“พะ พี่เฟิง วิธีการฝึกฝนเช่นนี้มันอะไรกัน ช่างน่าในัก มันคงไม่ใช่เคล็ดวิชาที่ชั่วร้ายหรอกนะ”
มู่ขวงกลืนน้ำลายลงคออย่างตระหนก ก่อนจะกล่าวออกมา
“แม้มนุษย์บนโลกนี้จะมีการแบ่งแยกดีชั่ว แต่ตัวเคล็ดวิชาจะแบ่งแยกดีชั่วเหมือนมนุษย์ได้อย่างไร ด้วยวิธีการฝึกนี้จะสามารถเปลี่ยนพลังเืของสิ่งมีชีวิตให้กลายเป็พลังปราณและพลังชีวิตของเราได้ นอกจากนี้เรายังสามารถดูดซับพลังฟ้าดินได้เหมือนเดิม อีกทั้งการบ่มเพาะวรยุทธ์ยังทำได้รวดเร็วกว่าเคล็ดวิชาเถี่ยเซวี่ยตานซินของตระกูลมากนัก”
มู่เฟิงกล่าวอธิบาย หลังได้ยินดังนั้นมู่ขวงก็ยังคงมีสีหน้าประหลาดใจอยู่
“วิธีการบ่มเพาะวรยุทธ์จากพลังเืของสิ่งมีชีวิตเช่นนี้… เคล็ดวิชานี้ท่านได้มาจากที่ใดกัน ไม่ใช่เคล็ดวิชาในตระกูลใช่หรือไม่?”
“เ้าไม่จำเป็ต้องสนใจถึงที่มาของมันหรอก หากเ้า้าพัฒนาความแข็งแกร่งโดยเร็วก็จงเลือกฝึกวิธีนี้เสีย เพียงแต่เื่นี้เ้าจะแพร่งพรายออกไปไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นมันอาจจะดึงดูดความโลภของผู้คนจนนำหายนะมาสู่ตัวของเ้า”
มู่เฟิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
มู่ขวงเงียบไปครู่หนึ่ง แม้ปราณกระดูกของเขาจะถือว่าไม่เลว แต่ก็ไม่นับว่าเป็อัจฉริยะ ดังนั้นหากเขา้าจะติดตามมู่เฟิง ด้วยระดับวรยุทธ์เพียงเท่านี้ เขาจะต้องถูกกำจัดทิ้งเป็แน่
‘ในเมื่อพี่เฟิงเชื่อใจและยอมถ่ายทอดเคล็ดวิชาลับสุดยอดนี้ให้ข้า เช่นนั้นข้าจะทำผิดต่อความตั้งใจของเขาได้อย่างไร... ความแค้นของพี่เฟิง ข้าจะต้องช่วยเขาสะสางมันให้ได้!’
แววตาของมู่ขวงแสดงออกถึงความมุ่งมั่นอย่างชัดเจน “ข้าจะฝึกมันขอรับ”
“คิกๆ เอาละ ตอนนี้เรามาล่าสัตว์อสูรให้ได้มากที่สุดกันเถอะ มาดูกันว่าการขึ้นเขาในคราวนี้ เ้าจะสามารถสั่งสมพลังปราณได้มากพอที่จะเปิดเส้นลมปราณระดับจื่อฝู่ได้หรือไม่”
มู่เฟิงเหยียดยิ้มก่อนหยัดกายลุกขึ้น เขานำดาบออกมาอีกครั้ง และเดินมุ่งหน้าเข้าไปในป่าต่อ โดยมีมู่ขวงเดินตามหลังมาอย่างใกล้ชิด
หลังจากทำการค้นหาในป่าเพียงไม่นาน คนทั้งคู่ก็ได้พบกับหมูป่าั์อีกตัวหนึ่ง
คราวนี้เป็มู่ขวงที่เข้าไปลงมือสังหารมัน แม้ทักษะการเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่มจะไม่ได้ว่องไวเท่ากับของมู่เฟิง แต่เขาก็สามารถใช้พละกำลังของตัวเองสังหารหมูป่าั์ตัวนี้ได้
