เมื่อเสิ่นเยี่ยนกลับมาแล้วบิดาจึงให้เขานำทรายไปให้ที่บ้านของลุงรองแทน นายหญิงเสิ่นแบ่งขนมเข่งกรอบที่ทำเสร็จแล้วเป็รสธรรมดากับรสเค็มอย่างละส่วนนางห่อเป็สองชุดแล้ววางใส่ตะกร้าเพื่อให้กู้เจิงนำไปมอบให้บ้านลุงใหญ่และบ้านลุงรอง
เมื่อเสิ่นเยี่ยนกับกู้เจิงเตรียมของพร้อมแล้วก็พากันออกจากบ้านหนุ่มหล่อกับหญิงสาวงดงามเดินคู่กัน ย่อมตกเป็เป้าสายตาแก่ผู้พบเห็นคนที่มีสายตาเฉียบแหลมมองปราดเดียวก็รู้ว่าพวกเขาทั้งคู่ต้องเป็สามีภรรยากันเพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมฝ่ายหญิงสาวถึงต้องเดินแนบชิดกับชายหนุ่มถึงขนาดนั้นทำให้คนมองรู้สึกกระดากอายอยู่บ้าง
แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือชายหนุ่มคนนั้นกลับไม่ตักเตือนภรรยาบ้าง เห็นแบบนี้ก็พอจะเดาได้แล้วว่าบ้านนี้ฝ่ายภรรยาคงจะเป็ใหญ่
ผู้คนบนท้องถนนเหยียบย่ำบนพื้นหิมะที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณวันนี้ท้องฟ้าไม่แจ่มใสนัก อากาศขมุกขมัวแบบนี้อีกไม่นานหิมะคงจะตกลงมาอีก
กู้เจิง เสิ่นเยี่ยน และชุนหงมาถึงร้านของลุงรองอย่างรวดเร็วป้าใหญ่กำลังนั่งคำนวณบัญชีของร้านอยู่ ส่วนเสี่ยวเหมาเอ๋อร์ก็ยืนคอยช่วยอยู่ข้างๆ
“เสี่ยวเหมาเอ๋อร์” ชุนหงทักทายเสี่ยวเหมาเอ๋อร์อย่างเป็กันเอง
เสี่ยวเหมาเอ๋อร์หันมายิ้มให้ชุนหงเขาไม่ได้เย็นเงียบขรึมเหมือนแต่ก่อนแล้ว
“อาเยี่ยน ทำไมพวกเ้าถึงมาได้?” ป้าใหญ่วางงานในมือลง
“ท่านป้าใหญ่ท่านพ่อท่านแม่ทำขนมเข่งกรอบเลยให้พวกเราเอามาแบ่งให้ท่านกับท่านป้ารองเ้าค่ะ” กู้เจิงยกตะกร้าไม้ไผ่ให้ป้าใหญ่ดู
ป้าใหญ่รับตะกร้ามาก่อนหยิบขนมข้างในออกมากิน “ขนมเข่งกรอบนี่ ก็ยังคงเป็บ้านของพวกเ้าที่ทำได้อร่อยที่สุดไว้อากาศดีเมื่อไหร่บ้านข้าก็จะเริ่มทำขนมมันเทศเหมือนกันแล้วค่อยเอาไปส่งให้พวกเ้าชิมนะ”
“เ้าค่ะ” กู้เจิงยิ้มรับ
“ท่านป้ารองอยู่บ้านไหมขอรับ? เห็นว่าท่านป้ารองจะคั่วถั่วลิสงท่านแม่เลยให้ข้าเอาทรายมาให้ขอรับ” เสิ่นเยี่ยนถามป้าใหญ่
“วันนี้พวกเขาคงจะไม่ได้ทำแล้วล่ะ” ป้าใหญ่ตอบ “ว่าที่พ่อตาของอากุ้ยส่งขาหมูและเนื้อแกะมาให้พวกเขาเพิ่งจะเอาของไปให้คนขายเนื้อช่วยจัดการน่ะ”
ชุนหงที่ได้ยินทำหน้าตาตื่นเต้น “ได้ยินมาว่าตระกูลชาวเขาล้วนขี้เกรงใจแต่คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะส่งของให้มากขนาดนี้เ้าค่ะ”
(*หมายถึงคนที่อาศัยอยู่ในูเา)
“เป็แบบนั้นหรือ?” กู้เจิงแปลกใจ ในความคิดของนาง พวกชาวเขานั้นต้องยากจนมาก
