ในที่สุดรถม้าก็จอดเทียบหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่แห่งหนึ่งในเขตราชอำนาจชั้นใน เสาหินอ่อนขนาดมหึมาตั้งตระหง่านรองรับหลังคา ผนังอิฐหนาแน่นถูกแกะสลักด้วยลวดลายวิจิตรบรรจง ประดับตกแต่งด้วยหน้าต่างกระจกหลากสี
ทันทีที่โจเซฟก้าวลงจากรถ ประตูคฤหาสน์ก็เปิดออก ผู้รับใช้รีบวิ่งออกมาต้อนรับ พวกเขาคำนับนายน้อยอย่างนอบน้อม
"ยินดีต้อนรับกลับบ้านขอรับ คุณชายโจเซฟ" หัวหน้าผู้รับใช้เอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม "ทุกท่านกำลังรออยู่ที่ห้องรับประทานอาหารขอรับ"
โจเซฟพยักหน้ารับ "ได้ งั้นฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้เลย"
โจเซฟรีบสาวเท้าเข้าไปในตัวคฤหาสน์ เดินฝ่าโถงกว้างที่ประดับประดาด้วยเครื่องเรือนอันหรูหรา ทั้งเก้าอี้ตัวยาวหุ้มผ้ากำมะหยี่สีแดงเข้ม โต๊ะไม้มะฮอกกานีแกะสลักอย่างประณีต ภาพเขียนของศิลปินชื่อดังแขวนเด่นเป็สง่าเหนือเตาผิงอันโอ่อ่า พ่วงท้ายด้วยโคมไฟระย้าส่องแสงระยิบระยับ
กลิ่นหอมของอาหารเย็นลอยอวลมาแต่ไกล เรียกความหิวโหยไห้ผุดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ โจเซฟสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเดินไปที่ห้องรับประทานอาหาร ภาพครอบครัวกำลังนั่งประจำที่รอคอยปรากฏแก่สายตา
ตรงหัวโต๊ะคือ ริชาร์ด บิดาของเขา บุรุษร่างสูงใหญ่ในวัยห้าสิบห้า ผมสีบลอนด์เทาหงอกประปราย เรียวคิ้วหนาขมวดเข้มนิดหน่อยอย่างครุ่นคิด แต่มุมปากยกยิ้มอ่อนโยนเมื่อเห็นลูกชายเข้ามา ดวงตาสีฟ้าอ่อนที่คล้ายกับโจเซฟเป็ประกายรื่นรมย์ ชุดสีน้ำเงินเข้มที่สวมใส่ช่วยขับให้ท่าทางสง่างามและผึ่งผายยิ่งขึ้นไปอีก
ทางขวามือคือ เลดี้อลิซ มารดาของโจเซฟ หญิงสูงวัยร่างบอบบางแต่เลอค่า พอจะเห็นเค้าโครงอดีตความงามของเธอยามเยาว์วัย พรายยิ้มอ่อนหวานปรากฏบนใบหน้าสะสวย ทรงผมมวยสูงถูกจัดแต่งอย่างประณีต ชุดกระโปรงยาวสีเขียวมรกตที่เข้ากันอย่างงดงามกับดวงตาสีมรกต พร้อมเครื่องประดับไข่มุกที่เติมแต่งให้ดูมีสง่าราศีมากยิ่งขึ้น
ส่วนทางซ้ายมือมีหญิงสาวผมน้ำตาลอมแดงยาวถึงเอวนั่งอยู่ เธอคือรีเบคก้า ภรรยาของโจเซฟ เธอสวมชุดกระโปรงสีเข้ม เข้ากับผิวสีแทนอันเป็เอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึงการใช้ชีวิตก่อนหน้านี้ที่เรียบง่ายท่ามกลางแสงแดด ั์กลมโตสีเขียวมรกตคู่สวยของเธอเปี่ยมไปด้วยความร่าเริงและความฉลาดหลักแหลมมองสามีอย่างเอ็นดู รอยยิ้มสดใสผุดขึ้นบนใบหน้าจิ้มลิ้ม
"ขอโทษที่ทำให้ต้องรอนะครับ" โจเซฟทักทุกคน
"ไม่เป็ไรหรอก ลูกรัก" เลดี้อลิซตอบ เธอยิ้มให้ "คุณพ่อกำลังจะพูดอะไรบางอย่างพอดี เข้ามานั่งก่อนสิจ๊ะ"
โจเซฟตอบรับคำชวน เขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ประจำที่นั่งข้างๆ ภรรยา เมื่อเห็นโจเซฟเข้ามา ริมฝีปากอวบอิ่มของภรรยาก็ผุดรอยยิ้มหวาน ดวงตาสดใสวาววับราวกับมีประกายมรกตส่องประกายอยู่ภายใน แต่แล้วริ้วรอยเป็กังวลก็ผุดขึ้นบนหน้าผาก เมื่อเห็นสีหน้าอิดโรยของสามี
"ที่รัก..." เสียงนุ่มหวานดังขึ้นอย่างอ่อนโยน รีเบคก้าเอื้อมมือไปััแก้มของโจเซฟเบาๆ "วันนี้ดูเหนื่อยๆ นะคะ งานยุ่งมากหรือเปล่า?"
