น่าแปลกใจยิ่งที่เฉินจิ้งเจียยังไม่นอน ครั้นได้ยินเสียงหนานจือจากข้างนอก นางก็เปิดประตูออกไป
“ท่านพ่อ? ดึกเพียงนี้ ไฉนท่านถึงมาหรือเ้าคะ?”
เฉินจิ้งเจียเอ่ยพลางเดินขนาบข้างป๋อชางโหวเข้าเรือน ทั้งยังไม่ลืมสั่งให้หนานจือไปเตรียมชาร้อนไว้อีกด้วย
ครั้นเห็นเฉินจิ้งเจียสั่งงานเด็กสาวรับใช้ ท่าทีก็ดูใจเย็นลงไม่น้อย ป๋อชางโหวรู้สึกเหมือนเห็นฮูหยินของเขา
“ไยท่านพ่อถึงมองเจียเอ๋อร์เ้าคะ?” เฉินจิ้งเจียถาม
นั่นทำให้ป๋อชางโหวได้สติกลับมา คำว่ารักและเอ็นดูเต็มเปี่ยมเขียนประทับติดบนใบหน้า “ไม่มีอะไรหรอก เจียเอ๋อร์ของพ่อเติบโตแล้ว คิดอ่านเพื่อตัวเองได้แล้ว”
เมื่อได้ยินดังว่า เฉินจิ้งเจียจึงหัวเราะ ก่อนเทชาร้อนให้ป๋อชางโหวถ้วยหนึ่ง
นางคือคนที่ผ่านชีวิตมาสองชาติ หากทั้งสองชาตินี้มิอาจมองใครให้ทะลุปรุโปร่งได้สักคน ยังคงโง่เขลาเบาปัญญาทั้งสองชาติอีกละก็ เช่นนั้นการเกิดใหม่ของนางจะยังมีความหมายอะไรอีก?
ในเมื่อช่วยท่านแม่ไม่ทันแล้ว เช่นนั้นไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องส่งพวกที่ทำร้ายท่านลงนรกให้จงได้!
“ท่านพ่อคิดว่าเื่ที่เจียเอ๋อร์เลือกสามีแต่งงานให้ตนเอง บุ่มบ่ามไปใช่หรือไม่?”
ที่จริงในใจป๋อชางโหวอยากตอบว่าใช่ ทว่าพอคำพูดจุกถึงปากก็เปลี่ยนคำพูดไป “เปล่า เจียเอ๋อร์ของพ่ออยากทำอะไรก็ทำไปเลย”
เขากล่าวพลางยกมือลูบหัวทุยของเฉินจิ้งเจีย “ลูกชื่นชอบเผยฉางชิงนั่น ต่อให้เขาไร้ประโยชน์ พ่อก็ประคับประคองได้อยู่ดี เ้าเป็ลูกสาวของป๋อชางโหว ควรทำตามใจปรารถนา”
ดวงตาเฉินจิ้งเจียร้อนผะผ่าวขึ้นเล็กน้อย พ่อของนางมักตามใจนางและรักเอ็นดูนางเช่นนี้อยู่เสมอ
“ท่านพ่อ ท่านเชื่อมั่นในสายตาเจียเอ๋อร์ได้ เผยฉางชิงมิใช่พวกไร้ความสามารถเ้าค่ะ!” เฉินจิ้งเจียบอก แววตาหญิงสาวเปล่งประกายตาม
“เจียเอ๋อร์ ลูกคงรู้ว่าลูกเหมือนแม่ถึงเจ็ดส่วน หากแต่นิสัยกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง” ป๋อชางโหวเอ่ย สีหน้าเต็มเปี่ยมด้วยคิดถึงคะนึงหา
“แม่เ้าอ่อนโยนมีความรู้ ปรนนิบัติต่อผู้อื่นด้วยความอ่อนน้อมยิ่งยวด แต่นิสัยเ้ากลับสู้คนไม่ยอมใคร”
เฉินจิ้งเจียเงยหน้าสบตาป๋อชางโหว “สู้คนไม่ยอมใคร ไม่ดีหรอกหรือ?”
สู้คนไม่ยอมใครไม่ดีงั้นหรือ? ป๋อชางโหวหัวเราะ “เจียเอ๋อร์ เ้ายังมีพ่อ มีพี่ชาย เ้าไม่ต้องสู้คนไม่ยอมใครขนาดนี้ก็ได้”
คำพูดนี้ นางมิอาจยอมรับได้
ชาติก่อนนางนั้นเหมือนมารดาทุกประการ ทั้งอ่อนโยนมีความรู้ แล้วยังอ่อนน้อมนุ่มนวลอีกด้วย
แต่ท้ายที่สุดเล่า?
