ยอดเขาเทียนหลานเฟิงอยู่กึ่งกลางหนึ่งแสนมหาบรรพตของสำนักบริบาลเดรัจฉาน ดุจดั่งจักรพรรดิแห่งขุนเขา และเป็สัญลักษณ์ของสำนักบริบาลเดรัจฉาน ยอดเขานี้อันตรายอย่างน่าประหลาด บันไดสายหนึ่งทอดสูงหายเข้าไปอยู่ในหมู่เมฆเหนือท้องฟ้า ูเาสูงเสียดฟ้าปกคลุมด้วยหมู่เมฆเห็นเพียงครึ่งเดียว มองดูลึกลับยิ่งจนสุดหยั่งคาด ประตูของสำนักบริบาลเดรัจฉานซ่อนอยู่ท่ามกลางชั้นเมฆหมอก
ณ ห้องโถงเทพสัตว์อสูร ฉางชิงจื่ออ่านจดหมายในมืออย่างละเอียดจนจบ กวาดตามองฉินจวินคราหนึ่ง ถามเสียงเรียบๆ ว่า “ศิษย์หลานฉิน เ้าคิดอย่างไรกับเื่ราวที่เขียนในจดหมายฉบับนี้?”
ฉินจวินครุ่นคิดแล้วตอบว่า “ศิษย์ทราบจากสำนักหลอมโอสถและสอบถามข้อมูลจากสหายในเมืองวันสิ้นโลกแล้ว เื่นี้จริงแท้แน่นอน ข่าวสารจากปากของนักเสี่ยงโชคแถบมหาสมุทรวันสิ้นโลก พื้นที่บริเวณมหาสมุทรแถบนั้นพิเศษอย่างยิ่ง มิว่าผู้ใดกล้ำกรายเข้าไป พลังปราณล้วนถูกสะกดข่ม แม้แต่จักรพรรดิา ล่วงล้ำเข้าสู่พื้นที่มหาสมุทรบริเวณนั้นขอบเขตระดับฐานบ่มเพาะสูงสุดจะเทียบเท่ากับราชันาระดับต้นเท่านั้น มีคนได้รับเศษขนวิหคชิ้นหนึ่งของสัตว์ดุร้ายคุนเผิง[1]ที่หลงเหลือไว้ในบริเวณมหาสมุทรแถบนั้น ดังนั้นตำนานเล่าขานบริเวณนั้นเป็สถานที่พำนักของคุนเผิงั้แ่สมัยา ภายหลังฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวง พื้นที่มหาสมุทรแถบนั้นพลันสาบสูญอย่างกะทันหัน จวบจนเมื่อไม่นานนี้ มีคนพบพื้นที่มหาสมุทรแปลกประหลาดแถบนี้ ในบริเวณใกล้เคียงเมืองวันสิ้นโลก คาดการณ์กันว่าพื้นที่มหาสมุทรบริเวณนี้คือสถานที่พำนักของคุนเผิง”
“มิผิด ในบันทึกโบราณของสำนักบริบาลเดรัจฉานเราก็มีบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์ดุร้ายและสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของฟ้าดิน บันทึกโบราณเคยกล่าวถึง มหาสมุทรวันสิ้นโลกเคยมีสถานที่พำนักของคุนเผิงอสูรร้ายกาจ แต่ว่าถึงแม้สำนักบริบาลเดรัจฉานดูแลสัตว์อสูรแปลกประหลาดทั่วหล้า แต่สำหรับคุนเผิง ราชันแห่งสัตว์ดุร้ายประเภทที่สามารถเคียงบ่าเคียงไหล่กับสัตว์เทพศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน ได้แค่เพียงเคารพครั่นคร้ามในใจ ต่อมาคุนเผิงหายสาบสูญไปภายหลังมหาา บ้างก็ว่าคุนเผิงาเ็สาหัสกลับไปเสียชีวิตในที่พำนักขนาดใหญ่ หากตำนานเล่าขานเป็เื่จริง ครั้งนี้สถานที่พำนักคุนเผิงปรากฏขึ้นเป็โอกาสที่ประเสริฐยิ่งของพวกเรา หากสามารถได้รับแก่นโลหิตของคุนเผิงมา จะทำให้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ผู้พิทักษ์ูเาของพวกเราได้รับการส่งเสริม เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างแน่นอน อายุขัยก็ยืนยาวขึ้นเป็พันๆ ปี คุนเผิงชื่นชอบสิ่งมหัศจรรย์ของฟ้าดิน ถ้ามหาสมุทรนั้นเป็สถานที่พำนักของมันจริง นี่ก็จะเป็โอกาสสำคัญที่ประเสริฐเทียมฟ้าเลยทีเดียว”
