ตอนที่ 55 เสียงกลไลเตือนภัย
หลังจากฉินไท่เฟยดื่มน้ำชาเป็ที่เรียบร้อย แล้ววางแก้วน้ำชาลง แม่นมชวีได้ยกกล่องกำมะหยี่เดินเข้ามา
ฉินไท่เฟยรับกล่องกำมะหยี่มาเปิดออกดู เห็นเป็กำไลหยกแดงสะท้อนแสงเข้าตา “นี่เป็กำไลที่ท่านปู่มอบให้อายเจียในวันแต่งงาน อาเจียยังคงเก็บไว้จนถึงปัจจุบัน บัดนี้ขอส่งต่อให้หลานแล้วกัน”
“ขอบพระทัยเพคะ” มู่อวิ๋นจิ่นยื่นมือออกไปรับอย่างไม่ปฏิเสธ
ฉินไท่เฟยพยักหน้าให้ ก่อนจะมองดูเวลาที่ตอนนี้ก็ล่วงเลยมาไม่น้อย “แม้อายเจียอยากให้เ้าทั้งสองอยู่ทานอาหารยามเที่ยงด้วยกัน ทว่าวันนี้จิ่นเอ๋อร์ยังต้องกลับไปคารวะท่านพ่อท่านแม่ของเ้าอีก เช่นนั้นพวกเ้ารีบไปที่จวนอัครเสนาบดีแล้วกัน”
“
“พ่ะย่ะค่ะ” ฉู่ลี่ตอบรับด้วยเสียงราบเรียบ
เมื่อเดินออกจากตำหนักดอกเหมย มู่อวิ๋นจิ่นยื่นกล่องกำมะหยี่ที่ฉินไท่เฟยมอบให้ไว้ที่จื่อเซียง พร้อมกับเอ่ยปากว่า “สิ่งของที่เรือนบุปผาภิรมย์ไม่มีอะไรหลงเหลือตกหล่นแล้วใช่หรือไม่?”
จื่อเซียงนึกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนส่ายหน้าปฏิเสธ “สิ่งของไม่น่ามีอะไรตกหล่นแล้ว บ่าวได้ย้ายออกจากเรือนบุปผาภิรมย์หมดแล้วเ้าค่ะ”
“ตอนที่บ่าวเก็บของนั้น ไม่เห็นหยกประจำตัวของคุณหนู เกรงว่ายังอยู่ในมือขององค์ชายหกเ้าค่ะ” จื่อเซียงพูดเสริมขึ้นมา
พอเอ่ยถึงหยกประจำตัว มู่อวิ๋นจิ่นได้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยราวกับเกือบลืมของชิ้นนี้ไปแล้ว จากนั้นเหมือนางจะคิดบางสิ่งขึ้นมาได้จึงหันไปมองฉู่ลี่ “ประเดี๋ยวกลับจวนไป นำสามหมื่นตำลึงทองให้ข้าด้วย”
บัดนี้นางแต่งเข้าไปในจวนขององค์ชายหก ไม่แน่ว่า วันหนึ่งวันใดนางอาจย้ายออกไปจะได้มีช่องทางในการใช้ชีวิต
ฉู่ลี่ที่ได้ยินดังนั้น ได้หันมามองมู่อวิ๋นจิ่นด้วยแววตาแน่นิ่ง ก่อนจะพยักหน้าเเทนคำตอบ
…
“มาถึงแล้ว มาถึงแล้วขอรับ!”
