พวกผู้ใหญ่รวมตัวกันเพื่อปรึกษาหารือ เรียกเหล่าเด็กหนุ่มเข้ามาถาม พวกเขาสร้างปัญหาไม่เว้นแต่ละวัน จนไม่รู้ว่าถูกเรียกไปเพราะเื่ใด แต่ผู้ใดจะคิดว่าหลังสอบถามอย่างละเอียดแล้ว พวกผู้ใหญ่กลับต้องเครียดมากกว่าเดิม หารือกันอยู่ครึ่งค่อนวันเพื่อนัดแนะคำพูดให้เหล่าเด็กหนุ่ม ก่อนจะจ้างกลุ่มชายฉกรรจ์ติดตามไปที่ว่าการอำเภอด้วย “ขออภัยทุกท่านที่มารบกวน เราพาคนมาส่ง”
นี่เรียกว่ามาส่งที่ไหนกัน กลุ่มชายฉกรรจ์ประกาศจบก็เดินคุ้มกันเหล่าคุณชายเข้าไปในห้องโถง กระทำการอุกอาจไม่เกรงใจผู้ใด ทำอย่างกับยกพวกมาพังที่ว่าการอำเภอ
พอมาถึง เหล่าคุณชายจากตระกูลหลิวและสวี่ต่างไม่ยอมรับตามคำสารภาพของหลิวเปียว เอาแต่ปฏิเสธเสียงแข็ง
“จริงอยู่ที่เราทำร้ายผู้อื่นเพราะความโมโห แต่ต้นเหตุก็เพราะวัดทำลายสุสานบรรพชนของตระกูลเราก่อน”
นายอำเภอซานหยางได้ยินคำแก้ตัวของพวกเขา แทบอยากจะจับคนพวกนี้มาโบยแรงๆ สักสองสามครั้ง ทว่าคนพวกนี้พาคนติดตามจำนวนไม่น้อยมารออยู่ข้างนอก ที่ทำการของเขามีเ้าหน้าที่เพียงสิบกว่าคน หากเขาทำอย่างนั้นมีหวังได้ปะทะกันแน่ เ้าหน้าที่ไม่มีทางต้านคนพวกนั้นได้ จึงต้องหยุดความคิดนั้นไว้
เช่นนั้นคงต้องคุมตัวทุกคนเอาไว้ก่อน
……
“เหลวไหล! ไร้สาระ! อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ ว่ามันเป็ความคิดของเ้า!”
ิหยวนยืนอยู่กลางห้องตำรา ก้มหน้าฟังโหวอิงตำหนิ จอกชาถูกเขวี้ยงลงบนพื้น จอกกระเบื้องแตกเป็เสี่ยงๆ ชาร้อนกระเด็นโดนิหยวน ทว่าเขากลับยืนนิ่ง ไม่คิดจะหลบ และคุกเข่าลงบนเศษกระเบื้องที่กระจัดกระจายบนพื้น
“เ้าเก่งกล้ามากมิใช่หรือ! ไยถึงยังรู้จักคุกเข่าให้คนอื่น!” โหวอิงโกรธจัด เอื้อมมือไปคว้าไม้บรรทัดมาถือไว้ “พูด!”
ปกติเขาเป็คนสุขุมลุ่มลึก ไม่ว่าศิษย์จะซุกซนเพียงใดก็ไม่มีผลต่ออารมณ์สุนทรีย์ร่ำสุราเมามายใต้เตียงของเขา นี่เป็ครั้งแรกที่ิหยวนเห็นผู้เป็อาจารย์โกรธขนาดนี้
“ศิษย์ไม่กล้า”
“ไม่กล้าอะไร?! ใต้หล้านี้ยังมีสิ่งใดที่เ้าไม่กล้าทำอยู่อีกหรือ?!” ไม้บรรทัดฟาดลงบนไหล่ของิหยวนจนเสียการทรงตัว แต่เขาก็หยัดกายกลับมานั่งตัวตรงอีกครั้ง
“ศิษย์เพียงไปพบท่านเ้าอาวาส พอพบหน้าท่านก็ถามไถ่ ข้าเพียงเล่าความจริงเท่านั้นเอง”
มามุกนี้อีกแล้ว…
“หึ! แค่พูดความจริง…เท่านั้นเองสินะ” โหวอิงหัวเราะประชดความโกรธ เหตุใดเ้าศิษย์หัวดีผู้นี้ถึงไม่เข้าใจเื่นี้ “ฝ่าคงผู้นั้นเป็คนประเภทใดเ้าดูไม่ออกเลยหรือ วัดก่วงจี้อยู่ในความดูแลเขาแค่สิบปี ทรัพย์สินวัดก็เพิ่มขึ้นสิบเท่า ทำเื่ลับลมคมในไม่รู้เท่าไร เื้ัเขามีผู้คนไม่รู้เท่าไร มีความสัมพันธ์กันอย่างไรบ้างก็มิอาจรู้ได้ เ้ากินดีหมีหัวใจเสือ [1] มาจากที่ใดถึงได้กล้ายื่นดาบใส่มือเขา?”
