บทที่ ๒ : วิกฤตการณ์สไบเฉียง (ปะทะไทเฮา)
ณ ตำหนักฉือหนิง (ตำหนักฮองไทเฮา)
บรรยากาศภายในท้องพระโรงอันโอ่อ่าอลังการเต็มไปด้วยความตึงเครียด กลิ่นกำยานราคาแพงลอยอบอวลผสมกับรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากสตรีสูงวัยผู้หนึ่งซึ่งนั่งเด่นเป็สง่าอยู่บนตั่งทองคำ
“ฮองไทเฮา” หรือสตรีผู้กุมอำนาจสูงสุดแห่งฝ่ายใน จ้องมองร่างของแม่หญิงบัวที่ถูกมัดมือไพล่หลังกดให้นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องล่างด้วยสายตาที่แทบจะเผาไหม้ให้เป็จุณ
“ไร้ยางอายสิ้นดี!”
เสียงตวาดแหลมสูงดังลั่นจนปิ่นปักผมหงส์บนพระเศียรสั่นไหว
“ฝ่าา! ท่านไปเก็บสตรีวิปลาสผู้นี้มาจากที่ใด? เหตุใดจึงปล่อยให้แต่งกายลามกจกเปรตเยี่ยงนี้เข้ามาเหยียบย่ำความศักดิ์สิทธิ์ของวังหลวง!”
นิ้วเรียวยาวที่สวมปลอกเล็บทองคำชี้มาที่ ‘สไบ’ ของบัว
ในสายตาของชาวจีนผู้ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมขงจื๊อ การที่สตรีเปลือยไหล่โชว์เนื้อหนังมังสาในที่สาธารณะ ถือเป็เื่ผิดประเวณีอย่างร้ายแรง ไม่ต่างอะไรกับหญิงงามเมือง!
แม่หญิงบัวขมวดคิ้วมุ่น แม้จะถูกมัดจนเจ็บข้อมือแต่นางก็ยังเชิดหน้าสู้ นางฟังภาษาจีนไม่ออก แต่ดูจากกิริยาที่ชี้นิ้วมาที่หน้าอกหน้าใจของนาง ก็พอจะเดาได้ว่ายายป้าคนนี้กำลังด่าเื่การแต่งตัว
‘ลามกตรงไหนคะคุณป้า?’ บัวเถียงในใจไฟแลบ
‘นี่มันผ้าแพรเยื่อไม้เกรดเอ สั่งทอพิเศษจากพ่อค้าแขกมัวร์เลยนะเ้าคะ! การห่มสไบเฉียงเปิดไหล่ข้างหนึ่งคือนิยมของกุลสตรีชาวอโยธยา งามสง่าจะตายไป พวกเจ๊กนี่ช่างตาต่ำเสียจริง!’
ฮ่องเต้หลี่เฉินที่ประทับอยู่ด้านข้างไทเฮา มีสีพระพักตร์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก พระองค์เหลือบมองไหล่นวลเนียนของบัวแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีแล้วกระแอมไอแก้เขิน
“เสด็จแม่ โปรดระงับโทสะก่อนพะยะค่ะ ลูกได้สั่งให้ตามตัวล่ามมาแล้ว ประเดี๋ยวคงรู้ความ”
ไม่นานนัก ขันทีน้อยก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาพร้อมกับชายชราผิวคล้ำคนหนึ่งที่ดูตื่นตระหนกสุดขีด
“ล่ามมาแล้วพะยะค่ะ! นี่คือพ่อค้าชาวสยามที่เข้ามาค้าขายเครื่องเทศในเมืองหลวงพอดี!”
ชายชราผู้มีนามว่า ‘ตาอิน’ เมื่อเห็นฮ่องเต้ก็รีบทิ้งตัวลงกราบจนหน้าผากโขกพื้นโป๊กๆ ตัวสั่นงันงกเหมือนลูกนกตกน้ำ
แม่หญิงบัวเห็นคนบ้านเดียวกันก็ตาโตเป็ประกาย นางพยายามขยับตัวจะเข้าไปหา
“ลุง! ลุงจ๋า!” บัวะโเรียกเสียงสั่น “ลุงช่วยฉันที! ช่วยบอกพวกบ้านนอกเข้ากรุงพวกนี้ทีเถิด ว่าฉันเป็ลูกสาวคหบดีมีตระกูล ไม่ใช่ผีปอบ! แล้วนี่ก็ชุดไทยพระราชนิยม ไม่ใช่ชุดนางโลม!”