เมื่อผู้ดูแลจวนอัครเสานาบดีเห็นรถม้าวิ่งมาแต่ไกล ก็รีบวิ่งเข้ามาในห้องโถงรับรองอย่างรีบร้อน เพื่อให้อัครอัครเสนาบดีมู่เดินออกไปรอต้อนรับ
ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวออกจากห้องโถง ฉู่ลี่และมู่อวิ๋นจิ่นก็เดินเคียงคู่เข้ามาด้วยชุดสีม่วงประกายระยิบระยับสะท้อนแสงตะวันที่สาดส่อง
“หม่อมฉันคารวะองค์ชายหก คารวะพระชายาหก…” อัครอัครเสนาบดีมู่โค้งคำนับให้ทั้งสอง
ด้านหลังอัครเสานบดีมู่ ยังมีเว่ยหานเฉี่ยว ลัวหนิงอวี่และคนอื่น ๆ มายืนต้อนรับและทำความเคารพอยู่สองข้าง พร้อมกับเอ่ยเรียกมู่อวิ๋น จิ่นว่า “พระชายาหก”
มู่อวิ๋นจิ่นที่ได้ยินกลับรู้สึกเก้ ๆ กัง ๆ ทำตัวไม่ถูก
“อัครเสานาบดีมู่ ไม่ต้องมากพิธี ตามสบายได้” ฉู่ลี่เอ่ยเสียงเรียบโดยเอ่ยชื่อตำแหน่งในราชสำนัก มิใช่เรียกว่าพ่อตา
แม้ว่าอัครเสานาบดีมู่จะไม่ค่อยชอบใจนัก แต่มิกล้าเอ่ยให้มากความ ทำได้เพียงฉีกยิ้มให้กับฉู่ลี่เท่านั้น “ในจวนได้เตรียมของว่างและน้ำชาไว้รับรองเรียบร้อยแล้ว เชิญองค์ชายหกและพระชายาหกไปที่ห้องโถงพ่ะย่ะค่ะ”
ในห้องโถงนั้น ที่นั่งของฉู่ลี่และมู่อวิ๋นจิ่นถูกจัดไว้กลางห้องซึ่งเป็ตำแหน่งสูงสุด ส่วนอัครเสานาบดีมู่ที่นั่งลงในตำแหน่งด้านข้างลดหลั่นไปนั้น ได้ส่งสายตาให้กับลัวหนิงอวี่
ลั่วหนิงอวี่พลันเข้าใจได้ทันที พลางเอ่ยด้วยเสียงสดใส “ลูกอวิ๋นจิ่นคงไม่ได้สร้างความลำบากให้กับองค์ชายหกใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ได้สร้างแม้แต่น้อย” ฉู่ลี่ส่ายหน้า
“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี” ลัวหนิงอวี่ยิ้มตามน้ำไปและไม่รู้จะชวนคุยอะไรต่อ เนื่องจากฉู่ลี่นั้นทำหน้านิ่งขรึม
ในเวลานี้ มู่อวิ๋นหานได้เดินเข้ามาในห้องโถง พร้อมกับยกมือขึ้นประสานทำความเคารพมู่อวิ๋นจิ่นกับฉู่ลี่ “คารวะองค์ชายหก คารวะพระชายาหก”
“หัวหน้าทหารมู่ตามสบาย” ฉู่ลี่จ้องมองไปที่มู่อวิ๋นหาน
มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกจนปัญญากับพี่ใหญ่ผู้นี้เสียจริง จึงเอ่ยยิ้ม ๆ “พี่ใหญ่ วันนี้ตอนเช้าไม่อยู่ที่จวนไปไหนมาหรือ?”