ิหยวนก้มหน้าคุกเข่า ไม่พูดสิ่งใด
โหวอิงเดินไปเดินมาวนรอบตัวเขา ตีสั่งสอนคนเป็ศิษย์เป็ครั้งคราว ยิ่งพูดเสียงเขาก็ยิ่งกดเสียงต่ำ ิหยวนใจเต้นไม่เป็จังหวะ รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังโมโหมากขึ้นเรื่อยๆ “สังคมทุกวันนี้เป็อย่างไร เ้าไม่รู้หรือ? เ้ารู้ดีอยู่แก่ใจ! รู้เอาไว้ซะด้วยว่าเ้าพึ่งจะเจรจากับเสือเพื่อขอหนัง! [2]”
“นิกายสุขาวดี [3] ทรงอิทธิพล นิกายเทียนอี [4] รากฐานมั่นคง ตระกูลขุนนางมีอำนาจดั่งผู้ครองแคว้น สำนักหรู สำนักพุทธ และสำนักเต๋า สามสำนักเกิดความขัดแย้งแข่งขัน บ้านเมืองเข้าสู่ยุคอดอยากปากแห้ง ผู้คนยากไร้อดตายทั่วเมือง ด้ายเส้นนี้นับวันยิ่งตึงขึ้นเรื่อยๆ หากหินก้อนเล็กๆ ก้อนใดกลิ้งไปโดนก็คงแตกเป็เสี่ยง! ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้แต่เซี่ยไท่ฟู่ยังมิกล้าบุ่มบ่าม นโยบายถู่ต้วนอย่างนั้นหรือ? ผู้ใดบ้างจะไม่รู้ว่าควรทำ แต่ผู้ใดกล้าลงมือทำ? ผู้ใดจะกล้าดีดด้ายให้เกิดเสียง! ยามนี้การนิ่งเฉยอาจเป็หนทางเดียวที่จะทำให้ใต้หล้าสงบสุขไปอีกนาน แต่หากสมดุลถูกทำลายก็อาจเกิดหายนะ!”
“เซี่ยไท่ฟู่พยายามรักษาสมดุลมาตลอด แล้วเ้าเล่า? เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเ้ากล้าดีอย่างไรมาจุดชนวนานี้? เ้านี่มันจริงๆ เลย ให้ตายสิ เหอะ! ไม่อยากจะเชื่อเลย”
เขาพูดหนึ่งประโยค ใบหน้าิหยวนก็ซีดลงอีกหนึ่งระดับ กว่าเขาจะพูดจบ ใบหน้าิหยวนก็ซีดเซียวแทบไร้สี เสื้อผ้าเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น
เขาพอจะรู้เื่ความบาดหมางระหว่างตระกูลหลิวและวัดก่วงจี้ จึงคิดจะใช้แิการปกครองบ้านเมืองที่คุ้นชินจนติดเป็นิสัยจากชาติที่แล้ว คิดจะใช้ประโยชน์จากความขัดแย้ง ชักภัยใส่บูรพา [5] ยอมให้อีกฝ่ายใช้เื่ของตนเล่นงานศัตรู
ประจวบกับฝ่าคงกำลังหาทางเล่นงานตระกูลหลิว เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์บางอย่าง พอรู้ว่าบิดาของิหยวนซึ่งเป็คนงานในวัด ถูกคนตระกูลหลิวทำร้ายที่ประตูทางเข้าวัด จึงรีบฉวยโอกาสนี้จัดการตระกูลหลิว
แต่ในชาตินี้ เขาใช้ชีวิตอยู่กับการอ่านตำรา ทำไร่ไถนา และล่าสัตว์ ไม่เคยได้ก้าวขาออกจากเมืองหรืออำเภอนี้เลยสักก้าว เขาจะเข้าใจสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ได้อย่างไร ต่อให้มีความรู้จากตำรา ทว่ามันก็เป็ความรู้เพียงผิวเผิน เขาไม่รู้ว่าอิทธิพลของศาสนาในยุคนี้มันแตกต่างจากยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันตกที่เขาจากมา จึงไม่ได้ตรึกตรองให้ดีก่อนว่าด้ายที่ตนยื่นมือไปััมันละเอียดอ่อนเพียงใด
ิหยวนเดินเข่าเข้าไปหาโหวอิง เศษกระเบื้องบาดิับริเวณเข่า เืสีสดไหลซึม ิหยวนก้มคำนับหัวจรดพื้น “ศิษย์สายตาไม่กว้างไกล ไม่รู้ความสำคัญ ก่อเื่ผิดมหันต์ ท่านอาจารย์โปรดลงโทษศิษย์ด้วยขอรับ”
โหวอิงสุดจะทน จึงเตะเขาไปหนึ่งที
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เ้ากินดีหมีหัวใจเสือ (吃了熊心豹子胆) หมายถึง กล้ากว่าปกติ จู่ๆ ก็กล้าหาญขึ้น
[2] เจรจากับเสือเพื่อขอหนัง (与虎谋皮) หมายถึง เจรจากับคนร้าย ขอให้คนร้ายสละผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งมันเป็เื่ที่แทบจะเป็ไปไม่ได้เลย
[3] นิกายสุขาวดี (西方教) หมายถึง หนึ่งในนิกายย่อยของศาสนาพุทธนิกายมหายาน มีความเชื่อว่าดินแดนสุขาวดีตั้งอยู่ทางทิศประจิมหรือทิศตะวันตกของโลก และมีไตรเทพแห่งประจิมทิศประทับอยู่ที่นั่นด้วย อันได้แก่ พระอมิตาภพุทธะหรือพระพุทธเ้าเป็องค์ประธาน พระโพธิสัตว์กวนซื่ออินหรือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเป็สาวกฝ่ายขวา และพระโพธิสัตว์ต้าซื่อจื้อหรือพระสถามปราปต์โพธิสัตว์เป็สาวกฝ่ายซ้าย
[4] นิกายเทียนอี (天一道) หมายถึง นิกายหลักของลัทธิเต๋า
[5] ชักภัยใส่บูรพา (祸水东引) หมายถึง ใช้วิธีการจัดการศัตรูที่ไม่ทำให้ตนได้รับผลกระทบ ซึ่งก็คือการยืมมือคนอื่น คล้ายๆ กับกลยุทธ์ยืมดาบฆ่าคน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้