“พื้นที่มหาสมุทรนั้นสะกดฐานบ่มเพาะของผู้ฝึกฌานอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิาก็ทำอะไรไม่ได้ ฐานบ่มเพาะทั้งหมดล้วนถูกจำกัดที่ของราชันาขั้นต้น ดังนั้นแต่ละสำนักใหญ่ไม่มีข้อได้เปรียบอันใด นักบ่มเพาะอิสระทั่วไปทุกแห่งหนทราบข่าวล้วนมาที่นี่ เกรงว่าจะเกิดการฆ่าฟันเป็ฝนโลหิต พายุนองเืครั้งใหญ่” ฉินจวินพูดขึ้นอย่างวิตกกังวล
“นี่คือปัญหาอย่างหนึ่ง หากไม่มีข้อจำกัดของฐานบ่มเพาะ แต่ละสำนักใหญ่ย่อมได้เปรียบจริงๆ แต่ตอนนี้ แม้แต่จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้ดีไปกว่าราชันาขั้นต้นมากน้อยเท่าไรนัก ดังนั้นจะให้ผู้ใดไปเ้าต้องคัดเลือกให้ดีๆ พวกเราส่งศิษย์ราชันาขั้นต้นออกไปก็แล้วกัน สำนักบริบาลเดรัจฉานเรามีข้อได้เปรียบที่ผู้อื่นไม่มี นั่นคือพวกเรามีสัตว์อสูรจิติญญาเป็คู่หู ในขอบเขตระดับเดียวกัน ราชันาของสำนักบริบาลเดรัจฉานชนะได้อย่างแน่นอน” ฉางชิงจื่อพึมพำกับตนเอง
ฉินจวินยิ้มฝืดฝืนกล่าวว่า “อาจารย์อาเ้าสำนัก ท่านกล่าวผิดแล้ว ในครั้งนี้ผู้ที่ได้เปรียบมากที่สุดน่าจะเป็คนของเมืองวันสิ้นโลกและชนเผ่าสมุทร พวกเขามีการคบค้าสมาคมกับเมืองวันสิ้นโลกตลอดมา คุ้นเคยกับมหาสมุทรบริเวณนั้นเป็อย่างยิ่ง มีความเชี่ยวชาญทางน้ำอันลึกล้ำสูงส่ง พวกเขาจึงเป็ผู้มีข้อได้เปรียบมากที่สุด แต่พวกเรา...ถึงแม้ศิษย์หลายคนจะมีสัตว์อสูรจิติญญาที่มีคุณสมบัติทางน้ำ แต่ที่เป็เป็ดดอนกลับมีจำนวนมากกว่า สัตว์อสูรจิติญญาบางตัวไม่ไปยังดีเสียกว่า ไปแล้วยังต้องมึนงงเพราะเมาเรือ วิงเวียนเพราะเมาคลื่น กลับกลายเป็ตัวถ่วงเสียด้วยซ้ำ”
ฉางชิงจื่อก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เป็เช่นนี้จริงๆ สำนักบริบาลเดรัจฉานตั้งอยู่ท่ามกลางมหาบรรพต ถ้าพูดถึงบนบก ย่อมขับเคลื่อนไปอย่างอิสรเสรีแน่นอน แต่ว่าในน้ำจะหาข้อได้เปรียบไม่ได้เลยจริงๆ
“เื่นี้มอบเป็หน้าที่ของศิษย์ก็แล้วกัน สำนักบริบาลเดรัจฉานพวกเรามีลูกศิษย์จำนวนนับแสน ราชันาขั้นต้นมีร่วมพัน เชื่อว่าคัดเลือกคนที่มีความสามารถทางน้ำยอดเยี่ยมส่วนหนึ่งคงมิใช่เื่ยากอันใด” ฉินจวินครุ่นคิดแล้วกล่าวขึ้น
“ประเสริฐ! ข้ากลับ้าไปชมดู สถานที่พำนักของคุนเผิงนี้มีลักษณะเป็เช่นไร” ดวงตาฉางชิงจื่อเปล่งประกายความตื่นเต้นขึ้นแวบวาบ