โจเซฟส่ายหน้า รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมสัน พยายามไม่ทำให้ภรรยาเป็ห่วง
"ก็มีเื่ให้ต้องคิดหนักอยู่บ้าง แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ได้เป็อะไรมาก"
แน่นอนว่า รีเบคก้าไม่ได้เชื่อคำพูดของสามีทั้งหมด เพียงแต่เธอเลือกจะไม่ตอกย้ำหรือซักไซ้ไล่เลียงในเวลานี้
"ฝืนตัวเองมากนะ สุขภาพคุณสำคัญกว่า" หญิงสาวบีบมือโจเซฟเบาๆ ก่อนจะหันไปสนใจอาหารเย็นตรงหน้าอีกครั้ง
โจเซฟมองภรรยาด้วยความรัก เขาบีบมือเธอตอบกลับเบาๆ ราวกับจะบอกว่าไม่ต้องเป็ห่วง แล้วทั้งคู่ก็หันกลับไปให้ความสนใจกับอาหารมื้อค่ำต่อไป
ทุกคนในครอบครัวนั่งรออยู่ที่โต๊ะพร้อมหน้ากัน ยกเว้นเก้าอี้สามตัวที่ว่างเปล่า ซึ่งหนึ่งตำแหน่งเป็ของมิแรนดาพี่สาวของโจเซฟที่กำลังติดภารกิจอยู่ชายแดน และอีกสองที่นั่งสำหรับเอ็ดเวิร์ดกับลูกสาวที่ยังไม่เคยกลับเข้ามาในตระกูล แต่ริชาร์ดก็ยังเว้นที่นั่งเอาไว้ ด้วยหวังว่าพวกเขาจะหวนคืนกลับมาสักวัน
ริชาร์ดกระแอมเบาๆ เรียกความสนใจ "วันนี้พ่อมีเื่สำคัญจะบอก" ทุกสายตาหันมาจับจ้องที่ริชาร์ด
"เื่อะไรหรือครับ?" โจเซฟถามด้วยความสงสัย สีหน้าเริ่มฉายแววกังวล
อลิซเอื้อมมือมากุมมืออุ่นของสามี พร้อมส่งยิ้มให้กำลังใจ "เื่สำคัญมาก"
ริชาร์ดหันไปสบตากับภรรยา เลดี้อลิซพยักหน้าให้เบาๆ เขาถอนหายใจยาว ก่อนเริ่มเล่า
"ข่าวดีก็คือ มิแรนดาเพิ่งส่งจดหมายมาบอกว่า เธอกำลังเดินทางกลับจากการประจำการที่ชายแดนทางเหนือ" ริชาร์ดกล่าวด้วยรอยยิ้มภูมิใจ "หลังจากผ่านามายาวนานหกปี ในที่สุดสนธิสัญญาสงบศึกก็เสร็จสมบูรณ์ อีกฝ่ายยอมจ่ายค่าปฏิกรรมาตามที่ตกลงไว้"
"นั่นเป็ข่าวที่ดีมากเลยค่ะ" รีเบคก้าร้องด้วยความดีใจ ก่อนจะหันไปหาสามี "เธอจะกลับมาถึงเมื่อไหร่เหรอคะ?"
โจเซฟรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที ในที่สุดครอบครัวก็จะได้กลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง หลังจากที่พี่สาวต้องจากไปนาน
"ไม่รู้เหมือนกัน เธอไม่ได้เขียนเอาไว้" ริชาร์ดตอบ
"คุณพี่มิแรนดานี่เก่งกาจมาก ได้ข่าวว่าเพิ่งจะเลื่อนยศเป็พลตรี คงต้องผ่านศึกหนักมาไม่น้อย" รีเบคก้าเอ่ยชม พลางทอดสายตามองหน้าสามีอย่างชื่นชม
"ผมเองก็ภูมิใจในตัวพี่มาก" โจเซฟตอบรับ "ไม่ใช่เพราะเป็พี่สาวผมเองหรอกนะ แต่พี่มิแรนดาเป็หนึ่งในนายทหารหญิงที่เก่งที่สุดของอาณาจักรเลยล่ะ"
"นั่นสิ สมกับเป็ลูกสาวตระกูลคาเว็นดิช" ริชาร์ดยิ้มภูมิใจ "แต่ว่าพ่อก็อยากให้มิแรนดาได้พักผ่อนมากกว่านี้เหมือนกัน"
"เธอเป็ผู้หญิงที่แข็งแกร่งจริง ๆ นะคะ ดิฉันคิดถึงเธอมากเลย" แววตาเลดี้อลิซหม่นลงนิดหน่อยเมื่อคิดถึงลูกสาวที่ต้องจากไปนาน
ความเงียบเข้าปกคลุมครู่หนึ่ง ทุกคนต่างก็คิดถึงสมาชิกคนสำคัญที่หายไป ไม่เพียงแค่มิแรนดา แต่ยังมีเอ็ดเวิร์ดอาของโจเซฟน้องชายของริชาร์ด และอิซาเบลลูกสาวของเอ็ดเวิร์ด ที่ไม่เคยกลับเข้ามาในตระกูลสักที
"คืนนี้… พ่ออยากให้ทุกคนได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันจริง ๆ" ริชาร์ดเอ่ยขึ้นเสียงเศร้าสร้อย มองไปตามเก้าอี้สามตัวที่ว่างเปล่า
โจเซฟสังเกตเห็นบรรยากาศหม่นหมองในห้อง เขาจึงพยายามพูดให้ทุกคนร่าเริงขึ้น
"ใช่ครับพ่อ ผมเชื่อว่าสักวันครอบครัวเราจะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอย่างครบถ้วนอีกครั้งแน่นอน แล้วเราจะได้ฉลองกันอย่างเต็มที่!"
เลดี้อลิซยิ้มให้ลูกชายอย่างขอบคุณ ก่อนลุกขึ้นยืนและผายมือไปทางโต๊ะอาหาร
"เอาล่ะจ้ะทุกคน เรามาทานมื้อเย็นกันดีกว่า พ่อกับแม่เตรียมเมนูพิเศษมาให้ทุกคนโดยเฉพาะเลยนะ"
"ครับ/ค่ะ" เสียงขานรับดังขึ้นพร้อมเพรียง เลดี้อลิซสั่นกระดิ่งเรียกคนรับใช้ ไม่นานนักบรรดาคนรับใช้ก็เดินเข้ามาพร้อมกับรถเข็นหรูหรา พวกเขาจัดวางจานชามอย่างประณีตบรรจง ในขณะที่โจเซฟและริชาร์ดสนทนาเื่งานระหว่างรอ รีเบคก้านั่งมองการทำงานของคนรับใช้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
แม้วันนี้จะยังไม่ครบทุกคน แต่เพียงการได้อยู่ร่วมโต๊ะกันเช่นนี้ ก็ทำให้ความอุ่นใจแผ่ซ่านไปทั่วอก ราวกับว่ามีอะไรบางอย่าง บอกพวกเขาว่าสักวันหนึ่ง พวกเขาจะได้กลับมารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าอีกครั้ง
เช้าวันใหม่ที่ไม่ค่อยสดใส เมฆดำยังคงปกคลุมท้องฟ้า สายลมพัดพาความชื้นในอากาศลอยมาเตะหน้า ถนนย่านใจกลางเมืองเริ่มคึกคักไปด้วยผู้คนที่ทยอยกันออกมาทำมาหากิน ชาร์ลส์เดินฝ่าฝูงชน มุ่งหน้าสู่สมาคมรับจ้าง
เดินเขาไปในสมาคมรับจ้างผ่านประตูไม้สลัก หลังผ่านเข้าประตูใหญ่มาได้ ชาร์ลส์ก็มุ่งหน้าไปยังห้องโถงกว้างซึ่งเป็จุดนัดพบของเหล่าสมาชิก เสียงจอแจและซุบซิบจากสมาชิกที่มาหางานเริ่มดังขึ้น บางคนยิ้มทักทายชาร์ลส์อย่างคุ้นเคย ซึ่งเขาก็ยิ้มตอบกลับอย่างเป็มิตร