“ฝ่าาได้แต่งตั้งพี่ใหญ่ของพระชายาเป็หัวหน้าทหาร ดูแลค่ายทหารที่ตั้งอยู่นอกเมืองพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสานาบดีมู่ตอบกลับมู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นที่ได้ยินก็พยักหน้ารับทราบ
เมื่อมู่อวิ๋นหานเดินไปนั่งที่แล้ว จู่ ๆ มู่หลิงจูที่ใบหน้าซีดขาวใส่อาภรณ์ในชุดเขียวอ่อน ก็เดินเข้ามาให้ห้องโถงอย่างเนิบนาบ
ทันทีที่เห็นมู่หลิงจู สีหน้าอัครเสานาบดีมู่ก็พลันเปลี่ยนไป “เ้ามาที่นี่ได้อย่างไร ข้าบอกแล้วมิใช่หรือ หากไม่มีคำสั่งห้ามออกจากหอมุกดาแม้แต่ก้าวเดียว”
ถึงแม้ก่อนที่ซูปี้ชิงจะถูกปะาได้ยอมรับความผิดไว้ที่ตัวเพียงผู้เดียว แต่อัครเสานาบดีมู่กลับไม่เชื่อว่าบุตรสาวของซูปี้ชิงที่เขาเคยรักอย่างสุดใจจะบริสุทธิ์ตามที่ซูปี้ชิงลั่นวาจาไว้
“ท่านพ่อโปรดให้อภัยลูกด้วย ลูกได้ยินมาว่าท่านพี่จะกลับมายกน้ำชาคารวะท่านพ่อท่านแม่ จึงตั้งใจมาร่วมเพียงเท่านั้นเ้าค่ะ”
ยังไม่ทันที่จะกล่าวจบดี มู่หลิงจูได้หันไปคุกเข่าทำความเคารพฉู่ลี่และมู่อวิ๋นจิ่น “หลิงจูคารวะองค์ชายหก คารวะพระชายาหกเพคะ”
ด้านฉู่ลี่มิได้เอ่ยปากตอบกลับ
มู่อวิ๋นจิ่นแอบชำเลืองไปที่ฉู่ลี่ เห็นเขาไม่มีท่าทีสนใจมู่หลิงจูแม้แต่น้อย จึงเอ่ยปากเสียงเอง “ลุกขึ้นเถอะ”
“ขอบพระทัยองค์ชายหก ขอบพระทัยพระชายาหกเพคะ” หงเซียช่วยประคองมู่หลิงจูให้ลุกขึ้นมา ่จังหวะนั้นมู่หลิงจูส่งสายตาอาฆาตแค้นไปยังมู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นที่เห็นนางแอบกำหมัด เม้มปากแน่นเช่นนั้น จึงทราบได้ในทันทีว่าในตอนนี้มู่หลิงจูพยายามฝืนกดความรู้สึกเอาไว้ภายในใจ
บุรุษที่นางหมายปองมากว่าแปดปีเต็ม บัดนี้กลายเป็ “พี่เขย” ไปเสียแล้ว เป็สตรีคนไหนก็ยากยอมรับเื่นี้ได้
เวลาล่วงเลยมาถึงอาหารมื้อเที่ยง ลัวหนิงอวี่จัดเตรียมอาหารเลิศรสต้อนรับขับสู้ฉู่ลี่กับมู่อวิ๋นจิ่นเป็อย่างดี
มู่อวิ๋นจิ่นเห็นท่าทีที่ผิดปกติของลัวหนิงอวี่ แต่วันนี้กลับต้องมาทำตัวยิ้มแย้มแจ่มใสต้อนรับขับสู้ เห็นทีคงจะเพราะอัครอัครเสนาบดีมู่บังคบให้นางต้องมาทำหน้าที่นี้ ดูแล้วน่าสงสารนางอยู่มิน้อย
ั้แ่เกิดเหตุการณ์กับมู่อี้หยางทำให้ฮูหยินรองเว่ยหานเฉี่ยว กลายเป็คนเงียบขรึมไม่ค่อยพูดค่อยจา เอาแต่นั่งร่วมวงทานข้าวโดยไม่ปริปากแม้แต่น้อย
การร่วมรับประทานอาหารกลางวันในวันนี้จึงเต็มไปด้วยความอึดอัดคับข้องใจของทุกคน
…
และหลังจากที่รับประทานอาหารเป็ที่เรียบร้อยแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นรีบเอ่ยปากขอตัวกลับ เพราะไม่อยากอยู่ที่จวนอัครอัครเสนาบดีมู่เสียเต็มประดาแล้ว