มู่เฟิงจัดการคว้านอวัยวะภายในของหมูป่าั์ออกมาก่อน จากนั้นเด็กหนุ่มทั้งสองได้ช่วยกันลงมือขุดหลุมกับดักขึ้น เมื่อกับดักเสร็จสิ้นพวกเขาก็วางอวัยวะภายในที่เปื้อนไปด้วยเืเอาไว้บนนั้น
จากนั้นมู่เฟิงได้ขอให้มู่ขวงนำร่างไร้ิญญาของหมูป่าั์ไปยังอีกฝั่งของกับดัก ก่อนจะให้มู่ขวงเริ่มทำการดูดซับพลังเืจากร่างของมันทันที
มู่ขวงเริ่มทำตามวิธีการของเคล็ดวิชาที่มู่เฟิงถ่ายทอดให้ เด็กหนุ่มส่งพลังปราณของตนเข้าไปในร่างไร้ิญญาของหมูป่าั์ ฉับพลันนั้นเืในร่างของมันก็เริ่มเผาไหม้อย่างรวดเร็ว และเพียงไม่นานมันก็กลายเป็คลื่นพลังโลหิตไหลซึมเข้าสู่ร่างกายของมู่ขวงในทันที
แต่เมื่อพลังเืได้ซึมซับเข้าสู่ร่างกายของมู่ขวงแล้ว เด็กหนุ่มกลับรู้สึกราวกับกำลังมีน้ำเดือดไหลเข้าสู่ร่างกายของตน เขาอดไม่ได้ที่จะคำรามออกมาด้วยเสียงโทนต่ำ อีกทั้งใบหน้ายังบิดเบี้ยวด้วยความเ็ป
“อ๊า...เจ็บ เ็ปเหลือเกิน...!”
มู่ขวงกรีดร้องออกมาอย่างน่าสงสาร สิ่งนี้ทำให้มู่เฟิงใเป็อย่างมาก ในระหว่างการดูดซับพลังเืเขาไม่เคยมีความรู้สึกเ็ปแบบนี้มาก่อน ในทางตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกผ่อนคลายด้วยซ้ำ
“เสี่ยวขวง เ้าเป็อะไรไป?”
มู่เฟิงเอ่ยถามอย่างร้อนรน
“ข้าไม่รู้ พี่เฟิง ข้าเ็ปเหลือเกิน ร่างกายของข้าร้อนมาก พลังเืที่ไหลเข้าสู่ร่างกายของข้า มันให้ความรู้สึกราวกับน้ำมันที่กำลังเดือด”
มู่ขวงพยายามกัดฟันอธิบาย เวลานี้เขายังคงพยายามทำตามวิธีการที่มู่เฟิงถ่ายทอดให้ แต่เห็นได้ชัดว่าเส้นเืบนร่างกายของเขานั้นกำลังดิ้นขยุกขยิกราวกับไส้เดือน และเหมือนว่ามันกำลังค่อยๆ โป่งพองขึ้น
“หรือเป็เพราะมีอะไรผิดพลาด เสี่ยวขวง เ้ารีบหยุดเร็วเข้า!”
มู่เฟิงพลันตระหนักได้ถึงปัญหาสำคัญ สาเหตุที่เขาเริ่มฝึกเคล็ดวิชาชูร่า นั่นเป็เพราะเขามีเส้นลมปราณที่ต่างจากคนทั่วไป
เส้นลมปราณของเขาคือเส้นโลหิติญญาที่ถูกควบแน่นขึ้นมาใหม่ เป็เส้นลมปราณสำหรับการฝึกเคล็ดวิชาชูร่าโดยเฉพาะ แต่สำหรับมู่ขวงนั้นมันกลับเป็เพียงเส้นลมปราณธรรมดา
“ขะ ข้าหยุดมันไม่ได้ พี่เฟิงช่วยข้าด้วย ในร่างกายของข้าเ็ปเหลือเกิน”
ดวงตาของมู่ขวงแดงก่ำจากความเ็ป เหงื่อกาฬไหลอาบออกมาทั่วทั้งร่าง
“เ้าเด็กสารเลว เ้ากำลังจะฆ่าน้องของเ้าแล้ว!”
