม่ว่าจะขยับไปด้านหน้า หรือขยับไปด้านข้าง เขาเองก็ตามมาด้วย ในที่สุดก็ตัวติดกับนาง
ในเวลานี้วินาทีนี้ นางรู้สึกเพียงว่าทั้งตัวร้อนไปหมด ราวกับรอบด้านล้วนเต็มไปด้วยกองไฟ
ประกายแสงระยับในความมืดสาดส่องอยู่บนดวงหน้าขาวของนางจนทำให้ดูน่าหลงใหลเป็พิเศษ
มู่หรงอวี้ยื่นแขนยาวอ้อมตัวนางแล้วจับทั้งสองมือเอาไว้ ทำเป็การกอดนางจากด้านหลัง
“ปล่อย!”
มู่หรงฉือดิ้นอย่างแรง ใบหน้ารูปไข่แดงเถือกไปจนถึงลำคอ รู้สึกเสียใจภายหลังที่ไม่ได้รีบลงจากรถ
อยากจะหนีจากเงื้อมมือของปีศาจก็คงจะไม่ง่ายแล้ว
แขนแกร่งดั่งเหล็กกล้าทั้งสองข้างของเขารัดรึงก่อนจะดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด คางวางอยู่ที่บ่าของนาง ทั้งยังนวดให้นางหนักๆ
ท่าทางอันร้อนแรงนี้ทำให้คนคิดไปไกล การหยอกเย้าเช่นนี้ทำให้นางอยากฉีกเขาเป็ชิ้นๆ
เขาโน้มตัวลงน้อยๆ ก่อนจะจูบลงไปที่ผิวข้างลำคอขาวนุ่มลื่น
กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมา เหมือนเคยดมที่ไหนมาก่อน
ความร้อนตรงหน้าอกทำให้เขาไม่สามารถครุ่นคิดได้อย่างละเอียด เขาคิดว่าน่าจะเป็เพราะ่นี้ใกล้ชิดกับองค์รัชทายาทมากเกินไป จึงคุ้นเคยกับกลิ่นหอมขององค์รัชทายาท
มู่หรงฉือทนไม่ไหวอีกต่อไป โกรธจนแทบจะะเิ นางหันกลับมา พอหาเป้าหมายเจอก็กัดลงไปอย่างแรง
นั่นก็คือหูที่เป็จุดเปราะบางที่สุด ฟันที่คมเหมือนมีดแหลมก็กัดลงไปทันที จนหยดเืปรากฏขึ้น
ในความมืดที่มีแสงส่องเข้ามาเล็กน้อย หยดเืสีแดงนั้นเปื้อนอยู่บนผิวขาวผ่อง งดงามน่ามองเป็พิเศษ
ตรงติ่งหูเ็ปอยู่ครู่หนึ่ง สำหรับมู่หรงอวี้แล้วไม่ได้ถือว่าเ็ปแต่อย่างใด
พอเขาปล่อยมือ นางก็รีบมุดหนีออกไปทันที
จะบีบคั้นเกินไปก็ไม่ดี พอเป็สุนัขจนตรอกก็ไม่มีอะไรน่าสนุกแล้ว
ท่ามกลางแสงสีแดงจากไฟสลัว เขายกมือขึ้นเช็ดเืนั้น มองหยดเืที่ปลายนิ้วพลางยิ้มน้อยๆ จากนั้นก็ส่งปลายนิ้วเข้าปาก ราวกับว่าหยดเืนั้นจะยังมีกลิ่นอายของคนผู้นั้นหลงเหลืออยู่
มู่หรงฉางรออยู่นานก็ไม่เห็นมู่หรงอวี้กลับมาเสียที ทันใดนั้นพ่อบ้านก็มาแจ้งว่าท่านอ๋องเชิญพบ นางจึงรีบตามไปด้วยความดีใจ
เห็นพ่อบ้านเดินออกไปด้านนอกนางก็ขมวดคิ้ว “พ่อบ้าน เดินไปด้านหน้าอีกก็เป็ประตูใหญ่แล้ว ท่านอ๋องคงไม่ได้อยู่ด้านนอกกระมัง”
พ่อบ้านตอบกลับ “ท่านอ๋องอยู่ด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ”
นางจึงทำได้เพียงเดินตามไป ครั้นออกจากประตูใหญ่ก็เห็นมู่หรงอวี้ะโลงมาจากรถม้า จึงอดดีใจไม่ได้ ตอนที่กำลังจะวิ่งไปนั้น นางก็เห็นตัวขวางหูขวางตา : เสด็จพี่ก็ดันยืนอยู่ข้างๆ
เหตุใดพวกเขาถึงได้อยู่ด้วยกัน?
มู่หรงอวี้พูดเสียงเข้ม “นี่ก็ดึกมากแล้ว รบกวนเตี้ยนเซี่ยคุ้มกันองค์หญิงกลับวังด้วย”
ตอนที่เห็นน้องสาววิ่งเข้ามา มู่หรงฉือก็เข้าใจ ‘เจตนา’ ที่เขาพาตนมาที่จวนอวี้หวางแล้ว
พอเป็เช่นนี้น้องสาวต้องโมโหแทบตายแน่นอน
มู่หรงฉางได้ยินดังนั้น ใบหน้าเล็กก็เต็มไปด้วยไอเย็นทันที แต่เพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนกลับมาเป็ความใ อ่อนแอไร้ทางช่วย ดูแล้วยังมีความน่าสงสารอีกด้วย “ท่านอ๋อง เปิ่นกงเจอเื่น่าใถึงเพียงนั้นจากหอเฟิ่งหวง ท่านจะไม่ไปส่งเปิ่นกงกลับวังหรือ? เปิ่นกงกลัวยิ่งนัก...”
“ข้าเชื่อว่าเตี้ยนเซี่ยจะปกป้ององค์หญิงเป็อย่างดี อีกอย่างเปิ่นหวางจะส่งองครักษ์ตามไปอารักขาด้วย ไม่มีทางเกิดเื่ใด” มู่หรงอวี้ตอบกลับอย่างไร้ความรู้สึก
“ท่านอ๋อง...” นางออดอ้อน
“องค์รัชทายาท เชิญ” เขามองไปทางมู่หรงฉือนิ่ง ไม่ได้มองท่าทางออดอ้อนของนางแม้แต่น้อย
“น้องสาว ดึกแล้วอย่ารบกวนท่านอ๋องเลย พวกเรากลับวังกันเถิด” มู่หรงฉือส่งสายตาไปให้นาง ก่อนจะลากนางขึ้นรถม้า
โชคดีที่มู่หรงฉางไม่ได้โง่ ถึงแม้จะไม่ยินยอมแต่ก็ขึ้นรถม้าไป โบกมือลามู่หรงอวี้
นางเข้าใจ หากรั้นจะตอแยต่อไป มีแต่จะทำให้เขาโกรธ
หรือว่าจะต้องวางแผนอื่น?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้