เมื่อขึ้นรถม้ามู่อวิ๋นจิ่นก็หาท่าที่นั่งสบายที่สุด ถอนลมหายใจยืดยาว เข้าวังหลวงยกน้ำชาเรียบร้อย กลับจวนท่านพ่อท่านแม่ก็เรียบร้อยเช่นกัน ต่อจากนี้ก็เป็เวลาอิสระของนางบ้างแล้ว
รถม้าได้เดินทางจนมู่อวิ๋นจิ่นเห็นว่าไม่ถึงจวนองค์ชายหกเสียที นางจึงขมวดคิ้วด้วยความฉงน เอื้อมมือไปเปิดม่านออกเพื่อดูภายนอก
“นี่จะออกไปนอกเมืองอย่างนั้นหรือ?” มู่อวิ๋นจิ่นหันไปถามฉู่ลี่ด้วยเห็นว่าบรรยากาศรอบข้างแห้งแล้งไปหมด
“ใช่แล้ว” ฉู่ลี่พยักหน้าแทนคำตอบ
มู่อวิ๋นจิ่นรีบเบือนปาก ยกมือขึ้นกอดอกโดยไม่เอ่ยคำใดต่อ
“องค์ชายถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ไม่นานนัก รถม้าหยุดวิ่งลง พร้อมกับเสียงเอ่ยของติงเซี่ยนตามมา
มู่อวิ๋นจิ่นรีบะโลงจากรถม้ามาที่พื้นอย่างรวดเร็ว พร้อมเอ่ยความแปลกใจ “พวกเรามาทำอะไรที่วัดสุ่ยอวิ๋นกัน?”
พอถามจบแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นกลับรู้สึกได้ว่านางถามมากเกินไปแล้ว
ฉู่ชิงหยวนเคยเล่าว่าท่านแม่หรงเฟยของพวกเขาถูกกักตัวอยู่ที่วัดสุ่ยอวิ๋น เห็นทีวันนี้จะต้องพบหน้าหรงเฟยแล้วกระมัง
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้แล้วก็มีคนที่รู้สึกคุ้นเคยเดินเข้ามาใกล้ ๆ พร้อมกับเอ่ยด้วยความยิ้มแย้ม “อาตมาขอเจริญพรองค์ชาย เจริญพรพระชายาหก”
。
ผู้ที่มานั้นก็คือท่านอาจารย์ไฮว๋หยวน
ฉู่ลี่ก้มหน้ารับด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีเสียเท่าไหร่ ก่อนเม้มปากแแ่ “พาพวกเราไปที่ห้องลับเถอะ”
“ได้สิ ตามอาตมามา”
มู่อวิ๋นจิ่นเดินตามทั้งสองไป พลางครุ่นคิดว่าทั้งสองคนดูเหมือนจะรู้จักมักคุ้นกันมานานแล้ว หาใช่เพิ่งรู้จักกันเมื่อไม่นานมานี้ไม่
เห็นทีฉู่ลี่ก็แอบเป็ห่วงเป็ใยในเื่ของหรงเฟยมาโดยตลอดเช่นกัน
ระหว่างทางที่เดินต้องเดินผ่านต้นไม้พันปี มู่อวิ๋นจิ่นกลับมีความรู้สึกคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาดขึ้นมา อีกทั้งในใจของนางกลับรู้สึกตะขิดตะขวงใจบางอย่างเช่นกัน
มู่อวิ๋นจิ่นจึงหยุดฝีเท้าลง มองไปที่เรือนต่าง ๆ ด้วยความรู้สึกโศกเศร้าอาดูรภายในหัวใจ
ฉู่ลี่และท่านอาจารย์ไฮ๋หยวนที่เดินนำหน้า เมื่อรับรู้ว่ามู่อวิ๋นจิ่นไม่ได้เดินตามหลังมา จึงหยุดฝีเท้าลงทั้งคู่และหันกลับไปมอง จึงพบนางในชุดสีม่วงกำลังจ้องมองต้นไม้ที่ปลูกมากว่าพันปี ด้วยแววตาเปล่งความอาดูรอย่างสุดซึ้ง
ราวกับว่า…
กำลังรอคอยใครบางคนอยู่!
