ลู่เชียนอ่านจดหมายในมือจบ หว่างคิ้วเต็มไปด้วยรังสีแห่งความโกรธเกรี้ยว
“รังแกกันเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้เพียงรู้มาว่าท่านเ้าเมืองไม่สนใจงานในจวน ล้วนเป็ท่านที่ปรึกษาออกหน้าจัดการ ยามนี้หลานชายของเขาถึงกับออกหน้ารังแกประชาชนอย่างไม่เกรงกลัวเช่นนี้ ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก”
พี่รองลู่เองก็โกรธจนกำหมัด เขาะโด่าออกมาว่า “ขุนนางสุนัข หากไม่ใช่เพราะเสี่ยวหมี่ห้ามไว้ ข้าอยากจะลอบบุกเข้าจวนมันตอนกลางคืนแล้ว...”
“แล้วอะไร?” ลู่เชียนเอ่ยห้าม “ท่านฟังน้องหญิงของเราเถอะ กำปั้นแก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้”
“เช่นนั้นเ้าคิดว่าควรจะทำเช่นไร”
“ไม่ทำเช่นไร เอาตามที่พี่ใหญ่เฝิงว่า ไปหาผู้ตรวจการหลี่เพื่อฟ้องร้อง”
“ได้ พวกเราพี่น้องไปด้วยกัน”
พวกเขาสองพี่น้องพูดคุยกันจนลืมไปว่าไม่ไกลยังมีคนอื่นอยู่ด้วย
บัณฑิตร่างอ้วนที่ในปากยังคาบแป้งทอดไว้ กล่าวขึ้นด้วยเสียงอู้อี้ว่า “อะไรกัน ใครจะฟ้องร้อง เกิดอะไรขึ้น”
กลับกันบัณฑิตผอมสูงคนนั้นตั้งใจฟังมาครู่หนึ่งแล้ว เขาพ่นถั่วลิสงคั่วน้ำตาลในปากทิ้ง คลี่ยิ้มเอ่ยว่า “เต๋อจิ้ง เื่น่าสนุกเช่นนี้ จะไม่ให้พวกเราสองคนเข้าร่วมด้วยไม่ได้นะ”
ลู่เชียนได้ยินแล้วก็รู้สึกเหนื่อยหน่าย เื่เช่นนี้คนทั่วไปย่อมต้องรู้สึกกังวลใจอยากหนีให้ห่าง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าสองคนนี้มีน้ำใจแค่ไหน ถึงได้เสนอตัวจะช่วยเช่นนี้
อย่างไรเสีย สหายสองคนนี้ของเขาก็มาจากตระกูลใหญ่ ต่อให้ผู้ตรวจการคนนั้นจะไม่เป็ดังที่พี่ใหญ่เฝิงว่า แต่ก็ยังต้องไว้หน้าสองตระกูลนี้อยู่บ้าง
“ขอบคุณพวกเ้าทั้งสองมาก วันหน้าข้าจะขอบคุณอย่างสมน้ำสมเนื้อแน่นอน”
“เชอะ พูดแบบนี้เกินไปแล้วนะ”
บัณฑิตผอมสูงเอามือตบบ่าลู่เชียน ยิ้มอย่างเ้าเล่ห์ “วันหน้าหากที่บ้านส่งของกินมาอีก ก็แบ่งให้ข้าครึ่งหนึ่งก็พอแล้ว”
“ไม่ได้” บัณฑิตอ้วนะโขึ้นมา “ถ้าจะแบ่งก็ต้องแบ่งให้ข้าครึ่งหนึ่งสิ”
“เ้าอ้วนนี่ ครั้งไหนๆ ก็เป็เ้าที่กินมากกว่าข้า ยังจะมีหน้ามาแย่งอีก”
จู่ๆ คนทั้งสองก็เถียงกันอย่างเอาเป็เอาตาย ทำให้ลู่เชียนต้องรีบเข้ามาปราม เช่นนี้เองทำให้เขาลืมความโมโหชั่ววูบเมื่อครู่นี้ไป แล้วค่อยๆ ใจเย็นลง
ถึงแม้พี่รองลู่จะเป็คนไม่ใช้สมองกับเื่อะไรทั้งนั้น แต่เขาก็มองออกว่าสหายสองคนนี้ของน้องชายมีน้ำใจจริงๆ จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าทุกครั้งที่ส่งของมาที่สำนักศึกษา น้องหญิงของเขามักจะเตรียมมาให้มากเป็พิเศษ ที่แท้ก็เพื่อเหตุผลนี้นี่เอง
เป็ครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าการมีน้องสาวที่เฉลียวฉลาดและรสมือเยี่ยมเช่นนี้ เป็เื่ที่โชคดีแค่ไหน
