เด็กคนนี้สามารถสั่งสอนได้แน่นอน
‘ข้าสั่งสอนนางเพียงสองสามครั้งและผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่เลวเลย เื่แบบนี้ล้วนขึ้นอยู่กับบุคคลจริงๆ เพียงให้คำแนะนำเล็กน้อยจากนั้นปล่อยให้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับโชคชะตา ดูเหมือนว่าฉายาบุตรชายของขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองหยงโจวของข้าจะไม่ใช่เื่เล่นๆ แล้วสิ ข้าทั้งฉลาดและมีไหวพริบ ไม่ทำให้ตระกูลต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง’
เมื่อคิดเช่นนี้ซูเจินก็มีความสุขมาก
เขายิ้มด้วยความโล่งใจ หลังจากมองกระดาษข้าวเพียงแวบเดียว เขาก็กล่าวว่า “ลายมือของน้องสาวพัฒนาขึ้น ไม่เลวเลย”
แม้กระทั่งเย่เช่อก็ยังอดที่จะกล่าวชื่นชมในใจไม่ได้เมื่อเห็นลายมือของอวิ๋นจื่อ
ซูเจินยื่นกระดาษข้าวให้เย่เช่อและกล่าวว่า “เอาล่ะน้องสาว แขกผู้นี้เป็น้องชายของเย่เช่อ ตอนนี้มีศักดิ์เป็องค์ชายเหยียน”
อวิ๋นจื่อกล่าวทักทายอย่างนอบน้อม นางรู้สึกกังวลเล็กน้อย
‘ชายหนุ่มผู้นี้ใช่เย่เหยียนหรือไม่? ตอนนี้เขาเป็ถึงองค์ชายแล้ว ดูเหมือนว่าเย่เซียงจะให้ความสำคัญกับเขามาก หวังว่าเหตุการณ์ในอดีตจะไม่เกิดซ้ำกับเย่เช่ออีก แล้วบุคคลนี้คือผู้อยู่เื้ัเหตุการณ์ในเมืองฉินโจวหรือไม่?’
อวิ๋นจื่อมีข้อสงสัยมากมาย
ชายหนุ่มผู้ถูกเรียกว่าองค์ชายเหยียนกล่าวทักทายนางพอเป็พิธี จากนั้นก็หันไปกล่าวกับซูเจินว่า
“ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณชายซูมีน้องสาวที่งดงามเช่นนี้”
ซูเจินยิ้มเล็กน้อย “น้องสาวของข้ากำลังอยู่ระหว่างการพูดคุยเื่การแต่งงาน นางเพิ่งเข้าพิธีปักปิ่นเมื่อปีที่แล้ว”
อวิ๋นจื่อยิ้มตอบและถามเบาๆ ว่า “พี่ชายจะทานอาหารเมื่อใด? ข้ามาที่นี่เพื่อทานอาหารกับท่าน”
ซูเจินกล่าวว่า “ข้าทานไปแล้ว เช่นนั้นให้ทางครัวส่งอาหารไปให้เ้าที่เรือนดีหรือไม่?”
อวิ๋นจื่อเม้มปาก “พี่ชายไม่ได้พิจารณาลายมือของข้าอย่างถี่ถ้วนด้วยซ้ำ ข้าโกรธท่านแล้ว ข้าจะกลับไปทานที่เรือน”
ซูเจินกล่าวว่า “ถ้าเ้ารอไม่ได้ก็กลับไปก่อน”
เย่เช่อที่นั่งข้างๆ กล่าวกับเย่เหยียนว่า “ดูสิ นี่คือพี่น้อง นี่คือครอบครัว”
หลังจากนั้นเขาก็กล่าวกับอวิ๋นจื่อว่า “บทกวีอันงดงามเช่นนี้มีเพียงคนประหลาดอย่างซูเจินเท่านั้นที่ไม่ชอบ เช่นนั้นบ่ายนี้เ้าคัดให้ข้าสักบทดีหรือไม่?”