บิดาผู้ทุ่มทั้งแรงกายแรงใจคอยปกป้องนาง เมื่อได้ยินว่าลูกในท้องนางถูกใส่ร้าย ก็ตรอมใจจนสิ้นสติไม่ฟื้น
พี่ชายผู้ทำาในสนามรบที่คอยปกป้องนาง กลับตายในา ตายที่ชายแดน แม้แต่ร่างยังมิอาจรับกลับมาได้
นางมีบิดาคอยปกป้อง มีพี่ชายคอยคุ้มกัน หากแต่ท้ายสุดก็ทำได้เพียงมองพวกเขาล้มหายตายจากไปทีละคน ไม่แม้แต่จะรู้ว่ามีมีดเชือดง้างอยู่เหนือหัวตนเองด้วยซ้ำ
เฉินจิ้งเจียยกชาจิบอึกหนึ่ง
ดังนั้นในชาตินี้ นางจะไม่ยอมเป็เฉินจิ้งเจียผู้อ่อนแอคนนั้นอีกแล้ว นางจะแข็งแกร่งขึ้น จะทำให้คนที่ทำร้ายนางมองนางก้าวหน้าขึ้นสู่จุดสูงสุดไปทีละขั้นให้จงได้!
นางจะปกป้องบิดาและพี่ชายให้ได้ ไม่ยอมให้เกิดเื่ใดๆ กับพวกเขาเพราะนางอีกแล้ว!
“เจียเอ๋อร์รู้อยู่แล้ว ท่านพ่อดีที่สุดแล้วเ้าค่ะ!”
นางกอดแขนป๋อชางโหวด้วยท่าทางน่ารัก ทว่าป๋อชางโหวกลับมองเห็นแววผ่านโลกอย่างโชกโชนที่ไม่สมกับอายุเช่นนี้อยู่ในดวงตานาง
เจียเอ๋อร์ของเขาผ่านอะไรมากันแน่?
ความสงสัยผุดขึ้นเต็มทรวง หากแต่ป๋อชางโหวก็กลับเรือนไปทั้งอย่างนั้น
จ้าวอี๋เหนียงยังไม่นอน ครั้นเห็นป๋อชางโหวกลับมา ก็เผยยิ้มอ่อนโยนทันใด “ท่านโหว ท่านกลับมาแล้ว”
อากัปกิริยายกยิ้มของนางดูเหมือนซูเหยายิ่งนัก โดยเฉพาะองศาหยักมุมปากยังเหมือนซูเหยาทุกประการ
แน่นอนว่าจ้าวอี๋เหนียงไม่มีทางบอกผู้อื่น นางเคยมองซูเหยายิ้มนับครั้งไม่ถ้วน จากนั้นกลับไปพยายามฝึกหน้ากระจก นั่นจึงมั่นใจว่าทุกคราที่นางยิ้มล้วนเหมือนซูเหยาทุกประการ
นางรู้ดี แม้นป๋อชางโหวจะมีอนุ ทว่าในใจของเขาซูเหยากลับอยู่ในตำแหน่งที่ต่างไป
“อืม” ป๋อชางโหวตอบกลับเสียงเรียบ ไม่ว่ารอยยิ้มจ้าวอี๋เหนียงจะนุ่มนวลเพียงใด เหมือนกับซูเหยาเพียงใด แต่เขากลับหาได้สนใจทั้งสิ้น
เขาถอดเสื้อคลุมออกด้วยตัวเอง ทิ้งกายลงบนเตียง ทั้งยังหันหน้าไปข้างนอก ทิ้งไว้เพียงแผ่นหลังอันเหินห่างแก่จ้าวอี๋เหนียงอีกครั้ง
พอมองแผ่นหลังนั้น จิตใจจ้าวอี๋เหนียงก็เริ่มไม่สงบขึ้นมา
หากเป็เมื่อก่อน นางคอยป๋อชางโหวกระทั่งดึกดื่นเช่นนี้ ป๋อชางโหวยังกำชับนางพักหนึ่ง ให้นางดูแลสุขภาพ อย่านอนดึกเกินไป
ทว่ายามนี้ อย่าว่าแต่สนใจเลย แม้แต่พูดให้มากขึ้นสักคำยังไม่มีเสียด้วยซ้ำ
ราวกับมีบางอย่างค่อยๆ จางหายไป จ้าวอี๋เหนียงพยายามไขว่คว้ามันไว้สุดชีวิต แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คว้าไว้ไม่ได้สักที
คนสองคนบนหนึ่งเตียงที่คิดไปต่างๆ นานาต่างกัน ล้วนไม่มีใครหลับอย่างสงบได้สักคน...
พอฟ้าสาง ป๋อชางโหวก็เร่งรีบออกไปทันที จ้าวอี๋เหนียงเห็นแผ่นหลังเขาลิบๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเื่บางอย่างที่นางมองข้ามไป
ไม่คอยให้นางทันเข้าใจ เฉินจิ้งโหรวก็วิ่งพรวดพราดเข้ามาอย่างตื่นเต้น “ท่านแม่! มีข่าวดีเ้าค่ะ!”
ครั้นเห็นเฉินจิ้งโหรว จ้าวอี๋เหนียงถึงได้วางความกังวลทั้งหลายลง ก่อนเผยรอยยิ้ม “มีอะไรกันโหรวเอ๋อร์?”
