น่าเสียดาย น่าเสียดาย แต่จากที่เขาและซิ่วไฉชราไปสอบถามมาหลายครั้ง ได้ความว่าแม้จะมีเงินก็ใช่ว่าจะเข้าเรียนที่นั่นได้ และถึงจะเข้าไปได้ ก็ยังต้องใช้เงินอีกมากมายในการส่งเสียตัวเองต่อ ซึ่งมันมากเกินกว่าที่พวกเขาจะจ่ายไหว….
ยิ่งหลินต้าหลางคิดเื่นี้มากเท่าใด โทสะก็ยิ่งบันดาลขึ้นในใจ จนกัดฟันแน่นยิ่งขึ้นด้วยความชิงชังต่อหลินซานหลางที่ได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่ว่านี้
แม้หลินฟู่อินจะมิใช่เด็กสาวทั่วไป แต่สายตาของหลินต้าหลางก็ยังสร้างความหวาดกลัวให้นางได้ สายตาที่มองนางราวกับเป็เพียงปลาบนเขียงที่เขาจะชำแหละอย่างไรก็ได้ตามใจชอบนั้น
แต่ในขณะเดียวกัน หลินฟู่อินเองก็กำลังโกรธมาก และยังรู้สึกขยะแขยงที่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับบ้านใหญ่และหลินต้าหลางอีกครั้งเช่นนี้
ด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น หลินฟู่อินก็ได้ถามออกไปด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ข้าสามารถพอที่จะให้พี่ซานหลางเข้าเรียนได้ มันเป็เื่ของข้า พี่ต้าหลางมีสิทธิ์อะไรมาออกความเห็นกัน?”
“การที่มีคนจากตระกูลหลินเข้าไปเรียนในโรงเรียนในเมืองได้นั้นนับเป็เื่ใหญ่ แต่เ้ากลับตัดสินใจเองโดยไม่ปรึกษาท่านปู่เนี่ยนะ!” หลินต้าหลางจ้องหลินฟู่อินราวกับจะกินเืกินเนื้อ หากสายตาสามารถฆ่าคนได้ นางก็คงร่างทะลุตายไปแล้ว…
หลินฟู่อินแค่นจมูก หลินต้าหลางไม่ชอบใจ ไม่พอใจ แล้วมันจะทำไม?
“เื่นี้ข้าไม่ยอมง่ายๆ แน่ ข้าจะไปบอกท่านปู่!” หลินต้าหลางเห็นสีหน้าไม่ใส่ใจของหลินฟู่อินก็รู้ได้ว่านางไม่คิดเปลี่ยนใจให้เขาไปเรียนแทนหลินซานหลางเป็แน่ เขาจึงกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจแล้ววิ่งไปยังบ้านใหญ่ทันที
หลินฟู่อินมองสภาพที่วิ่งออกไปอย่างดูไม่ได้ของเขาแล้วก็ขมวดคิ้ว นางประเมินผลกระทบของโรงเรียนในเมืองที่มีต่อหลินต้าหลางต่ำไป…
ดูท่านี่คงเป็บ่อเกิดของปัญหาอีกแน่ๆ
สีหน้าของหลินฟู่อินหม่นหมองด้วยความไม่สบายใจ แต่เมื่อคิดจบแล้ว นางก็ปิดบ้านแล้วออกไปยังบ้านสอง
และนางก็ได้เจอกับหลินต้าเหอและภรรยาที่กำลังเข็นรถเข็นอยู่ระหว่างทางเข้าโดยบังเอิญ เมื่อปรายตามองดูแล้วจึงได้เห็นว่าบนรถเข็นมีกระสอบอยู่สี่ห้ากระสอบ นางรู้ได้ทันทีว่านั่นเป็ถั่วที่ทั้งสองหากลับมาได้
หลังจากที่หลินฟู่อินวางแผนว่าจะขายถั่วเหลืองและถั่วงอกด้วย ทั้งสองจึงได้หาถั่วทั้งสองกลับมาด้วยจากการไปหาซื้อจากหมู่บ้านใกล้เคียงด้วยกันกับพวกหลินเฟินและหลินซานหลาง แต่ตอนนี้พักเื่นั้นเอาไว้ก่อน