นั่นคือสถานที่พำนักของสัตว์อสูรเทพศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน สำหรับสำนักบริบาลเดรัจฉาน สำนักที่ควบคุมสัตว์อสูรจิติญญาเป็หลักประเภทนี้ ย่อมมีแรงดึงดูดอย่างมหาศาลเลยทีเดียว
……
ณ ยอดเขาพันใบไม้
ตำหนักที่พำนักใหม่ของจ้านอู๋มิ่งโอ่โถง ประดับตกแต่งอย่างสวยงามตระการตา ทั้งโอ่อ่าหรูหรา เป็สีทองเหลืองอร่ามไปทุกที่ ปลูกสร้างขึ้นและตบแต่งตามแบบฉบับของตระกูลร่ำรวยมั่งคั่ง แบ่งออกเป็สามระดับ ชั้นบน กลาง และล่าง ชั้นบนสุดเป็ห้องรับแขก ใช้สำหรับการพบปะสังสรรค์กับมิตรสหาย ชมการต่อสู้ของสัตว์ร้ายในวันธรรมดาของจ้านอู๋มิ่ง พร้อมเครื่องดื่มและอาหารพร้อมพรั่ง ชั้นกลางเป็ห้องนั่งเล่นของจ้านอู๋มิ่ง ห้องโอสถกับห้องอ่านหนังสือ ค่อนข้างสะดวกสบาย
ห้องโอสถของผู้อื่นส่วนใหญ่ใช้กระถางหลอมโอสถเป็หลัก แต่ภายในห้องโอสถของจ้านอู๋มิ่งกลับจัดวางหม้อเหล็กขนาดใหญ่มหึมาใบหนึ่ง
ตอนที่จ้านอู๋มิ่ง้าหม้อเหล็กนั้น ตู้เทียนซิงใจนตะลึงงันไปแล้ว เ้าหมอนี่สนใจดูแลครอบครัวแบบนี้ขึ้นมาั้แ่เมื่อไร? กลับลงมือต้มน้ำแกงปรุงอาหารด้วยตนเองขึ้นมา ตอนหลังพอแวะมาดู หม้อเหล็กใบนี้ที่จ้านอู๋มิ่ง้า สามารถใส่ควายตัวใหญ่ลงไปได้ทั้งตัวอย่างสบายๆ นี่มันหม้อเหล็กที่ไหนกันเล่า กลับเหมือนกับสระน้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง บนหม้อเหล็กยังให้คนแกะสลักรูปแบบยันต์ค่ายกลต่างๆ เช่น การรวบรวมเปลวไฟ การชุมนุมจิติญญา รวบรวมพลังชีวิตและควบคุมความร้อนเป็ต้น หม้อเหล็กใบนี้คงไม่ได้สร้างขึ้นมาสำหรับทำน้ำแกงให้สัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวตัวนั้นกระมัง
จ้านอู๋มิ่งเองก็คร้านที่จะอธิบายให้ผู้อื่นฟัง ห้องโอสถของเขาก็ไม่มีผู้ใดกล้ามา ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดทราบว่าหม้อเหล็กใบนั้นได้ทำอะไรมาบ้างแล้ว
ยามนี้ จ้านอู๋มิ่งแช่ตัวลึกๆ อยู่ตรงก้นหม้อเหล็กภายในห้องโอสถ น้ำแกงสีแดงเืหม้อหนึ่ง ทำให้ทั่วทั้งห้องโอสถดูแปลกประหลาดสุดเปรียบปาน
น้ำแกงสีแดงเืเดือดพล่านปุดๆ อยู่ตลอดเวลา บนผิวน้ำดูเหมือนจะมีเปลวไฟบางๆ ชั้นหนึ่งลุกไหม้อยู่ จ้านอู๋มิ่งแช่ตัวอยู่ในน้ำแกงตลอดเวลา สีแดงเืในน้ำแกงสามารถมองเห็นว่าค่อยๆ เปลี่ยนเป็จืดจางลง ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว ในที่สุดน้ำแกงหม้อนั้นก็แปรเปลี่ยนกลายเป็น้ำใส "ตูมมม" น้ำภายในหม้อกระเซ็นออกมาเสียงดัง จ้านอู๋มิ่งค่อยๆ โผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ เส้นผมสีดำทั่วศีรษะหายไปจนหมดสิ้นแล้ว เหลือเพียงหัวล้านสดใสวาววับให้เห็น