“ท่านคงจำคุณชายเผยผู้นั้นได้ใช่หรือไม่? คนที่เฉินจิ้งเจียปลาบปลื้มน่ะเ้าค่ะ?” นางพูดไป หางตาก็แทบมิอาจสะกดความดีใจเอาไว้ได้
เมื่อพูดถึงเผยฉางชิง ก็เสมือนว่ากำลังเตือนจ้าวอี๋เหนียง เื่ของเฉินจิ้งเจียนั้น ป๋อชางโหวหาได้ยอมบอกนางมากมายนัก
ยามนี้แม้แต่เฉินจิ้งโหรวยังรู้เื่เกี่ยวกับเผยฉางชิง แต่นางกลับรู้แค่ว่าเมื่อวานคนผู้นี้มาพบป๋อชางโหวที่วัดอันเหรินเท่านั้น
จ้าวอี๋เหนียงอารมณ์เสียอยู่ในใจ ทว่ากลับมิได้แสดงออกทางสีหน้าแต่อย่างใด แค่ยกมือลูบหัวเฉินจิ้งโหรวอย่างรักใคร่ “จำได้สิ คุณชายเผยผู้นั้นมีอะไรอย่างนั้นหรือ?”
“เมื่อคืนคุณชายเผยพักอยู่ในวัด ในเรือนเฉินอี้เหอ ได้ยินว่าวันนี้ท่านพ่อส่งคนกลับจวนแต่เช้า ให้พ่อบ้านคัดเลือกเด็กรับใช้ผู้ปราดเปรื่องส่งให้คอยปรนนิบัติเขาเ้าค่ะ”
นางเล่าไปก่อนหัวเราะขึ้นเอง “ท่านแม่ว่าน่าขันหรือไม่เ้าคะ เฉินจิ้งเจียเป็ถึงคุณหนูใหญ่แห่งจวนป๋อชางโหว คาดไม่ถึงว่าจะชอบพวกยาจกที่ไม่มีปัญญาแม้แต่จะจ้างบ่าวไพร่เสียอย่างนั้น!”
“เ้าอย่าว่าคุณหนูใหญ่เช่นนี้ บางทีคุณชายเผยอาจเป็คนดีก็ได้? อย่างอื่นไม่ต้องพูด อย่างไรเสียยังมีพ่อกับพี่ใหญ่เ้าคอยจับตามอง ไม่น่าเกิดปัญหาอะไรอยู่แล้ว”
จ้าวอี๋เหนียงเป็เช่นนี้เสมอมา อยู่ต่อหน้าคนนอก ล้วนไม่เคยแสดงความไม่พอใจต่อเฉินจิ้งเจียและเฉินอี้เหอสักครั้ง กระทั่งว่าคอยปกป้องอยู่เสมอ
เพียงแต่แท้จริงแล้วการปกป้องเช่นนี้เป็การดีหรือการร้ายนั้น ก็สุดจะรู้ได้เช่นกัน
เฉินจิ้งโหรวเบะปากอย่างไม่สนใจ “ท่านแม่ ข้าเห็นว่าในเมื่อท่านพ่อเห็นชอบคุณชายเผยแล้ว เช่นนั้นเื่นางโง่เฉินจิ้งเจียก็เป็อันจัดแจงเรียบร้อยแล้ว จากนี้ผู้ที่จะได้เกี่ยวดองคนต่อไปของจวนป๋อชางโหว ต้องเป็คุณหนูรองอย่างข้าแน่นอน!”
“ดูเ้าสิ นี่คือสิ่งที่สตรีสมควรพูดหรือเช่นไร?”
แม้กำลังตำหนิ ทว่าน้ำเสียงจ้าวอี๋เหนียงกลับอ่อนโยนยิ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เหมือนกำลังดุด่า
“คนที่จะเกี่ยวดองคนต่อไปย่อมเป็พี่ใหญ่เ้าอยู่แล้ว เ้าพูดจาสุ่มสี่สุ่มห้าอะไรกัน?”
จ้าวอี๋เหนียงย่อมไม่คิดล่วงเกินเฉินอี้เหอ ใครใช้ให้นางมิอาจกำเนิดบุตรชายมาแย่งชิงสถานะนี้กับเฉินอี้เหอกันล่ะ
ในอนาคตเฉินจิ้งโหรวออกเรือนไป อย่างน้อยก็ต้องพึ่งพิงพี่ใหญ่คนนี้ ที่บ้านพ่อตาแม่ยายมีคนอยู่ เช่นนั้นเฉินจิ้งโหรวถึงจะยืนหยัดในบ้านสามีได้
ทว่าเฉินจิ้งโหรวกลับไม่นึกถึงจุดนี้ หน้าตาแสดงความไม่พอใจเต็มเปี่ยม “เขาเป็พี่ใหญ่ของเฉินจิ้งเจีย หาใช่พี่ใหญ่ของข้าเสียหน่อย”