เมื่อหลินต้าเหอและภรรยาเห็นหลินฟู่อินเดินเข้ามาหาพวกตน ทั้งสองจึงคิดจะเอ่ยปากทักทายด้วยรอยยิ้ม แต่เมื่อเห็นสีหน้าของนางแล้ว รอยยิ้มของทั้งสองจึงหุบลงด้วยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ฟู่อิน เกิดอะไรขึ้นหรือ? มีอะไรมาทำให้เ้าไม่สบายใจหรือ?” เฟิงซื่อถามอย่างเป็กังวล
หลังๆ มานี้ทุกสิ่งที่หลินฟู่อินทำต่างก็ไปได้สวย และยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ นางจึงบอกให้ฟู่อินไปขอพรกับพระพุทธเ้าด้วย เพื่อให้ทุกสิ่งไปได้สวยยิ่งขึ้น ดังนั้นเมื่อนางเห็นสีหน้าถมึงทึงของหลินฟู่อินเช่นนี้ นางจึงไม่สบายใจนัก
หากจะมีใครใส่ใจความเป็อยู่ของหลินฟู่อินมากที่สุด ก็คงเป็บ้านสอง
เมื่อหลินต้าเหอเห็นภรรยาถามเช่นนี้ เขาก็เริ่มไม่สบายใจขึ้นมาเช่นกัน จึงหยุดรถเข็นแล้วถามอย่างหวาดๆ “นั่นสิ มีอะไรหรือฟู่อิน?”
หลินฟู่อินถึงได้รู้ตัวว่าสีหน้าของนางสร้างความไม่สบายใจให้ทั้งสอง จึงรีบโบกไม้โบกมือ “ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร แค่พี่ต้าหลางเพิ่งบุกมาบ้านข้าเมื่อครู่ จนข้ากลัวขึ้นมาเท่านั้น”
ไม่ใช่ว่าหลินฟู่อินไม่อยากเล่าเื่ที่เพิ่งเกิด แต่ตอนนี้พวกเขายังอยู่ข้างนอก
“อายุยี่สิบเข้าไปแล้วแต่กลับไม่รู้จักมารยาทเอาเสียเลย คิดยังไงจึงบุกเข้าบ้านคนอื่นเช่นนั้นกัน?” เฟิงซื่อได้ยินแล้วก็ไม่พอใจมาก พลางคิดว่าหลินต้าหลางเป็บัณฑิตแท้ๆ แต่กลับทำตัวไม่สมฐานะเลย
หลินฟู่อินโบกมือ “ลุงสอง ป้าสอง เข้าบ้านก่อนแล้วค่อยคุยกันดีกว่า”
เฟิงซื่ออึ้งไป แล้วจึงคิดได้ว่าหลินฟู่อินคงไม่อยากเล่าเื่ที่เกิดต่อหน้าคนอื่น นางขมวดคิ้วแล้วพยักหน้า ก่อนกระซิบหลินต้าเหอ “เ้านำไปบ้านฟู่อินก่อน แล้วเข็นรถช้าลงหน่อย”
หลินต้าเหอพยักหน้าด้วยคิ้วที่ขมวดเป็ปม
เฟิงซื่อหยิบเอากุญแจทองแดงออกมาจากเอวแล้วเปิดประตู ก่อนเชิญหลินฟู่อินเข้าบ้านแล้วถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
หลินฟู่อินมองนาง “เมื่อเช้าวังฮูหยินส่งคนมาบอกข้าว่าพี่ซานหลางได้รับอนุญาตให้ไปเรียนในเมืองแล้ว…”
“โอ้ พอดีเลยนี่! ขอบคุณ์” เฟิงซื่อไม่รอให้หลินฟู่อินกล่าวจบ พนมมือขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นทันที
แน่นอนว่าเฟิงซื่อไม่รู้ว่าการได้เข้าเรียนที่โรงเรียนในเมืองมันเป็เื่ยากเพียงใด นางนึกว่าของเพียงมีเงินก็เข้าได้เลยเท่านั้น
เป็ตอนนี้เองที่หลินต้าเหอเดินเข้าห้องมาพลางปัดฝุ่นบนร่างไปด้วย แล้วเฟิงซื่อจึงกล่าวกับเขาอย่างร่าเริงทันที “ฟู่อินบอกข้าว่าวังฮูหยินอนุญาตให้ซานหลางไปเรียนในเมืองได้แล้ว!”