ทันใดนั้นได้ปรากฏน้ำเสียงเ็าของสตรีนางหนึ่งขึ้นภายในร่างของมู่เฟิง
มู่เฟิงใเป็อย่างมาก แต่เมื่อกวาดตามองไปโดยรอบเขากลับไม่พบใครเลยสักคน
“ไม่จำเป็ต้องมองหา ข้าอยู่ในร่างของเ้า”
เสียงของสตรีคนเดิมดังขึ้นอีกครั้ง
“อยู่ในร่างของข้า เหลวไหลนัก นั่นใคร? เป็ใครกันแน่ที่แอบซ่อนตัวอยู่?”
มู่เฟิงกล่าวเสียงเย็น เด็กหนุ่มกระชับดาบในมือเอาไว้แน่น ตั้งท่าเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้
“เ้าไม่เชื่องั้นรึ”
ทันใดนั้น ตรงหน้าอกของมู่เฟิงได้ปรากฎจี้หยกรูปหัวใจสีแดงเืโผล่ออกมาจากภายในร่างกายของเขา มันส่องแสงสลัวคล้ายสีของโลหิต ทั้งยังให้ความรู้สึกงดงามและน่าดึงดูด
เมื่อได้เห็นภาพนี้ สมองของมู่เฟิงก็พลันมึนงงขึ้นมาทันใด เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงใว่า “จี้หยกรูปหัวใจนี้เป็ท่านแม่ที่ทิ้งไว้ให้ข้า มันเข้าไปอยู่ในร่างกายของข้าั้แ่เมื่อใดกัน?”
สำหรับจี้หยกรูปหัวใจนี้ แน่นอนว่าเด็กหนุ่มย่อมรู้จักมันเป็อย่างดี มันคือของสิ่งเดียวที่มารดาของเขาเหลือทิ้งไว้ให้ และเขาก็พกมันติดตัวมาั้แ่เด็ก
แต่หลังจากเขากลับมาจากสนามรบในครั้งนั้น เขากลับไม่ได้เห็นมันอีก เดิมทีเขาคิดว่ามันคงสูญหายไปแล้ว และเื่นี้ทำให้มู่เฟิงเศร้าใจอยู่พักใหญ่ ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วจี้หยกรูปหัวใจชิ้นนี้กลับอยู่ในร่างกายของเขาเอง
มู่เฟิงจ้องมองจี้หยกรูปหัวใจที่เปล่งประกายสีโลหิตออกมา พลางกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงใว่า “เสียงเมื่อครู่คือเ้างั้นหรือ?”
“ไร้สาระ หากไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็ใคร หากไม่ใช่เพราะข้า เ้าคงตายในสนามรบไปแล้ว”
สตรีผู้นั้นกล่าวอย่างเ็า
“จะ เ้าคือของสิ่งนี้หรือ จี้หยกชิ้นหนึ่งจะสามารถพูดได้อย่างไร?”
มู่เฟิงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“ข้าไม่ใช่ของสิ่งนี้ ไม่ ข้าคือสิ่งนี้ เอ่อ... ไอหยา เ้าเด็กนี่กำลังทำข้าสับสน”
จี้หยกรูปหัวใจเริ่มขุ่นเคือง มันจึงกระแทกไปยังศีรษะของมู่เฟิงอย่างแรง ท่าทางของมันราวกับเด็กสาวที่กำลังเกรี้ยวกราด มู่เฟิงเบะปากด้วยความเ็ป
“เอาละ เอาละ ข้าไม่สนว่าเ้าจะเป็ของสิ่งนี้หรือไม่ แต่น้องชายของข้าเป็อย่างไรบ้าง ข้าสามารถช่วยอะไรเขาได้หรือไม่?”
มู่เฟิงมองไปทางมู่ขวงที่กำลังทุรนทุรายด้วยความเ็ป เขาจึงรีบเอ่ยถามอย่างเป็กังวล
“เ้าคิดว่าเคล็ดวิชาชูร่าเป็สิ่งที่ใครก็สามารถฝึกได้งั้นหรือ มีแค่ผู้ที่มีเส้นโลหิติญญาเท่านั้นที่จะสามารถดูดซับพลังเืได้ เส้นลมปราณปกติไม่สามารถดูดซับได้หรอกนะ แต่หากยังฝืนดึงดันที่จะดูดซับเข้าไป ย่อมต้องถูกพลังแห่งเืแผดเผาจนตาย”
จี้หยกรูปหัวใจกล่าวด้วยความโมโห
“อ๊า เช่นนั้นข้าจะช่วยเขาได้อย่างไร!”