หลังจากรับคำอวิ๋นจื่อก็เดินจากมา
เมื่อชายแปลกหน้าสองคนที่หน้าประตูเห็นอวิ๋นจื่อ พวกเขาก็ก้มหน้าลงและไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
ไป๋จื่อเดินตามหลังอวิ๋นจื่อพลางมองไปที่ชายทั้งสองด้วยความภาคภูมิใจ
หลังจากเดินออกจากเรือนของซูเจิน อวิ๋นจื่อก็ยิ้มและกล่าวว่า “ไป๋จื่อ สองคนนั้นเป็ใคร?”
ไป๋จื่อพูดเสียงทุ้ม “คุณหนูอย่าประมาทเป็อันขาด มีคำกล่าวว่าเขื่อนยาวพันลี้ถูกทำลายโดยรังมด คุณหนูจะรับของว่างเลยหรือไม่เ้าคะ?”
คำพูดของไป๋จื่อทำให้ความทรงจำของอวิ๋นจื่อหวนกลับมา
ครั้งหนึ่งจินเหนียงก็เคยพูดแบบนั้นกับนาง
นางรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยและถามว่า “ไป๋จื่อ เ้ารู้จักจินเหนียงหรือไม่?”
ไป๋จื่อก้มหน้าลง “คุณหนู ข้าจะเล่าให้ท่านฟังเมื่อกลับถึงเรือน”
สองนายบ่าวเดินผ่านสวนดอกไม้และต้นหลิว ไม่นานก็มาถึงเรือนเล็กๆ ของอวิ๋นจื่อ
ทันทีที่ทั้งสองเข้ามาที่ห้องด้านใน ไป๋จื่อก็กล่าวว่า “อันที่จริงข้าเคยรู้จักป้าจินมาก่อน แต่โชคไม่ดีเมื่อข้าได้พบนางในหอจุ้ยฮวนกลับทำได้เพียงเดินผ่านกันเท่านั้น ข้าเข้าไปพูดคุยกับนางไม่ได้ ในอดีตข้าไม่เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างแต่โชคดีที่มีนางคอยแนะนำ อันที่จริงป้าจินเป็คนพาข้ามาที่ตำหนักของอ๋องอวิ๋นเมิ่ง นางเป็คนของนายท่าน แต่ต่อมานางได้มาติดตามรับใช้ซูฮองเฮาและคุณหนู”
คำพูดของไป๋จื่ออธิบายชีวิตของจินเหนียงได้อย่างครบถ้วน
อวิ๋นจื่อหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะถามเสียงต่ำว่า “เ้ารู้หรือไม่ว่าบ้านเกิดของนางอยู่ที่ใด? และมีใครอีกบ้างที่รู้จักนาง?”
ไป๋จื่อส่ายหน้า “บางทีอาจมีเพียงซูฮองเฮาเท่านั้นที่รู้ คุณหนูอย่าเสียใจไปเลยเ้าค่ะ เราทุกคนต่างรับใช้คุณหนูด้วยความเต็มใจ”
อวิ๋นจื่อกล่าวอย่างแ่เบา “แต่ทั้งหมดเป็เพราะข้าไร้เดียงสา ถ้าข้าระมัดระวังมากกว่านี้ จินเหนียงก็ยังคงอยู่กับเรา”
ไป๋จื่อปลอบโยน “ป้าจินมีคนรู้จักหลายคนในเมืองอวิ๋นเมิ่ง ทุกคนต่างรู้ว่าป้าจินเป็คนขององค์หญิงใหญ่ ถ้านางยังอยู่ที่นี่วันนี้เย่เซียงอาจรู้ตัวตนของคุณหนูแล้ว บางทีการที่นางจากไปอาจเพราะอยากปกป้องคุณหนูก็เป็ได้”
หลังจากได้ยินคำพูดนี้อวิ๋นจื่อก็เงียบไป
นางสงสัยว่าควรทำอย่างไรต่อไป?
อวิ๋นจื่อรู้สึกว่าตนเองกำลังตื่นตระหนก
ถ้าอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ของนางทำให้ผู้คนรอบข้างเลือกที่จะตายแทนนาง แล้วนางจะทำทุกอย่างไปเพื่ออะไร?