ร่างกายจ้านอู๋มิ่งลอยขึ้นบนผิวน้ำ แสงสีแดงจางละมุนสายหนึ่งค่อยๆ มากัน ร่างกายเขาเรียบเนียนราวหยกขาว ทุกตารางนิ้วของผิวกายล้วนเปี่ยมจิติญญาและชีวิตชีวา เหมือนดั่งมีพลังอนันต์ไหลวนอยู่ภายในนั้น
“เจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน ในที่สุดก็ออกมาแล้ว” จ้านอู๋มิ่งเหยียดมือออก รู้สึกถึงทุกตารางนิ้วของิัและกระดูกในร่างกายล้วนเปี่ยมชีวิตชีวาไร้สิ้นสุด ความรู้สึกชนิดนั้น มันเหมือนกับต่อให้บดกระดูกเขาเป็ผุยผงก็ยังสามารถรักษาให้ฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง ทำให้เขามีความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม เวลานี้แม้ต้องเผชิญราชันาระดับสูงสุด ก็ไม่รู้สึกครั่นคร้ามแม้แต่น้อย
หลังผ่านการกลั่นขัดเกลาเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน โลหิตของสัตว์อสูรจิติญญาหนึ่งร้อยแปดตัวทั้งหมดล้วนถูกหลอมรวมเข้าสู่ร่างกายของจ้านอู๋มิ่ง รับรู้ถึงการผลัดเปลี่ยนของไขกระดูก ทำให้มีประสิทธิภาพในการผลิตเม็ดเืมากยิ่งขึ้น ระหว่างวางมือวาดเท้าล้วนมีพลังนับหมื่นชั่ง
“อื๋อ อาจารย์ลุงสองมีเื่้าเรียกหาข้า?” จ้านอู๋มิ่งสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย พบว่าบนโต๊ะของห้องโอสถมีกระดาษข้อความของหลิ่วหว่านอวี๋ทิ้งไว้ หัวใจรู้สึกอบอุ่น หลิ่วหว่านอวี๋ในชีวิตนี้เหมือนเช่นเดียวกับหลิ่วหว่านอวี๋ในชาติภพก่อนหน้านี้ ดีงามบริสุทธิ์ หัวใจดวงเดียวอันใสกระจ่าง ไม่ปิดบังความรักที่มีต่อตนแม้แต่น้อยนิด ติดตามตนมาโดยตลอดเส้นทาง ไม่ว่าตนจะตกอยู่ในอันตรายกี่ครั้งระหว่างการคัดเลือกใหญ่ของสำนักนิกาย หรือว่าเล่นกับสัตว์อสูรเหม็นหึ่งทุกชนิดอยู่ในสำนักบริบาลเดรัจฉานทุกวัน นางก็ไม่เคยเกรงกลัวหรือหลีกเลี่ยง ยิ่งไม่เคยคิดที่จะทอดทิ้งจากตนไป ชาตินี้ตนจะต้องทำให้นางมีอายุขัยยืนยาวและมีชีวิตที่มีความสุข จึงคู่ควรกับความรักที่นางมีให้ตนถึงสองชาติภพ
บนใบหน้าจ้านอู๋มิ่งประดับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น ค่อยๆ เดินออกจากห้องโอสถ
“ท่านพี่มิ่ง ในที่สุดท่านก็ออกจากด่านแล้ว? ” หลิ่วหว่านอวี๋พอเห็นจ้านอู๋มิ่ง พลันก็ะโเข้ามาอย่างตื่นเต้น
จ้านอู๋มิ่งโอบรอบเอวหลิ่วหว่านอวี๋อย่างยินดี ลูบใบหน้าสวยงามของนางอย่างแ่เบา หัวเราะพลางกล่าวว่า “บรรลุปรมาจารย์นักยุทธ์ระดับแปดแล้ว ความเร็วในการบ่มเพาะรวดเร็วจริงๆ”
“ยังมิใช่ผลงานของท่านพี่มิ่งอีกหรือ ถ้าท่านพี่มิ่งไม่ใช้แก่นโลหิตสัตว์อสูรจิติญญาล้างไขกระดูกให้ข้า ข้าก็คงไม่สามารถทะลวงด่านได้รวดเร็วเช่นนี้ แต่ข้าก็ยังคงไม่สามารถเห็นฐานการบ่มเพาะของท่าน หรือว่าท่านพี่มิ่งทะลวงด่านบรรลุราชันาแล้ว?”