“มู่อวิ๋นจิ่นยังไม่รีบตามมาอีก!” ฉู่ลี่มองท่าทางของนางโดยปราศจากความหงุดหงิดรำคาญใจ
มู่อวิ๋นจิ่นได้สติขึ้นมาหันไปมองฉู่ลี่ จากนั้นค่อย ๆ เดินตามหลังไป
ไม่รู้ว่าเดินมาไกลเพียงใด ในที่สุดท่านอาจารย์ไฮ๋หยวนได้พาทั้งสองคนมาที่ห้องกลไก โดยที่ท่านอาจารย์ไฮ๋หยวนได้หยิบโคมไฟเดินเข้าไปด้วย
หลังจากที่ผลักประตูกลไกแล้ว ภายในห้องนั้นมืดมิดเสียจนยื่นมือออกไปแล้วไม่เห็นนิ้วทั้งห้า มู่อวิ๋นจิ่นจึงเข้าใจในทันทีถึงเหตุผลที่ท่านอาจารย์ไฮ๋หยวนนำโคมไฟเข้ามา
ที่แท้ภายในนี้มืดมิดจนมิอาจมองเห็นสิ่งใดได้แม้แต่น้อย
ความรู้สึกในเวลานี้ของมู่อวิ๋นจิ่นยากที่จะอธิบายออกมาได้ นางรู้สึกตื่นเต้นที่ต้องเดินเข้าไป
หลังจากที่เข้าไปในห้องกลไก ท่านอาจารย์ไฮ๋หยวนก็ถือโคมไฟนำหน้า โดยมีมู่อวิ๋นจิ่นเดินอยู่ข้างหลังสุด แต่นางกลับััได้ว่าฉู่ลี่ที่อยู่ตรงกลางเดินเชื่องช้ายืดยาดกว่าปกติมาก
ดูท่าแล้วมีโคมไฟแค่หนึ่งดวงนั้น มิอาจแก้ปัญหาความมืดมิดได้
ในที่สุด มู่อวิ๋นจิ่นก็อดรนทนไม่ไหว “หยกประจำตัวของข้า เ้านำติดตัวมาด้วยหรือไม่?”
ฉู่ลี่ค่อย ๆ คล้อยหลังหันกลับไปมอง เห็นมู่อวิ๋นจิ่นกำลังฉีกยิ้มน้อย ๆ บนใบหน้า
“นำมาด้วย” ฉู่ลี่ตอบกลับ
“อย่างนั้นทำไมเ้าไม่นำออกมาด้วย? ที่นี่มืดมิจนมองไม่เห็นทาง แม้ข้ายังต้องเปลืองแรงและเดินด้วยความยากลำบาก เ้าก็ยิ่งลำบากมากกว่าเสียอีก” มู่อวิ๋นจิ่นสัพยอกออกมา
เมื่อได้ยินคำหยอกเย้าของมู่อวิ๋นจิ่นดังนั้น ฉู่ลี่ก็ได้ล้วงมือไปหยิบหยกสีขาวบริสุทธิ์ดุจแสงจันทราออกจากเสื้อด้านใน หยกประจำตัวของมู่อวิ๋นจิ่นส่งแสงขาวเปล่งประกาย กระทั่งเห็นสิ่งต่าง ๆ ในห้องกลไกได้ทั้งหมด
มู่อวิ๋นจิ่นรู้เพียงว่าหยกประจำตัวของนางส่งแสงออกมาได้ ทว่าไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเลยว่าภายในห้องที่มืดมิด มันจะเปล่งแสงสว่างประกายได้มากเช่นนี้
อีกทั้งหยกประจำตัวชิ้นนั้นยังมีอักษรสลักว่า “อวิ๋นจิ่น” ปรากฏขึ้นชัดบ้างไม่ชัดบ้าง
ถึงตรงนี้มู่อวิ๋นจิ่นอดไม่ได้ที่จะสงสัย ไม่รู้ว่าคนที่ทำหยกประจำตัวชิ้นนี้ให้นางเป็ใครกัน เหตุใดจึงได้ทำหยกที่ล้ำค่าชิ้นนี้ขึ้นมา
เดินมาได้ประมาณสิบห้านาที ท่านอาจารย์ไฮ๋หยวนก็ได้หยุดฝีเท้าลง
“เหตุใดไม่เดินต่อไปเล่า?” มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยถามด้วยความฉงน