ระหว่างเดินเตร็ดเตร่อยู่ในโถง ชาร์ลส์ก็เหลือบไปเห็นใครบางคนที่เขาคุ้นหน้า ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงในชุดสีเทาสนิท นามว่าแมทธิว คนผู้นี้ก็เป็นักสืบเช่นเดียวกันกับชาร์ลส์ ทักษะการเป็นักสืบเฉียบคมไม่เป็สองรองใคร
"อรุณสวัสดิ์ มาหางานแต่เช้าเลยนะ" แมทธิวทักทายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่ยังคงมีประกายกังวลใจอยู่ในแววตา
"สวัสดีครับ หวังว่าวันนี้จะได้งานรายได้ดีๆ สักหน่อยน่ะ" ชาร์ลส์ตอบกลับ สีหน้ากระตือรือร้น แต่ก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติของอีกฝ่าย
"เป็อะไรไป ทำไมดูท่าทางเหนื่อยๆ แบบนั้นล่ะ?" เขาถามด้วยความเป็ห่วง
แมทธิวถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อชาร์ลส์เอ่ยถามถึงสาเหตุ เขาจึงขอชวนไปคุยกันตรงม้านั่งข้างนอก
"ฉันตามคดีนึงอยู่ เหยื่อเป็หญิงสาวที่ถูกทำร้ายจนเสียชีวิต" แมทธิวเล่าด้วยสีหน้าหมองหม่น "จากเบาะแสเท่าที่มี ผู้ต้องสงสัยน่าจะเป็ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่"
"แล้วตอนนี้คดีคืบหน้าถึงไหนแล้วล่ะ?" ชาร์ลส์ถามอย่างใส่ใจ
"ก็กำลังพยายามหาพยานหลักฐานอยู่ แต่ยิ่งสืบก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล กลัวว่าจะมีคนใหญ่คนโตหนุนหลังอีก"
แมทธิวเอนหลังพิงพนักม้านั่ง เหม่อมองท้องฟ้าด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า "ผมเป็ห่วงว่าคนใหญ่คนโตพวกนั้นจะมาแทรกแซงคดี หรือถ้าไม่ก็อาจมีการข่มขู่ปิดปากพยานสำคัญ"
ชาร์ลส์นิ่งคิดถึงสิ่งที่ฟังมาก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง
"นี่ฟังดูเหมือนจะเป็คดีใหญ่เลยนะ คุณคิดว่าจะสามารถตามหาความจริงได้หรือเปล่า? และที่สำคัญ คุณจะปลอดภัยหรือเปล่าเนี่ย?"
น้ำเสียงของชาร์ลส์เจือความเป็ห่วง เขาไม่อยากให้รู้จักต้องตกอยู่ในอันตราย
แมทธิวส่ายหน้าเบาๆ ยิ้มเศร้า "ก็คงต้องพยายามสู้ไปเท่าที่จะทำได้ล่ะนะ แม้จะเสี่ยง แต่ในฐานะนักสืบ การตามหาความจริงเพื่อคลี่คลายคดีก็ถือเป็หน้าที่หลัก อย่างน้อยก็ต้องทำเพื่อไม่ให้เหยื่อและครอบครัวผิดหวัง"
ชาร์ลส์ไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่มองเพื่อนนักสืบต่างวัยด้วยความชื่นชมในจิตใจอันแน่วแน่ ถึงแม้จะรู้ว่าเสี่ยงภัย แต่ก็ยังยืนหยัดที่จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
แมทธิวยืนขึ้น สูดหายใจลึก ก่อนจะหันกลับมายิ้มให้ชาร์ลส์ ในแววตาถูกเติมเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ราวกับว่าการระบายเื่อัดอั้นตันใจเมื่อกี้ ทำให้เขามีกำลังใจมากขึ้น
"ไว้เจอกันใหม่ล่ะ ตอนนี้ผมต้องไปสืบต่อแล้ว คุณก็ระวังตัวด้วยแล้วกัน อย่าไปรับงานอะไรอันตรายเข้าล่ะ" เขาโบกมือลาเดินออกไปจากสมาคม