เสิ่นเยี่ยนเห็นภรรยาทำหน้าสงสัยจึงอธิบาย “คนในเมืองมีชีวิตที่ดีกว่าพวกชาวเขาแต่ของทุกอย่างล้วนต้องใช้เงินซื้อหามา การใช้ชีวิตในเมืองหลวงจะต้องประหยัดอดออมมากแต่สำหรับพวกชาวเขาหรือคนในชนบท ทุกบ้านต่างปลูกผักเลี้ยงสัตว์ไว้กินเอง เพื่อจะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินทอง”
“ใช่แล้ว” ป้าใหญ่สำทับด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่าครอบครัวนั้นเลี้ยงทั้งหมูวัวและแกะไว้หลายตัว การจะแบ่งขาหมูและแกะมาให้นั่นไม่ใช่เื่เล็กๆเลยนะ” นางกล่าวเสริม
“คุณหนูของเราไม่เข้าใจเื่พวกนี้ แต่บ่าวเข้าใจเ้าค่ะ” ชุนหงทำหน้าทะเล้นใส่กู้เจิง
“งั้นข้าเอาทรายกับขนมเข่งกรอบฝากไว้ที่นี่ก่อนแล้วกันรอท่านป้ารองกลับมาแล้วรบกวนท่านป้าใหญ่บอกพวกเขาด้วยนะขอรับ” เสิ่นเยี่ยนเอาของที่จะฝากให้ป้ารองไปวางไว้ที่มุมหนึ่ง
“ได้สิ”
เสิ่นเยี่ยนหันไปสบตาเสี่ยวเหมาเอ๋อร์เด็กน้อยมองเขาราวกับมีเื่จะพูดด้วย
“เป็อะไรไป เสี่ยวเหมาเอ๋อร์?” เสิ่นเยี่ยนย่อตัวลงคุยกับเด็กน้อยตรงหน้า
เสี่ยวเหมาเอ๋อร์รวบรวมความกล้าก่อนจะโพล่งออกไป “ท่านพี่เยี่ยน ข้าอยากเข้าไปฝึกในค่ายทหารขอรับ”
ทุกคนต่างประหลาดใจ เด็กคนนี้เพิ่งจะอายุเพียงแปดปีเท่านั้น
"ทำไมเสี่ยวเหมาเอ๋อร์ เ้าอยากเป็ทหารหรือ?" เสิ่นเยี่ยนถาม
เสี่ยวเหมาเอ๋อร์ก้มหน้าคิดอยู่พักใหญ่ถึงได้กล่าวว่า “มีเพียงคนที่มีแรงกำลังแล้วเท่านั้น จึงจะไม่ถูกคนทอดทิ้งขอรับ”
ถ้อยคำของเด็กชายทำเอาทุกคนะเืใจหลังจากพ่อแม่ของเสี่ยวเหมาเอ๋อร์จากไป ก็ไม่มีญาติพี่น้องคนไหนยอมรับเขาไปเลี้ยงแม้แต่ปู่กับย่าของเขาก็ยังทอดทิ้งเขา ทุกอย่างเป็เพราะความจนทำให้ไม่มีใครสามารถรับเด็กชายไปเลี้ยงได้
“เสี่ยวเหมาเอ๋อร์เ้าเคยอ่านหนังสือมาก่อน ใช่ไหม?” เสิ่นเยี่ยนถาม
เด็กน้อยรีบพยักหน้า
“พรุ่งนี้ข้าจะให้คนส่งหนังสือมาให้เ้าถ้าเ้าท่องเนื้อหาในหนังสือพวกนี้ได้ ข้าจะให้เ้าเข้าไปฝึกในค่ายทหาร”
เสี่ยวเหมาเอ๋อร์ตาเป็ประกาย “จริงหรือขอรับ?”
“จริงสิ”
“เกี่ยวก้อยสัญญาขอรับ”
เสิ่นเยี่ยนยื่นนิ้วก้อยออกมา
กู้เจิงครุ่นคิดว่าสามีของตนจะเอาหนังสืออะไรที่ไหนให้เสี่ยวเหมาเอ๋อร์
ระหว่างทางกลับบ้าน กู้เจิงจึงถามสามี เขาตอบว่า “ข้าแค่อยากให้เขาอ่านหนังสือให้มากขึ้นจะได้ไม่ต้องขังตัวเองไว้กับอดีต ส่วนอนาคตเขาจะเลือกเป็ทหารหรือจะไปทำอย่างอื่นข้าคิดว่าเมื่อถึงตอนนั้นเขาก็คงได้คำตอบเอง”
“เขาเป็แค่เด็ก อ่านหนังสือไม่กี่เล่มก็จะได้คำตอบแล้วหรือเ้าคะ?” กู้เจิงถามอย่างสงสัย
“ความเป็จริงอันโหดร้ายจะบีบบังคับให้เสี่ยวเหมาเอ๋อร์ต้องรีบหาคำตอบจนเจอ”
ถ้อยคำของเสิ่นเยี่ยนทำให้กู้เจิงเศร้าใจนางก้มหน้าครุ่นคิดก่อนถามว่า “ท่านพี่ที่นี่มีสถานที่ให้คนอ่านหนังสือโดยไม่เสียเงินไหมเ้าคะ?”