หลิ่วหว่านอวี๋ใบหน้าร่าเริงสดใส ถึงแม้่นี้จะห่างไกลจากบรรดาญาติๆ แต่ติดตามจ้านอู๋มิ่งมา วันเวลาผ่านไปอย่างสุขสันต์ หลิ่วหว่านอวี๋นิสัยยังเด็กอยู่ ชื่นชอบการละเล่นที่สนุกสนาน จ้านอู๋มิ่งก็มิใช้เส้นทางชีวิตเรียบง่ายปกติ แต่ละวันสร้างแต่ปัญหาความเดือดร้อนอยู่ร่ำไป จึงสามารถเล่นด้วยกันได้อย่างถูกคอจริงๆ
เจี่ยชิงมักให้นกอินทรีส่งจดหมายกลับไปตระกูลหลิ่วรายงานสถานการณ์ ตระกูลหลิ่วทราบว่าบุตรสาวฝากตัวอยู่ในสำนักบริบาลเดรัจฉาน สำหรับตระกูลก็เป็เื่น่ายินดีเื่หนึ่ง ได้ทราบว่าจ้านอู๋มิ่งที่บุตรสาวติดตามไปเป็ศิษย์คนโปรด เป็ดั่งสมบัติวิเศษของสำนักบริบาลเดรัจฉาน ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกคราหนึ่ง
ในตอนต้น ตระกูลหลิ่วทราบจากปากของเหยียนควนว่า ถึงแม้จ้านอู๋มิ่งปัญญาล้ำเลิศสูงส่งไร้ผู้ทัดเทียม แต่ว่าแม้กระทั่งพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ก็ไม่สามารถฝึกได้ เป็เพียงบุตรหลานตระกูลเล็กๆ ตระกูลหนึ่งในเมืองมู่เหย่เท่านั้น ตระกูลหลิ่วโกรธกริ้วยิ่งนัก หากมิใช่เพราะเหยียนควนบอกว่าจ้านอู๋มิ่งน่าจะเป็ปรมาจารย์นักพยากรณ์ชีวิตผู้หนึ่ง ทำให้พวกเขาต้องระงับความคิดไปเมืองมู่เหย่เพื่อบังคับหลิ่วหว่านอวี๋กลับทันที สถานการณ์ในวันนี้ก็จะแตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิงแล้ว
จวบจนกระทั่งจ้านอู๋มิ่งต่อสู้จนมีชื่อเสียงโด่งดังในอาณาจักรหนานเจา กลายเป็ทรัพยากรบุคคลแห่งแคว้นมหาจักรพรรดิชางเหยียนตี้กั๋ว ถึงแม้จะเป็เพียงปรมาจารย์นักยุทธ์เล็กๆ ผู้หนึ่ง แต่ได้รับการยอมรับจากมหาชนว่าเป็ราชันแห่งอัจฉริยะของแคว้นมหาจักรพรรดิชางเหยียนตี้กั๋ว ตระกูลหลิ่วจึงรู้สึกยินดีขึ้นมาแล้วที่บุตรสาวพบทรัพยากรบุคคลเด่นล้ำเช่นนี้ผู้หนึ่ง
สำหรับเื่ที่จ้านอู๋มิ่งเป็ปฏิปักษ์กับสำนักกระบี่ิญญาและตระกูลหนานกงนั้น ตระกูลหลิ่วก็กังวลอยู่พักหนึ่ง ดีที่สำนักกระบี่ิญญาและตระกูลหนานกงไม่ได้ตรวจสอบพบความสัมพันธ์ระหว่างหลิ่วหว่านอวี๋และตระกูลหลิ่ว ตระกูลหลิ่วจึงรู้สึกวางใจและโล่งอกแล้ว
จ้านอู๋มิ่งทราบจากจดหมายของตระกูลหลิ่ว หลายเดือนที่ผ่านมา กองกำลังตระกูลเจิ้งพบศัตรูในทุกแห่งหน แม้แต่ในเมืองหลวงของราชวงศ์ต้าเหยียนก็ยังเคยถูกลอบโจมตีโดยกลุ่มอำนาจลึกลับ ตระกูลเจิ้งกำลังสั่นคลอนและตกที่นั่งลำบาก และทำให้บรรดาตระกูลหลิ่วและตระกูลเจิงกับตระกูลอื่นๆ ที่ถูกตระกูลเจิ้งคอยกดขี่ข่มเหงมาเป็ระยะเวลานานพากันถอนหายใจโล่งอก ต่างพากันอาศัยโอกาสนี้เพิ่มบทบาทของตระกูลจนมีอิทธิพลมากขึ้นภายในราชวงศ์ต้าเหยียน