ท่านอาจารย์ไฮ๋หยวนหัวเราะออกมาด้วยไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ได้แต่ยกมือชี้ไปยังสถานที่อันโอ่อ่ากว้างขวาง “ทางข้างหน้า ท่านอาจารย์คงซื่อได้วางค่ายกลเอาไว้อย่างยอดเยี่ยม จนถึงปัจจุบันนี้ยังไม่มีผู้ใดสามารถผ่านไปได้”
“แล้วด้านในนั้นมีอะไรหรือ?” มู่อวิ๋นจิ่นถามอย่างใคร่รู้
ท่านอาจารย์ไฮ๋หยวนหันมองฉู่ลี่ ก่อนตอบกลับมู่อวิ๋นจิ่น “ด้านในนั้นเป็สถานที่ที่กักบริเวณหรงเฟยเอาไว้น่ะสิ”
พอเล่ามาถึงตรงนี้ มู่อวิ๋นจิ่นก็ปะติดปะต่อเื่ราวจนเข้าใจทั้งหมด ที่แท้ฉู่ลี่มีใจอยากช่วยหรงเฟย แต่ติดเพียงมิอาจผ่านค่ายกลเข้าไปได้ต่างหาก
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นเข้าใจทั้งหมด นางก็ทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้า
ท่านอาจารย์ไฮ๋หยวนแอบสังเกตแววตาของมู่อวิ๋นจิ่น ราวกับอ่านความคิดของนางออก จึงหยิบไข่มุกที่เตรียมไว้ไม่มากโยนไปด้านหน้า
พริบตาเดียวไข่มุกไม่กี่เม็ดกลับหยุดนิ่งกลางอากาศ จากนั้นมีเสียงกลไกเตือนภัยดังขึ้นต่อเนื่อง
ทันทีที่ได้ยินเสียงกลไกเตือนภัย มู่อวิ๋นจิ่นกลับเบิกตาโพลงอย่างคาดไม่ถึง ใบหน้าเปี่ยมด้วยความใกระทั่งมิอยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเต็มสองหู
เสียงกลไกยังคงเตือนภัยอยู่ต่อเนื่อง
มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วขึ้น เงี่ยหูฟังเสียงกลไกเตือนภัยไปรอบทิศ พลางกัดริมฝีปาก ก่อนจะก้มหน้าและหลับตาลง
เหตุใดที่นี่จึงมีเสียงกริ่งเตือนภัยเหมือนในมนุษย์ยุคปัจจุบันด้วย?
หรือว่าค่ายกลนี้จะเป็เทคนิคของมนุษย์ยุคปัจจุบัน?
ฉู่ลี่จ้องมองมู่อวิ๋นจิ่นโดยไม่กะพริบตาอยู่อย่างนั้น เก็บรายละเอียดท่าทาง ความรู้สึกของนาง รวมทั้งการเม้มปากของนางไว้ในหัวจนหมดสิ้น
“พระชายาหกเคยได้ยินเสียงกลไกเตือนภัยนี้มาก่อนด้วยหรือ?” ท่านอาจารย์ไฮ๋หยวนเอ่ยถามขึ้น ด้วยสังเกตเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของมู่อวิ๋นจิ่น
หลังจากนั้นเสียงกลไกเตือนภัยค่อย ๆ เบาลงจนหายไปในที่สุด มู่อวิ๋นจิ่นจึงค่อย ๆ รวบรวมสติกลับมา พร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น “ท่านอาจารย์บอกว่าค่ายกลนี้ ท่านอาจารย์คงซื่อเป็ผู้วางไว้อย่างนั้นหรือ?”