เสิ่นเยี่ยนหยุดเท้าลง เขาหันมามองใบหน้างดงามของภรรยา “ไม่มีหรอก” สำหรับผู้เล่าเรียนนั้นหนังสือถือเป็สิ่งมีค่ายิ่งคนยากจนส่วนมากก็อ่านหนังสือไม่ออกอยู่แล้วนับประสาอะไรถึงจะมีที่ให้คนอ่านหนังสือโดยที่ไม่ต้องเสียเงิน
กู้เจิงฉีกยิ้มจนตาหยี “ท่านพี่ ตอนที่ข้าไปร้านหนังสือมีหนังสือเก่ามากมายที่กำลังจะถูกเอาไปทิ้งลุงหม่าบอกว่าหนังสือเก่าพวกนั้นขายไปก็ไม่คุ้มค่าเงินเ้าค่ะ”
“ดังนั้นเ้าจึงอยากนำหนังสือพวกนี้มาให้คนอ่านโดยไม่เสียเงินอย่างนั้นหรือ?”
กู้เจิงกระแอมไอ “ก็ไม่ใช่ว่าไม่ต้องเสียเงินหรอกเ้าค่ะข้ายังไม่ใช่คนดีถึงเพียงนั้น” นางแต่งงานเข้าตระกูลเสิ่นเป็เพียงสะใภ้ของชาวบ้านสามัญคนหนึ่งการจะให้คนมาอ่านหนังสือโดยไม่คิดเงินนั้นหากมองในแง่ดีก็คงเห็นว่านางช่างมีจิตใจดีงามแต่หากคนมองในแง่ร้ายก็ไม่รู้ว่าจะถูกเอาไปพูดอย่างไรบ้าง “ข้าคิดจะทำเหมือนกับการเช่าบ้านเก็บค่าเช่าหนังสือนิดหน่อยหรืออะไรทำนองนั้นเ้าค่ะ”
“ค่าเช่า?”
“ข้าคิดไว้ว่าเช่นนี้เ้าค่ะ พวกเราเช่าร้านสักสองสามห้องด้านในจัดวางโต๊ะ เก้าอี้ และหนังสือเก่า ขอเพียงทุกคนจ่ายเงินเดือนละครั้งก็สามารถนั่งอ่านหนังสือในร้านได้ใน่กลางวัน” หรือก็คือห้องสมุดนั่นแหละ
“สิ่งที่เ้าจะสื่อไม่ใช่ว่าเป็หอตำราของตระกูลหรอกหรือ? เพียงแต่หอตำราเ่าั้อนุญาตให้แค่เฉพาะคนในตระกูลเข้าไปได้เท่านั้น”
กู้เจิงกะพริบตาปริบๆ ที่แท้ที่นี่ก็มีเหมือนกันสินะ อ้อแต่ก็มีข้อแตกต่างกันอยู่ “ร้านหนังสือของข้ามุ่งเป้าไปที่ประชาชนทั่วไปมีคุณประโยชน์กว่าหอตำราของตระกูลมากเ้าค่ะ ท่านมองข้าทำไมเ้าคะ?”
“ตรงข้ามบ้านหลี่หนานมีร้านสองชั้นให้เช่าเ้าสามารถให้ปาเม่ยพาเ้าไปสอบถามดูได้”
กู้เจิงเบิกตากว้างมองสามี นางแค่เสนอความเห็นเท่านั้นแต่เขากลับสนับสนุนนางทันที “ท่านไม่กลัวข้าจะล้มเหลวหรือเ้าคะ? แล้วถ้าเกิดขาดทุนเล่า?”
เสิ่นเยี่ยนนึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง “เช่นนั้นก็เลิกทำเถอะ”
กู้เจิง “...”