นางแค่หวังว่าทุกคนรอบตัวจะยังมีชีวิตอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น นางมองว่าพวกเขาสามารถมีชีวิตที่ดีได้
อวิ๋นจื่อรู้สึกว้าวุ่นใจ
ไป๋จื่อกระซิบว่า “คุณหนูคัดอักษรให้จิตใจสงบลงดีหรือไม่เ้าคะ?”
อวิ๋นจื่อพยักหน้าโดยไม่กล่าวสิ่งใด
จู่ๆ ไป๋จื่อก็หยิบเพลงกู่ฉินขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “คุณหนูชอบเล่นกู่ฉิน เช่นนั้นคัดลอกไว้สักเพลงดีหรือไม่?”
ไป๋จื่ออ่านออกเสียงเบาๆ
“นกยูงตัวหนึ่งบินไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เร่ร่อนห่างออกไปห้าลี้...”
อวิ๋นจื่อขัดจังหวะทันที “เ้าเปลี่ยนเพลงได้หรือไม่? เพลงนี้ยาวเกินไป”
ไป๋จื่อพลิกกระดาษและอ่านอีกย่อหน้าหนึ่ง
“ในอดีตมีทาสคนหนึ่งของตระกูลฮั่วผู้มีแซ่เฟิงนามจื่อตู
อาศัยอำนาจของเ้านาย กลั่นแกล้งเสี่ยวเอ้อหู
สาวงามวัยสิบหนาวผู้มีนามว่าหูจี้ดูงดงามราวบุปผาแรกแย้ม นางยืนขายสุราตามลำพังในฤดูใบไม้ผลิ
นางสวมกระโปรงยาว เข็มขัดหัวเหลี่ยม และเสื้อคลุมยาวปักลายดอกกระถิน
นางสวมหยกหลันเถียนบนศีรษะ ลูกปัดฉินขนาดใหญ่ที่หลังหูดูเปล่งประกายและมีเอกลักษณ์
เปรียบได้กับของหายากที่ประเมินค่ามิได้
จู่ๆ ก็มีเื่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น จินอู่จือ[1]เดินทางผ่านโรงเตี๊ยมและตัดสินใจก้าวเข้าไปด้านใน
ด้านนอกมองเห็นอานม้าสีเงินส่องแสงเป็ประกาย ผ้าม่านรถม้าประดับประดาไปด้วยมรกต
เขาร้องขอสุราชั้นดี หูจี้จึงรินสุราจากขวดหยกประดับพู่ไหม
หากเ้ามองหาของอร่อย ลองลิ้มรสเนื้อปลาเป็อย่างไร?
เขามอบกระจกทองเหลืองและผ้าคลุมสีแดงให้หูจี้
นางไม่ลังเลที่จะรับมาไม่ว่าเขาจะมีท่าทีดูแคลนนางเพียงใด
บุรุษมักชื่นชอบภรรยาใหม่ ในขณะที่ภรรยาล้วนภักดีต่อสามี
ชีวิตมีทั้งเก่าและใหม่ ไม่มีความแตกต่างระหว่างสูงและต่ำ
นางกล่าวขอบคุณจินอู่จือสำหรับความเมตตา แต่นางไม่อาจมอบความรักให้ได้”
ในขณะที่คัดอักษร อวิ๋นจื่อก็กล่าวว่า “เพลงนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไป๋จื่อเ้าลองเปิดดูอีกสักสองสามหน้า”
ไป๋จื่อผงะไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า
อวิ๋นจื่อขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวว่า “เ้าลองคัดดูบ้าง ข้าจะอ่านให้ฟัง”
ไป๋จื่อรู้สึกราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ นางจึงตั้งใจฟัง
อวิ๋นจื่ออ่านเพลงความพยายามของเหยียนซ่งอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“หงส์ขาวสองตัวบินมาจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พวกมันบินตามกันมา
ตัวเมียเกิดล้มป่วยจึงไม่สามารถบินตามได้ ตัวผู้จึงตัดสินใจออกบินตามลำพัง
ข้าอยากพาเ้าไปด้วย แต่ขนของข้าไม่หนาพอที่จะโอบอุ้มเ้า
ข้ายินดีที่ได้รู้จักเ้า แต่กังวลว่าชาติหน้าเราต้องพรากจากกัน
ข้าหันหลังกลับไปมอง น้ำตาไหลรินโดยไม่รู้ตัว
ความโกรธสุมอยู่เต็มอก ข้าอยากบอกลาเ้าแต่กลับไม่สามารถกล่าวออกมาได้
ข้าเทิดทูนความรัก แต่ยากที่จะย้อนกลับไป
ถ้าไม่ได้พบกันอีกย่อมไม่ต่างจากตกนรก”
หลังจากไป๋จื่อคัดเสร็จ นางก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เพลงนี้ไพเราะแต่โศกเศร้าเกินไป เหตุใดคุณหนูไม่เลือกเพลงที่สดใสกว่านี้หน่อยเ้าคะ?”