ตาอินเงยหน้าขึ้นมองบัว แล้วทำหน้าเหมือนเห็นผี
“แม่... แม่นาง... เ้าไปทำอีท่าไหนถึงโดนมัดเยี่ยงนั้นเล่า?”
“อย่าเพิ่งถาม! แปลก่อน! แปลเดี๋ยวนี้!” บัวเร่ง
ฮ่องเต้เริ่มซักไซ้ทันที “เ้าเฒ่า ถามนางสิว่านางเป็ใคร มาจากไหน และเหตุใดฟันจึงดำ แล้วไอ้ที่ไหลย้อยออกมาจากปากนางคือเืใช่หรือไม่?”
ตาอินกลืนน้ำลายเอือก หันไปมองหน้าบัวสลับกับฮ่องเต้ แล้วเริ่มแปลด้วยภาษากระท่อนกระแท่น
“ทูล... ทูลฝ่าา นางบอกว่า... นางชื่อ ‘บัว’ (เหลียนฮวา) เป็ธิดาเศรษฐีจากแคว้นเซียนหลัว (สยาม) พะยะค่ะ ส่วน... เอ้อ... สีแดงๆ ที่ปาก คือ... สมุนไพร!”
“สมุนไพร?” ฮ่องเต้เลิกคิ้ว “แล้วฟันดำเล่า?”
ตาอินเหงื่อแตกพลั่ก “เป็... เป็ค่านิยมความงามของบ้านเกิดนางพะยะค่ะ ที่นั่น... สตรีใดยิ่งฟันดำ ยิ่งถือว่าบริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็ผู้ดีมีสกุล”
“หา!?”
เสียงอุทานดังเซ็งแซ่ไปทั้งท้องพระโรง เหล่านางกำนัลและขันทีต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
ไทเฮาทำหน้าเหมือนเพิ่งกลืนแมลงวันเข้าไป “งาม? ฟันดำเหมือนถ่านเนี่ยนะงาม? คนบ้านเมืองเ้าตาบอดกันหมดหรือไร? แล้วดูชุดนางสิ! เศษผ้าน้อยชิ้นแค่นั้นกันลมหนาวได้หรือ?”
บัวเห็นสายตาดูถูกเหยียดหยามของไทเฮา เืนักสู้แห่งลุ่มน้ำเ้าพระยาก็พุ่งพล่าน นางทนให้ใครมาดูถูกศักดิ์ศรีสาวชาววังไม่ได้!
‘ได้... ในเมื่อพูดกันไม่รู้เื่ ก็ต้องคุยกันด้วยผลงาน!’
บัวขยับตัวดุ๊กดิ๊ก ใช้ไหล่กระแทกขันทีที่คุมตัวนางจนเซ แล้วสะบัดตัวอย่างแรงจนเชือกที่มัดไม่แ่านัก (เพราะขันทีรีบมัด) หลุดออก
ผัวะ!
“เฮ้ย! นางหลุดแล้ว! ทหาร!” องครักษ์ะโลั่น
แต่บัวไม่ได้พุ่งเข้าหาฮ่องเต้ นางหันซ้ายหันขวา สายตาไปสะดุดเข้ากับ ‘แตงโม’ ลูกโตที่วางประดับอยู่บนโต๊ะเสวยพร้อมมีดปลอกผลไม้ทองเหลือง
นางพุ่งตัวเข้าไปคว้ามีดเล่มนั้นทันที!
“คุ้มกันฝ่าา! นางจะลอบปลงพระชนม์!” กงกงกรีดร้อง เอาตัวเข้าบังไทเฮา
“ถอยไป!” บัวตวาดลั่น (เป็ภาษาไทย) แล้วเงื้อมีดขึ้น
ทว่านางไม่ได้แทงใคร...
นางวางแตงโมลูกนั้นลงบนโต๊ะ แล้วลงมีดอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
ฉับ! ฉับ! ฉับ!
เสียงใบมีดกระทบเนื้อแตงโมดังเป็จังหวะระทึกใจ ข้อมือของนางพลิ้วไหวราวกับกำลังร่ายรำ ปลายมีดตวัดโค้ง เว้า ลึก ตื้น อย่างชำนาญ เศษเปลือกแตงโมสีเขียวร่วงหล่นลงพื้นทีละชิ้น... ทีละชิ้น...