หิมะเริ่มตกอีกครั้งในยามพลบค่ำคราวนี้ตกยาวติดต่อกันเป็เวลาสองวัน ในตรอกถนนหน้าบ้านแทบจะไม่มีผู้คนเดินสัญจรไปมา
เดิมทีกู้เจิงคิดจะเอาขนมเข่งกรอบไปแบ่งให้กู้เหยาแต่จากที่หิมะตกหนักติดต่อกัน นางจึงไม่ได้ไปรอจนปักของขวัญแต่งงานให้กู้อิ๋งเสร็จแล้วค่อยเอาไปให้พร้อมกันทีเดียวก็คงจะยังไม่สาย
ใกล้สิ้นปีแล้ว หลายวันมานี้บางครั้งนางก็ได้ยินเสียงประทัดไม่รู้บ้านไหนจุดขึ้น
ในคืนหนึ่งที่กู้เจิงยังหลับอยู่ในความฝัน จู่ๆนางก็ถูกเสียงกรีดร้องปลุกให้ตื่น นางผลุดลุกขึ้นอย่างใที่แท้เสียงกรีดร้องนั้นเป็เสียงของหมู พื้นที่เตียงข้างกายของนางเย็นเฉียบ เสิ่นเยี่ยนคงตื่นแต่เช้าแล้วนางมองผ่านหน้าต่างออกไปเห็นแต่ความมืดมิด
เสียงร้องโหยหวนของหมูยังคงดังอย่างต่อเนื่องกู้เจิงไหนเลยจะหลับต่อได้ หลังจากแต่งตัวเรียบร้อยนางจึงเปิดประตูออกไปสายลมหนาวพัดปะทะตัวจนนางสั่นเทิ้ม ลมหายใจกลายเป็ไอควัน
เสียงหมูร้องยิ่งชัดเจนขึ้น ฟังแล้วเหมือนจะดังมาจากทางข้างบ้าน
“คุณหนู ท่านก็ตื่นเพราะเสียงหมูเหมือนกันหรือเ้าคะ?” ชุนหงขยี้ตาเดินมาหาอย่างสะลึมสะลือ “อาเฉิงบ้านข้างๆ บอกว่าวันนี้บ้านพวกเขาฆ่าหมูนึกไม่ถึงว่าจะฆ่ากันแต่เช้ามืดขนาดนี้เ้าค่ะ”
“ท่านพี่ไม่อยู่ในห้อง ไม่ใช่ว่าไปดูข้างบ้านฆ่าหมูหรอกกระมัง? เราไปดูกันบ้างเถอะ” ทันทีที่กู้เจิงพูดจบ ก็เห็นพ่อแม่สามีและเสิ่นเยี่ยนต่างถือเนื้อชิ้นใหญ่เดินเข้ามา
กู้เจิงหายง่วงเป็ปลิดทิ้ง พ่อสามีกับเสิ่นเยี่ยนวางเนื้อหมูที่แบกมาลงในอ่างไม้จากนั้นจึงเทน้ำแล้วเริ่มล้าง
“เ้าตื่นเพราะเสียงหมูร้องใช่ไหม?” นายหญิงเสิ่นมองสองพ่อลูกล้างขนหมูและเืพลางพูดกับกู้เจิงไปด้วย “ใกล้สิ้นปีแล้ว คนในหมู่บ้านเริ่มฆ่าหมูฆ่าแกะเพื่อฉลองปีใหม่เนื้อหมูและเนื้อแกะของทุกปี พวกเราล้วนซื้อมาจากข้างบ้านทั้งนั้น”
“ไม่ใช่ว่าเราก็เลี้ยงหมูหรือเ้าคะ? ทำไมต้องซื้อด้วย?” กู้เจิงถาม หมูสองตัวในคอกตรงมุมสวนหลังบ้านทั้งใหญ่ทั้งอ้วน
“ก็ภรรยาข้าคนนี้นี่สิ พอเป็สัตว์ที่ตัวเองเลี้ยงไว้ไม่เคยตัดใจฆ่าได้ลงสักที” นายท่านเสิ่นหัวเราะร่วน “ดังนั้นพวกเราเลยขายสัตว์ที่เลี้ยงไว้แล้วค่อยไปซื้อเนื้อของคนอื่นแทน”
“ให้ข้าช่วยเถอะเ้าค่ะ” กู้เจิงเตรียมจะเข้าไปช่วย ชุนหงเห็นจึงรีบเข้าไปขวางแต่พอดีกับที่เสิ่นเยี่ยนเอ่ยขัดขึ้น
“ไม่ต้องหรอก น้ำเย็นมาก เ้าไม่ต้องช่วยหรอก” เสิ่นเยี่ยนมองกู้เจิงพร้อมกล่าวสำทับอีกครั้ง “หากเ้ายังง่วงอยู่ก็ไปนอนต่ออีกสักหน่อยแต่ถ้าไม่ง่วงแล้วก็ยืนดูอยู่เฉยๆ เถอะ”
กู้เจิงอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูกนางสบตากับแม่สามีที่กำลังมองนางอย่างอ่อนโยนในดวงตาเปี่ยมไปด้วยความสุขที่นางเท่านั้นที่เข้าใจ