ขณะที่ไป๋จื่อกำลังพร่ำบ่น นางก็เริ่มลงมือคัดเพลงซ่างหยวน[2]
“กระถางธูปรูปเป็ดสีทองส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ส่วนไก่สีเงินขันบอกเวลารดน้ำ
ดวงอาทิตย์ส่องแสง หิมะหยุดตกในอุทยานหลวง
น้ำในบ่อลายเป็ดน้ำยวนยางทั้งใสและเย็น ปลาัแหวกว่ายดูราวกับเต้นรำ
กลิ่นหอมที่คะนึงหากลับหายไป เหลือเพียงคราบน้ำตา
การเดินทางในป่าเปรียบเสมือนความฝันที่ว่างเปล่า แต่ข้าจำได้ว่าพบเ้าใต้แสงไฟในคืนเทศกาลโคมไฟ
นึกถึงอดีตอันทุกข์ระทมและไร้ที่พึ่ง มองโคมไฟลอยขึ้นฟ้า
ใจของข้าโบยบินตามไป ฝุ่นฟุ้งกระจายบนเส้นทางที่นำไปสู่เมืองหลวง ทำให้อากาศแลดูขมุกขมัว
เปลวเพลิงแห่งาลุกโชนทางตอนใต้ของแม่น้ำแยงซี ข้าสงสัยว่าคืนนี้ดวงจันทร์จะส่องลงมาที่เจียงเฉิงหรือไม่?
สุราหมดแล้ว แสงเทียนหรี่ลงใกล้ดับ ข้าจะลืมเื่ราวอันน่าะเืใจได้อย่างไร?”
อวิ๋นจื่อยิ้ม “เ้าไม่เข้าใจความหมายของเพลง ทีนี้ลองดูคุณหนูของเ้าคัดบ้าง”
เมื่อกล่าวจบนางก็ลงมือคัดทันที
ไป๋จื่อยืดคอเพื่อดูว่าอวิ๋นจื่อคัดสิ่งใด
“ลมยามเย็นคลายร้อน บ่อน้ำเล็กใสสะอาด เอนกายนอนเดียวดายเพิ่งฟื้นจากความมึนเมา
เดินเตร็ดเตร่อยู่ริมสระน้ำเพียงลำพัง สายลมพัดพากลิ่นหอมของดอกบัว พืชน้ำสั่นไหว มองเห็นปลาแหวกว่ายอยู่ใต้ใบบัว
ก้านบัวที่อยู่ตรงหน้าข้าปราศจากใบ ส่วนดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์นั้นหาได้ยากยิ่ง ช่างน่าเศร้านัก
ดอกบัวบานแล้ว พรุ่งนี้เช้าข้าจะแต่งหน้าแข่งกับดอกบัวได้อย่างไร?
ปลาแหวกว่ายใต้ใบบัว น้ำค้างปกคลุมต้นไม้ใบหญ้า
ในค่ำคืนที่มืดมิด พระจันทร์เคลื่อนผ่านท้องฟ้าอันเย็นะเื แสงจันทร์สลัว ดอกไม้กำลังร่วงหล่น
ราวกับความฝันอันอ้างว้าง ใครเล่าจะเห็นใจ?
เหม่อมองทะเลสาบเจียงหนาน บนผิวน้ำล้วนเต็มไปด้วยดอกบัวสีแดงเข้ม”
------------------------
[1] จินอู่จือ เป็คำที่ใช้เรียกทหารองค์รักษ์
[2] ซ่างหยวน เป็ชื่อเรียกเทศกาลโคมไฟ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้