ฮ่องเต้หลี่เฉินที่เตรียมจะชักกระบี่ออกมาป้องกันตัว ถึงกับชะงักค้าง พระเนตรเบิกกว้างจ้องมองการกระทำนั้นด้วยความฉงน
เพียงชั่วอึดใจ... บัวก็วางมีดลง
นางใช้มือประคองผลงานชิ้นเอกขึ้นมาอย่างทะนุถนอม แล้วหันไปคุกเข่าถวายให้ฮ่องเต้
เนื้อแตงโมสีแดงสดที่เคยเป็ก้อนกลมๆ บัดนี้ได้กลายสภาพเป็ “ดอกบัว์ซ้อนกลีบ” วิจิตรบรรจง กลีบดอกแต่ละชั้นบางเฉียบและโค้งงอนงามราวกับดอกไม้จริงที่กำลังเบ่งบาน ลวดลายฉลุบนผิวแตงโมนั้นละเอียดอ่อนจนน่าขนลุก
ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วท้องพระโรง ทุกสายตาจ้องมองดอกบัวแตงโมนั้นด้วยความตะลึงพรึงเพริด
แม้แต่ไทเฮาที่ปากร้ายเมื่อครู่ ยังเผลออ้าปากค้าง
บัวก้มกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ (กราบแบบไทย ๕ จุดััพื้น) อย่างงดงามอ่อนช้อย แล้วเงยหน้าขึ้นส่งสายตายิ้มแย้ม (พร้อมฟันดำ) ให้ฮ่องเต้
“เครื่องเสวยเ้าค่ะ คุณพี่... เอ้ย ฝ่าา” นางกล่าวเสียงหวานหยด
ตาอินรีบแปลเสียงสั่น “นาง... นางถวายพระพร และบอกว่านี่คือศิลปะชั้นสูงของสตรีชาวสยามพะยะค่ะ สตรีเถื่อนย่อมมิอาจทำเช่นนี้ได้”
ฮ่องเต้หลี่เฉินค่อยๆ ยื่นพระหัตถ์ไปรับแตงโมแกะสลักนั้นมาพิจารณาใกล้ๆ กลิ่นหอมหวานของแตงโมลอยมาแตะจมูก
“นาง... นางมิใช่คนเถื่อน” ฮ่องเต้พึมพำกับตนเอง แววตาที่มองบัวเริ่มเปลี่ยนจากความรังเกียจเป็ความทึ่ง “นางคือช่างศิลป์ชั้นครู!”
ไทเฮาได้สติ รีบกระแอมไอแก้เก้อ “ฮึ! ก็แค่ปอกผลไม้! ใครๆ ก็ทำได้! แต่เื่การแต่งกาย ข้ามิยอมรับ! มันขัดต่อศีลธรรมอันดี!”
พระนางหันไปสั่งนางกำนัล “เอาผ้าแพรหนาๆ ไปคลุมตัวนางเดี๋ยวนี้! ปิดไหล่ ปิดคอ ปิดให้มิด! ข้าทนดูความอนาจารนี้ไม่ได้ แล้วส่งนางไปขังที่ตำหนักเย็นท้ายวัง ให้ทำงานในโรงครัว! ดัดนิสัยเสียให้เข็ด!”
บัวถูกนางกำนัลรุมทึ้งเอาผ้าหนาๆ มาห่อตัวจนเหมือนดักแด้ แต่นางก็ไม่ได้ขัดขืน เพราะอย่างน้อยนางก็รอดตายแล้ว
ก่อนจะถูกลากตัวออกไป บัวหันมาสบตาฮ่องเต้อีกครั้ง แล้วยักคิ้วให้ข้างหนึ่งอย่างกวนๆ
‘ฝากไว้ก่อนเถอะอีแก่! แล้วจะรู้ว่าสไบเฉียงคือแฟชั่นแห่งอนาคต!’
ฮ่องเต้มองตามร่างเล็กๆ นั้นไปจนลับสายตา ก่อนจะก้มลงมองดอกบัวแตงโมในมือ แล้วเผลอยิ้มออกมาที่มุมปากโดยไม่รู้ตัว
“สตรีสยาม... ช่างรสชาติจัดจ้านยิ่งนัก”