มู่เฟิงยิ่งเป็กังวลหลังได้ฟังดังนั้น เขาเหลือบมองไปทางมู่ขวงที่กำลังเ็ป พลางนึกตำหนิตัวเอง
“ไม่มีทางอื่นแล้ว ทำได้เพียงโน้มนำพลังเืให้ผสานเข้ากับเืเนื้อของเขาเอง ด้วยวิธีนี้ร่างกายของเขาจะแกร่งขึ้น เพียงแต่ว่าระหว่างนั้นเขาจะต้องอดทนต่อความทรมานให้ได้ หากเขาสามารถผ่านพ้นไปได้ มันย่อมส่งผลดีต่อการฝึกในอนาคตของเขา แต่หากเขาไม่อาจอดทนต่อความเ็ปได้ พลังเืจะพลุ่งพล่านและะเิร่างของเขาในท้ายที่สุด”
จี้หยกรูปหัวใจกล่าว
“แล้วข้าต้องทำอย่างไร?”
“เ้าจงส่งพลังปราณของเ้าเข้าไปในร่างของเขา เพื่อช่วยเขาในการโน้มนำพลังเื ในเวลาเดียวกันนั้น ข้าจะถ่ายทอดวิธีการหลอมโลหิตเข้าร่างของเคล็ดวิชาชูร่าให้กับเ้า จากนั้นเ้าก็จงดำเนินการตามวิธีของมัน ช่วยโน้มนำพลังเืให้เข้าสู่ร่างกายของเขา และให้เขาจดจำวิธีการของเ้าแล้วทำมันต่อด้วยตัวเอง”
หลังได้ยินดังนั้น มู่เฟิงไม่รอช้ารีบนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้ามู่ขวง ก่อนจะส่งพลังปราณของตัวเองเข้าไปในร่างของอีกฝ่าย ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็พยายามโน้มนำพลังเืที่กำลังพลุ่งพล่านไปด้วย
ฉับพลันนั้นเอง จี้หยกรูปหัวใจได้ส่องแสงสีทองออกมา โดยแสงนั้นได้พุ่งเข้าหาศีรษะของมู่เฟิงโดยตรง มู่เฟิงรับรู้ได้ถึงความเ็ปในร่างกายของตน ก่อนจะมีความทรงจำบางอย่างที่ไม่ใช่ของตัวเขาเองหลั่งไหลเข้ามาในหัว แน่นอนว่านี่คือภาพวิธีการที่จี้หยกรูปหัวใจได้กล่าวถึง
ตอนนี้มู่เฟิงไม่มีเวลามาประหลาดใจแล้ว เขาเริ่มโน้มนำพลังเืในร่างของมู่ขวงให้ไหลเข้าสู่เส้นลมปราณของอีกฝ่าย เพื่อผสานมันเข้ากับร่างของเด็กหนุ่มทันที
“อ๊าก…!”
มู่ขวงคำรามออกมาอย่างเ็ป ดวงตาของเขากลายเป็แดงก่ำ
“เสี่ยวขวง อดทนไว้ จดจำวิธีการนี้เอาไว้ให้ดี พี่เฟิงจะไม่ทำร้ายเ้า อดทนไว้”
มู่เฟิงะโเสียงดัง มู่ขวงพยักหน้าพร้อมกัดฟันแน่น พยายามดูดซับพลังเืเ่าั้อย่างต่อเนื่อง
มู่ขวงตัวสั่นเทาด้วยความเ็ป ร่างกายของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็สีแดงก่ำ เหงื่อกาฬยังคงหลั่งไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากนั้นไม่นาน เม็ดเหงื่อก็ได้กลายเป็หยาดเืสีแดงคล้ำที่ถูกขับออกมาแทน!
“อ๊า ไม่เลว เ้าเด็กนี่มีจิตใจที่มุ่งมั่นและเข้มแข็งมาก”
จี้หยกรูปหัวใจกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“หรือบางที เ้าเด็กนี่อาจจะสามารถกลายเป็ร่างหลอมิญญาโลหิตก็ได้”
จี้หยกรูปหัวใจครุ่นคิด ในเมื่อมีโอกาสอยู่ตรงหน้าก็ควรจะรีบคว้าเอาไว้ เพราะหากขืนชักช้าโอกาสอาจจะหลุดลอยไปได้