อากาศทางภาคเหนือหากเทียบกับเมืองหลวงแล้วก็นับว่ายังหนาวเย็นอยู่มาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงดินแดนเจียงหนานที่อากาศอบอุ่นเหมือนอยู่ในฤดูใบไม้ผลิตลอดปี
เด็กรับใช้ตัวน้อยพยายามจะยืดอกแต่สุดท้ายก็ต้านลมไม่ไหวต้องหดศีรษะกลับไป
หลี่หลินนั่งอยู่กลางศาลาที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านหลิวออกไปสิบลี้ เขาดื่มชาพลางทอดมองทุ่งนาตรงหน้า
เขามีพื้นเพเป็ชาวนา ถึงแม้ตอนนี้จะดำรงตำแหน่งสูงถึงผู้ตรวจการมณฑลแล้วก็ยังไม่อาจสลัดกำพืดของตนเองทิ้งไปได้
สิ่งที่ชาวนาทั่วหล้าคาดหวังคือการเก็บเกี่ยวให้ได้ในปริมาณมาก
เพราะมันหมายความว่ามีเสบียงมาก เสบียงมากก็หมายความว่าถึงจะจ่ายภาษีการเกษตรไปแล้ว ครอบครัวชาวนาก็ยังมีเสบียงเพียงพอให้บริโภค และถึงขนาดนำไปขายได้อีกสักหนึ่งถึงสองตำลึง ซื้อผ้าใหม่ๆ ให้พวกผู้หญิง ซื้อของกินเล่นให้พวกเด็กๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกคนร่ำคนรวยที่ยิ่งจะสาดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจมากขึ้น สุดท้ายก็จะทำให้ทั้งต้าหยวนยิ่งเจริญก้าวหน้า...
“นายท่าน พวกเราจะขึ้นเหนือไปอีกหรือขอรับ?”
เด็กรับใช้คนนี้มีพื้นเพเป็คนทางใต้ เขาจึงไม่ชินกับอากาศที่นี่นัก ทำให้หลี่หลินอดหัวเราะไม่ได้ “ดูสภาพเ้าสิ นี่ยังไม่เข้าฤดูหนาวเลยนะ ถึงตอนนั้นเกรงว่าเ้าคงจะแข็งไปทั้งตัวกระมัง”
เด็กรับใช้คนนั้นสีหน้าอมทุกข์ อดบ่นเบาๆ ไม่ได้เพราะเห็นว่ายามปกตินายท่านเป็คนอ่อนโยนใจดี “นายท่าน ถ้าเป็ฤดูหนาวบ่าวทนไม่ไหวหรอกขอรับ พวกเราจะได้กลับเมืองหลวงเมื่อใดเล่าขอรับ อีกหนึ่งเดือนก็จะเป็วันเกิดฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว”
เมื่อหลี่หลินนึกถึงมารดาก็วางถ้วยชาในมือลง เขายืนขึ้นประสานมือค้อมศีรษะไปทางทิศใต้ แล้วจึงกล่าวขึ้นว่า “ฝ่าาทรงไว้วางพระทัย ข้าย่อมต้องทำหน้าที่ให้เต็มความสามารถ หากกลับไปไม่ทัน คิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าเองก็คงไม่ว่ากล่าว”
เด็กรับใช้คนนั้นอยากจะร้องไห้ เดิมทีเขายังมีความหวังอยู่ แต่ยามนี้ฟังแล้วความหมายของนายท่านเหมือนยังไม่มีเวลากลับที่แน่ชัด
นายบ่าวกำลังเก็บของเตรียมจะออกเดินทางต่อ คิดไม่ถึงว่าจะมีม้าสี่ตัวควบมา บนม้าสี่ตัวคือหนุ่มน้อยสี่คน สามคนในนั้นท่าทางคล้ายบัณฑิต อีกคนหนึ่งดูท่าทางดุร้าย
บัณฑิตคนหนึ่งที่ขี่ม้านำหน้าสุดสังเกตพวกเขาสองนายบ่าวไปทีหนึ่งจากนั้นจึงรีบหยุดม้าแล้วลงมาหา
เด็กรับใช้ตัวน้อยใมาก รีบกอดห่อผ้าในมือแน่นไม่ยอมปล่อย ขบคิดเล็กน้อยแล้วจึงเข้ามาขวางอยู่หน้าเ้านาย
หลี่หลินเห็นแล้วก็รู้สึกขบขัน ตบไหล่เขาเบาๆ แล้วดึงเขาให้หลบไปด้านข้าง
เมื่อบัณฑิตคนนั้นมาถึงตรงหน้าก็ประสานมือคารวะอย่างนอบน้อมถามว่า “ขออนุญาตขอรับ ท่านผู้นี้คือท่านผู้ตรวจการมณฑลหลี่หลิน ใต้เท้าหลี่หรือไม่ขอรับ?”