สถานการณ์ในตอนนี้แคว้นมหาจักรพรรดิชางเหยียนตี้กั๋ววุ่นวายสับสน าระหว่างราชวงศ์ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หลังจากราชวงศ์ต้าเหยียนขาดการสนับสนุนของเม็ดโอสถะเิเพลิงของตระกูลจ้าน ประสบความพ่ายแพ้ในศึกาอยู่เนืองๆ พากันตื่นตระหนกไปทั่วทั้งประเทศ
ตระกูลหลิ่วก็ผันแปรอำนาจของตระกูลลงสู่ใต้ดินอย่างเงียบๆ หลายตระกูลล้วนรู้สึกรางๆ ว่าเื้ัาระหว่างราชวงศ์ คล้ายดั่งจะมีมือข้างหนึ่งควบคุมกำกับอยู่ ราชวงศ์ที่ถูกม้วนเข้ามามีส่วนร่วมในาเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้ายังคงเป็เช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เกรงว่าแม้แต่แคว้นมหาจักรพรรดิชางเหยียนตี้กั๋วก็ไม่สามารถยับยั้งได้อีกต่อไป
หลังจากที่จ้านอู๋มิ่งทราบข่าวนี้ เขาเพียงแต่ยิ้มๆ สีหน้าลึกซึ้งสุดหยั่งคาด เขาไม่ได้บอกให้หลิ่วหว่านอวี๋ทราบ ทั้งหมดนี้เป็ฝีมือของท่านแม่กับตระกูลจ้านและตระกูลฉิน
ความแค้นของตระกูลฉินมีเพียงการทำลายตระกูลหนานกงและแคว้นมหาจักรพรรดิชางเหยียนตี้กั๋วลงเท่านั้นจึงสามารถแก้แค้นสำเร็จ แคว้นมหาจักรพรรดิชางเหยียนตี้กั๋วปกครองแผ่นดินใหญ่นี้มานับหมื่นปี จะถูกทำลายลงง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างไร การดำเนินการตามแผนของจ้านอู๋มิ่ง อาศัยความวุ่นวายของราชวงศ์สั่นคลอนความสงบสุขของแคว้นก่อน เวลาที่แคว้นแข็งแกร่ง ทุกเื่ก็จะมิใช่ปัญหา ยามที่จักรวรรดิเริ่มสั่นคลอน ปัญหาบางอย่างที่เคยไม่เป็ปัญหาล้วนสามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองตามมา จนพัฒนาขึ้นกลายเป็ภัยพิบัติหายนะ
มีคนจำนวนมากมายที่้าแทนที่ตระกูลชางเหยียนเพื่อเข้าปกครองอาณาจักร แต่ถูกสะกดข่ม เก็บกดตลอดมา ไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อยนิด หากราชวงศ์ต่างๆ เกิดความสับสนวุ่นวายขึ้นมา โอกาสก็มาถึงแล้ว
ถ้าถึงเวลานั้น ตระกูลฉินและตระกูลจ้านแข็งแกร่งเพียงพอ ทั่วทั้งแคว้นรวมตัวกันเป็หนึ่งเดียว ตระกูลชางเหยียนก็จะกลายเป็เนื้อบนเขียง แม้ว่าตระกูลฉินและตระกูลจ้านจะไม่แข็งแกร่งเพียงพอ แต่การจัดการกับคนที่ถูกผลักลงมาจากบัลลังก์จักรพรรดิเช่นสุนัขหลงทางที่สูญเสียเ้าของ ก็ยังคงสามารถทำได้อย่างเกินพอ
……
“ไปกันเถิด ไปหาอาจารย์ลุงสองด้านโน้นพร้อมกับข้า” จ้านอู๋มิ่งครุ่นคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน ก็คิดไม่ออกว่าฉินจวินตามหาตนมีเื่ใดกัน พาลไม่ไปคิดมันแล้ว ชักชวนหลิ่วหว่านอวี๋คำหนึ่งไปหาฉินจวินด้วยกัน
[1] สัตว์อสูรในตำนาน ขนาดตัวใหญ่มาก แปลงร่างมาจากปลาั์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้