ชาร์ลส์มองตามจนลับสายตา ใจหนึ่งเต็มไปด้วยความเป็ห่วง อีกใจก็ชื่นชมในความกล้าหาญของอีกฝ่าย เขาคงต้องเก็บเื่นี้ไว้ในใจ เผื่อว่าวันหน้าจะมีโอกาสได้ช่วยเหลือแมทธิวบ้าง
ชายหนุ่มกลับเข้าไปโถงสมาคมอีกครั้ง ชาร์ลส์ตัดสินใจเดินไปหยุดยืนตรงหน้ากระดานใหญ่ประกาศงานสารพัด ดวงตาสีน้ำตาลไล่มองใบประกาศแต่ละแผ่นอย่างตั้งอกตั้งใจ คาดหวังว่าจะได้เจองานที่น่าสนใจเข้าสักงาน
สายตาของเขาร่อนไปเรื่อย ๆ ผ่านงานทั่วไปอย่างการตามหาของหาย สืบเื่ชู้สาว คุ้มกันขบวนสินค้า และประกาศจับคนร้าย จนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่ประกาศรับแจ้งบุคคลสูญหาย
"ตามหา โรแลนด์ แบรดฟอร์ด อายุสี่สิบสองปี สูญหายไปเมื่อสองสัปดาห์ก่อน หากผู้ใดพบเห็นโปรดแจ้งเบาะแส"
ภาพวาดใบหน้าชายวัยกลางคนถูกวาดไว้ใต้ข้อความ พร้อมกับบรรยายรายละเอียด รูปร่างท้วม ผิวขาวซีด ผมสีน้ำตาลอ่อนเริ่มมีริ้วรอยแห่งวัย รางวัลหนึ่งร้อยครูเซโด
ข้างๆ ประกาศตามหาโรแลนด์ มีกระดาษอีกแผ่นหนึ่งติดอยู่ มันดูใหม่กว่าเล็กน้อย
ในกระดาษเขียนว่า "ด่วน! ้าผู้ช่วยตามหาคนสูญหาย ชื่อ ไมเคิล เบิร์ก อายุสี่สิบห้าปี อาชีพแพทย์"
รายละเอียดเพิ่มเติมอธิบายลักษณะของไมเคิล ว่าเป็ชายร่างสูงใหญ่ ผิวสีแทน ผมสีดำและมีหนวดเคราประดับใบหน้า มีตำหนิเป็ไฝใหญ่ใต้ตาขวา มักจะสวมเสื้อคลุมยาวสีน้ำตาลและมีกระเป๋าหนังคาดเอวเอาไว้ใส่อุปกรณ์ทำแผลเสมอ
จากข้อมูลกล่าวว่า ไมเคิลหายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน ทิ้งภรรยาและลูกๆ ไว้ข้างหลัง ไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลยนับแต่นั้น ครอบครัวได้แจ้งความไว้กับเ้าหน้าที่แล้ว แต่ยังคงไร้วี่แววข่าวคราวของคนหาย
สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของชาร์ลส์คือ ค่าตอบแทนที่ทางครอบครัวยินดีมอบให้สำหรับผู้ที่พบเบาะแสของไมเคิล ตัวเลขมูลค่าสูงถึงสองร้อยครูเซโดเลยทีเดียว มากกว่างานตามหาโรแลนด์ถึงเท่าตัว
"น่าสนใจ… ค่าตอบแทนเยอะมาก" ชาร์ลส์พึมพำ คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด การที่ชายวัยกลางคนอย่างไมเคิลหายตัวไปลอยๆ โดยไม่ทิ้งร่องรอย มันชวนให้สงสัยเหลือเกิน
บางทีเขาอาจมีเื่พิลึกพิลั่นบางอย่างที่ไม่อยากให้ใครรู้ก็เป็ได้ ถึงได้รีบหนีหายไปเช่นนั้น หรือไม่ก็โดนบางคนลักพาตัว หรือแย่กว่านั้น อาจเป็ฝีมือของกลุ่มต้องสงสัย เ้าหนี้ หรือคนที่ขัดแย้งทางผลประโยชน์
สุดท้าย เขาตัดสินใจเดินไปหาเ้าหน้าที่สมาคมเพื่อแจ้งว่าจะรับงานนี้ หลังจากลงชื่อผู้รับผิดชอบและรับเอกสารที่เกี่ยวข้องเป็ที่เรียบร้อย ชาร์ลส์ก็เดินทางออกจากสมาคมทันที
สิ่งแรกที่เขาควรทำคือไปเยี่ยมครอบครัวของไมเคิลเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม คาดว่าน่าจะพอมีเบาะแสอะไรให้เจอบ้าง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้