เด็กรับใช้น้อยที่ตอนนี้หลบซ่อนอยู่หลังเ้านาย อดะโออกมาไม่ได้ว่า “เ้าเป็ใคร เ้ารู้ได้อย่างไรว่านายท่านของข้าอยู่ที่นี่”
พวกพี่รองลู่ที่ตามเข้ามาด้วยได้ยินก็รู้สึกขบขัน “เ้าเด็กนี่ หากว่าพวกเราเป็คนไม่ดี คงจะลงมือไปนานแล้ว อีกอย่าง เ้านายของเ้ายังไม่ยอมรับฐานะของตนเอง แต่เป็เ้านั่นแหละที่เปิดโปงตัวเขาเสียเอง”
เด็กรับใช้คนนั้นเบะปาก คิดจะพูดอะไรต่อก็ถูกหลี่หลินหยุดไว้
“ในเมื่อพวกท่านรู้ตัวตนของข้าแล้ว ก็แสดงว่ามีธุระกับข้า เข้ามานั่งด้านในก่อนเถอะ”
พวกลู่เชียนกล่าวขอบคุณ แล้วจึงก้าวเท้าเข้าไปในศาลา
ศาลาเล็กๆ เนื่องจากจู่ๆ ก็มีคนเพิ่มมาอีกสี่คนจึงดูคับแคบไปถนัดตา เด็กรับใช้คนนั้นหยิบอุปกรณ์ชงชาออกมาอย่างไม่ค่อยยินยอมพร้อมใจนัก แล้วเริ่มชงชาใหม่
เพียงไม่นานทุกคนก็ได้ดื่มชาอุ่นๆ
ราษฎรที่อยู่ทางภาคเหนือล้วนแข็งแกร่ง น้อยคนนักที่จะขี่ม้าไม่ได้ ลู่เชียนที่ถึงแม้จะเร่งควบม้ามาตลอดทางแต่ก็ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอะไร แต่บัณฑิตหนึ่งอ้วนหนึ่งผอมสหายของเขานั้นกลับเหนื่อยหอบ เมื่อดื่มชาอุ่นๆ ลงไปก็ค่อยๆ รู้สึกดีขึ้น
คนทั้งสามยืนขึ้นแนะนำตัว บัณฑิตร่างอ้วนแซ่เฉิง นามอักษรจื่อเหิง บัณฑิตรูปร่างผอมแซ่หลิว นามอักษรปู๋ชี่
หลี่หลินลอบสังเกตลักษณะของคนทั้งสามก็เห็นว่าแลดูน่าเชื่อถือ ทั้งยังเป็บัณฑิตจากสำนักศึกษาฮวางหยวน จึงรู้สึกดีกับพวกเขาขึ้นมาไม่น้อย
ส่วนพี่รองลู่นั้นรำคาญที่จะดื่มชา จึงไปนั่งยองๆ ที่มุมศาลา เปิดกระบอกสุรายกขึ้นดื่ม
เด็กรับใช้รู้สึกเหม็นกลิ่นสุรา รู้สึกว่าเขาหยาบคายทำลายทัศนียภาพอันงดงาม จึงรู้สึกไม่พอใจมาก
แต่พี่รองลู่กลับเข้าใจผิดคิดว่าเขาอยากกินถั่วลิสงเคลือบน้ำตาลที่ตนเอาออกมา จึงรีบยื่นให้
เด็กรับใช้คนนั้นคิดจะปฏิเสธ แต่จู่ๆ กลับถูกยัดสิ่งนั้นเข้าปาก เขาเคยกินขนมกรุบกรอบหวานๆ เช่นนี้เมื่อใดกัน แน่นอนว่ากินคำเดียวก็ติดใจ
พี่รองลู่เห็นเขาอายุยังน้อย ทั้งยังสวมอาภรณ์น้อยชิ้น ครั้นเห็นว่าเขารูปร่างพอๆ กับน้องสาวตัวน้อยที่บ้าน จึงลากเขามายืนตรงหน้าตัวเอง ตั้งใจจะบังลมให้เขา