หลินต้าเหอจึงตื่นเต้นตามไปด้วย ดวงตาเขาเบิกกว้างพลางทอประกายความหวัง
แต่เมื่อคิดดูแล้ว เขาก็กุมหน้าผาก แล้วจึงมองฟู่อิน ก่อนจะเข้าใจได้ว่าสิ่งใดกันที่เป็ปัญหา
“อา โรงเรียนในเมือง” เขาเหลือบมองเฟิงซื่ออย่างลังเล กล่าวด้วยสีหน้าไม่สบายใจพลางมองเฟิงซื่อ “ได้ยินมาว่าท่านพ่อกับท่านพี่เองก็เคยหาวิธีส่งต้าหลางเข้าไปเรียนอยู่หลายวิธีแต่ไม่สำเร็จ ซานหลางไปได้จริงๆ หรือ”
เฟิงซื่อกลัวขึ้นมา หลินต้าเหอเคยได้ยินปู่หลินและต้าซานคุยกันเื่นี้อย่างนั้นหรือ? แต่นางกลับไม่เคยได้ยินเลย จนเผลอะโออกมา “มีเื่เช่นนั้นด้วยหรือ”
จากนั้นนางจึงหันไปมองหลินฟู่อินอย่างตื่นตะลึง “ฟู่อิน เ้าช่วยได้มากนัก!”
“นี่เป็เพียงเื่บังเอิญ ข้าจะไม่พูดอะไรมากกว่านั้นอีก” หลินฟู่อินโบกมืออย่างขัดใจเล็กน้อย “ต้าหลางรู้เื่นี้แล้ว แล้วเขาก็พูดเื่แปลกๆ กับข้าว่าซานหลางไม่มีค่าพอที่จะไปเรียนอ่านเขียนในเมือง เป็เขาต่างหากที่ควรจะได้ไป แต่ข้าปฏิเสธเขาไป เขาจึงบอกข้าอย่างโมโหว่าจะไปฟ้องท่านปู่ ข้าเลยกลัวว่าเดี๋ยวจะมีปัญหาอะไรตามมาเพิ่มอีก”
หลินฟู่อินรู้ดีว่าปู่หลินยึดติดกับหลินต้าหลางมากเพียงใด และเมื่อหลินซานหลางมีโอกาสได้ไปเรียนเช่นนี้ ปู่หลินต้องมาสร้างปัญหาอีกแน่
นางกลัวว่าหลินต้าหลางผู้โง่เขลาและเอาแต่ใจคนนั้นจะไปกล่อมปู่หลินให้มากดดันนาง เพื่อให้ส่งหลินต้าหลางไปเรียนแทนหลินซานหลาง ซึ่งถ้าเป็เช่นนั้นคงกลายเป็เื่ยุ่งยากแบบหาประโยชน์ไม่ได้แน่นอน
“เื่นี้… ข้ากลัวว่าท่านพ่อจะเข้ามายุ่งด้วยจริงๆ…” หลินต้าเหอได้ยินคำพูดของหลินฟู่อิน จึงกล่าวออกมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
แล้วฝ่ามือของเฟิงซื่อจึงฟาดเข้ากลางหลังของหลินต้าเหอ “พูดอะไรของเ้ากัน? โรงเรียนในเมืองนั่นประกาศรับซานหลางตามคำขอของฟู่อินแล้ว ท่านพ่อจะทำอะไรได้อีก?”
เฟิงซื่ออารมณ์เสียมาก เ้าขอนไม้นี่เป็เช่นนี้ตลอด แล้วน้ำเสียงที่ราวกับว่าหากท่านพ่อเข้ามาขวางจริงๆ เขาจะยอมแพ้ไปง่ายๆ นั่นมันอะไร?
ได้ยินน้ำเสียงท้อแท้ไร้ใจสู้ของหลินต้าเหอ เฟิงซื่อจึงผิดหวังมาก
ยิ่งนางคิดนางก็ยิ่งโกรธ นางมองหลินต้าเหอแล้วชี้หน้าด่าเขา “ทำไมเ้าถึงได้ขี้ขลาดขนาดนี้กัน? ตอนนี้ซานหลางเป็ลูกของพวกเราแล้ว เราก็ต้องพยายามเพื่อลูกมิใช่หรือ? หากท่านพ่อเข้ามาขวางแล้วเ้าจะยอมแพ้ไปเฉยๆ เช่นนั้นหรือ?”