หลี่หลินเห็นเหตุการณ์นี้ผ่านทางหางตา เมื่อหันกลับมามองพวกลู่เชียนชัดๆ สายตาของเขาจึงเต็มไปด้วยความสนิทชิดเชื้อขึ้นอีกสามส่วน
“ที่พวกเ้าไล่ตามมาเช่นนี้เกรงว่าคงมีเื่สำคัญมากกระมัง”
ลู่เชียนเองก็ไม่อ้อมค้อม หยิบคำฟ้องร้องที่เขียนเสร็จแล้วยื่นมาตรงหน้าเขาด้วยสองมือ
“ไม่ปิดบังใต้เท้า ที่บ้านของข้าพบเื่ยากลำบากเข้า ขอให้ใต้เท้าช่วยออกหน้าแทนด้วยขอรับ”
หลี่หลินไม่พูดอะไรก็รับกระดาษตรงหน้าไปอ่านอย่างตั้งใจ
ลู่เชียนรอจนเขาวางคำฟ้องร้องลง แล้วถึงค่อยดึงโฉนดเหลืองสองฉบับนั้นออกมา กล่าวอย่างจริงจังว่า “ั้แ่ต้าหยวนก่อตั้งแคว้นเป็ต้นมา ก็ปกครองแผ่นดินด้วยกฎหมายอันเข้มงวด ยามนี้ตู้โหย่วไฉไม่สนใจกฎหมาย แย่งชิงพื้นที่บนเขา หมายจะรีดเืเอากับสกุลลู่ของเรา ขอให้ใต้เท้าช่วยออกหน้าแทนสกุลลู่ด้วย เพื่อปกป้องความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายแห่งต้าหยวนของเรา”
“หากเื่เป็ดังที่เ้าพูดมา ข้าย่อมช่วยนำความยุติธรรมกลับมาให้สกุลลู่อย่างแน่นอน แต่ต้องรอให้ข้าสืบเื่นี้จนกระจ่างแล้วถึงจะตัดสินความได้ กระดาษคำฟ้องร้องและโฉนดเหลืองให้ทิ้งไว้ที่ข้าก่อน”
หลี่หลินพูดพลางคิดจะเก็บกระดาษพวกนั้น หางตาสังเกตเห็นว่าลู่เชียนไม่มีทีท่าลังเลแม้แต่น้อย ชัดเจนว่าเชื่อใจเขาเป็อย่างมาก จึงยิ่งรู้สึกพอใจมากขึ้น
เด็กรับใช้ตัวน้อยกินขนมอย่างเอร็ดอร่อย ลืมไปแล้วว่าต้องต้มน้ำรินชา ลู่เชียนจึงม้วนแขนเสื้อลงมือต้มชาด้วยตนเอง
คนทั้งสี่สนทนากันไปเรื่อยๆ หลี่หลินถอดหมวกขุนนางทิ้ง เขาเองก็เป็คนที่ออกมาจากสำนักศึกษาชั้นนำเช่นกัน จึงสนทนากับพวกลู่เชียนอย่างถูกคอ จู่ๆ เขาก็เอ่ยถามเรียบเรื่อยออกมาเหมือนไม่ได้ตั้งใจ “พวกเ้าตามหาข้าเจอได้อย่างไร? แต่ไหนแต่ไรมาเวลาข้าเดินทางไม่เคยมีแผนชัดเจน ข้าสามารถเปลี่ยนเส้นทางและจุดหมายได้ตลอดเวลา”
ลู่เชียนเองก็ไม่ได้ปิดบัง ยิ้มเอ่ยว่า “ฤดูหนาวปีก่อนข้าได้รู้จักพี่ชายคนหนึ่ง เขาเป็คนเก่งกาจมาก ครั้งนี้เกิดเื่ขึ้นที่บ้าน พี่ชายท่านนั้นบอกว่าไม่สามารถช่วยเหลือได้ แต่ได้ยินว่าใต้เท้าเดินทางขึ้นเหนือมาอยู่ใกล้ๆ อันโจว อีกทั้งท่านยังมีชื่อเสียงโด่งดัง ข้าจึงรีบรุดมาจากสำนักศึกษา”
ถึงแม้ลู่เชียนจะไม่ได้ตอบคำถามของหลี่หลินอย่างกระจ่างแจ้ง แต่ก็ไม่ลืมที่จะยกยอปอปั้นเขาอย่างเหมาะสมเพิ่มไปอีกประโยค
หลังจากสนทนาสัพเพเหระกันอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดพวกลู่เชียนก็เอ่ยลา
หลี่หลินมองส่งคนทั้งสี่ขี่ม้าจากไป เป็นานไม่พูดอะไร เด็กรับใช้คนนั้นถูกถั่วลิสงของพี่รองลู่ซื้อตัวไปแล้ว กลัวว่าเ้านายของตนจะไม่ยอมช่วยพวกเขา จึงโน้มน้าวด้วยรอยยิ้ม “นายท่าน ตอนนี้ก็สายมากแล้ว พวกเรารีบขึ้นเหนือกันเถอะขอรับ”
หลี่หลินยิ้มน้อยๆ เคาะศีรษะเขาเบาๆ ดุว่า “เมื่อครู่ยังกลัวหนาวอยู่เลย ตอนนี้ไม่กลัวแล้วหรือ?”
เด็กรับใช้คนนั้นยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ไม่ทันระวังถั่วลิสงในมือก็ถูกแย่งไปเม็ดหนึ่ง
หลี่หลินกินแล้วก็อดหรี่ตาลงไม่ได้ “สกุลลู่นี่น่าสนใจมาก ไปเถอะ ขึ้นเหนือไปเป่ยโจว”
“ขอรับ”
เด็กรับใช้เก็บกาน้ำชาและถ้วยชาอย่างอารมณ์ดี สองนายบ่าวออกเดินทางอีกครั้ง
พี่รองลู่พาพวกลู่เชียนมาส่งที่สำนักศึกษา เขารู้ว่าคนที่บ้านคงเป็ห่วงจึงรีบร้อนจะกลับไป
เฉิงจื่อเหิงที่บ้านร่ำรวยไม่น้อย ม้าสี่ตัวนี้เป็ของบ้านเขา จึงมอบให้พี่รองลู่ไปหนึ่งตัวอย่างใจกว้าง เขาจะได้กลับบ้านได้เร็วขึ้น
พี่รองลู่ดีใจมาก เขากำหมัดคารวะเยี่ยงชาวยุทธ์แล้วรีบจากไปไม่เห็นฝุ่น
ทำเอาลู่เชียนตาโต เขารู้สึกปวดหัวกับความคิดของพี่ชายคนนี้จริงๆ
แต่เป็เฉิงจื่อเหิงที่หัวเราะฮ่าฮ่าออกมา “เต๋อจิ้งไม่ต้องเกรงใจ ข้ากลับชอบนิสัยของพี่รองมาก หากเ้าเกรงใจจริงๆ ครั้งหน้าที่บ้านส่งของกินมาก็เผื่อข้าบ้างก็แล้วกัน”
“ได้เลย หากตอนพักกลับบ้านครั้งนี้พวกเ้าไม่ยุ่งมาก ไม่สู้ตามข้ากลับบ้าน น้องสาวตัวน้อยของข้ารสมือเป็เลิศ ทำของอร่อยใหม่ๆ ออกมาอยู่ไม่ขาด”
เนื่องจากลู่เชียนรู้สึกละอายใจมาก จึงเชื้อเชิญสหายทั้งสองไปทานอาหารที่บ้าน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้