น้ำเสียงของซูฉีฉีนั้นนิ่งเรียบสีหน้าเองก็ราบเรียบเช่นกัน วาจาการพูดของนางยิ่งมีมารยาท ไร้ข้อบกพร่องมิได้ถ่อมตนจนเกินไป แต่ก็มิได้วางตัวเย่อหยิ่ง นางเอ่ยขึ้นขณะที่สายตาไม่ได้แม้แต่จะหันไปมององค์ชายเก้า
“ซู่ซู่”ฮูหยินเฒ่านิ่งอึ้งไปเดิมนางกลัวว่าจะทำให้หลานสาวที่รักยิ่งของตนผู้นี้ต้องเสียใจ
อย่างที่รู้กันว่าแคว้นป่ายฮวานั้นเห็นผู้หญิงเป็ใหญ่ตลอดมานั้นมีแต่สตรี้าจะแต่งกับบุรุษ ไหนเลยจะได้รับการดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้
เซียวซู่ซู่หันไปสบตากับฮูหยินเฒ่ารอยยิ้มของนางก็ยิ่งเด่นชัดขึ้นก่อนที่จะส่ายศีรษะเบาๆ “ท่านยาย มิเป็ไรหรอก”
เซียวซู่ซู่ยืนอยู่กลางห้องโถงใหญ่นิ่งเช่นนั้น ท่าทางของนางดูเด็ดเดี่ยวและสูงส่งเสมือนดอกเหมยที่เบ่งบานท่ามกลางพายุหิมะอันหนาวเหน็บอย่างมิหวั่นเกรง ชุดกระโปรงสีขาวบริสุทธิ์แนบเข้ากับลำตัวอันผอมบางของนาง
องค์ชายเก้ามิได้หันหน้ากลับไปมองแต่เขาก็ได้ยินเสียงที่นิ่งเรียบของสตรีในน้ำเสียงมีความใสก้องกังวาลดุจนกขมิ้นแต่ในขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยอำนาจบารมี
ซู่ซู่...
ก็คือสาวน้อยที่ถูกกำหนดให้อภิเษกกับเขาเมื่อสิบห้าปีก่อน
แม้ว่าเขาจะพยายามบังคับตัวเองให้สงบนิ่งแต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะตัวเกร็งขึ้นด้วยความใจากข่าวที่ได้รับมา คุณหนูเล็กแห่งสกุลเซียวนั้นมีสติไม่สมประกอบอีกทั้งยังไม่เคยอ้าปากพูดจามาก่อน เช่นนั้นตอนนี้สตรีที่ยืนอยู่ด้านข้างตนคือผู้ใดกัน?
เมื่อเห็นสายตาที่แน่วแน่ของเซียวซู่ซู่และท่าทางเด็ดเดี่ยวของนางฮูหยินเฒ่าก็มิได้พูดอะไรต่ออีก นางรู้ว่านี่เป็เื่ของเซียวซู่ซู่นางตัดสินใจแทนมิได้ นั่นเป็สิ่งที่นางรู้ได้จากแววตาของเซียวซู่ซู่คู่นั้น
ฮูหยินเฒ่ามิได้ถอนหายใจในทางกลับกันนางกลับเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ เซียวซู่ซู่หลานสาวของนางมิได้ด้อยไปกว่านาง อีกทั้งยังดูเหมือนจะเหนือกว่านางเสียอีก
องค์ชายเก้ามองดูหยกสลักรูปหงส์ที่ยื่นมาเบื้องหน้าของตนพร้อมกับมือขาวเรียวยาวคู่นั้นเขาก็นิ่งเงียบไป มือของเขายังคงถือหยกสลักรูปัเอาไว้ในชั่วขณะนั้นเขากลับไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรต่อดี
แต่เซียวซู่ซู่ก็มิได้ให้เวลาเขาคิดมากนักนางวางหยกสลักรูปหงส์ไว้บนมือเขาพลางคว้าเอาหยกสลักรูปัของตนกลับมา “องค์ชายเก้า หม่อมฉันน้อมส่งพระองค์ อนาคตคงมิได้พบกันอีกแล้ว” จากนั้นนางก็หมุนตัวจากไป
หนานกงม่อซึ่งเป็องครักษ์ข้างกายองค์ชายเก้านั้นก็ได้แต่มองไปทางเซียวซู่ซู่ที่ได้หายลับไปจากสายตาแล้วอย่างตกตะลึง
เขาไม่อาจเชื่อได้ว่าสตรีผู้นั้นจะเป็หลานสาวคนเล็กของสกุลเซียวแม้ว่าเขาจะมิได้มองเห็นใบหน้าของนางชัดเท่าใดนักแต่ว่าท่วงท่าอันเปี่ยมด้วยบารมีของนางก็ได้สะกดไว้ในสมองของเขาแล้ว
ท่าทางสงบนิ่งไม่ว่าจะเผชิญกับสถานการณ์อะไรกับบารมีส่องสว่างดุจจันทร์คืนเพ็ญเช่นนั้นกระทั่งบุรุษยังยากที่จะเทียบได้ หรือแม้แต่ฮ่องเต้หญิงผู้สูงศักดิ์เหนือผู้คนของแคว้นป่ายฮวาก็เกรงว่ายังไม่อาจเทียบกับนางได้
หนานกงม่อมองดูเซียวซู่ซู่หายลับออกไปจากสายตาเช่นนั้นในใจกลับรู้สึกโศกเศร้าขึ้นมาเล็กน้อย เสมือนว่าพวกเขาได้พลาดสิ่งสำคัญบางอย่างไป
ผ่านไปเนิ่นนานสีหน้านิ่งค้างขององค์ชายเก้าถึงจะดีขึ้นจากนั้นเขาก็แสดงความเคารพออกมาอย่างถูกต้องตามยศศักดิ์ของตน “เช่นนั้นข้าก็ไม่รบกวนฮูหยินเฒ่าแล้ว”
คิดไม่ถึงว่า เขาต้องเดินออกจากประตูใหญ่ของจวนด้วยอารมณ์ที่ย่ำแย่ถึงเพียงนี้
เซียวซู่ซู่กระตุกยิ้มเย็นขณะถือหยกสลักรูปัเอาไว้ในมือนางกำลังคิดไม่ตกว่าจะถอนหมั้นครั้งนี้อย่างไรคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะเดินทางมาถอนหมั้นด้วยตัวเองถึงที่นี่
เช่นนี้ แม้ว่านางเซียวซู่ซู่จะกลายเป็ที่ครหาของผู้คนทั่วแผ่นดินแต่ก็ไม่ได้ถือว่าเป็การขัดราชโองการ สกุลเซียวเองก็จะไม่ต้องเดือดร้อนเพราะการนี้ด้วย
องค์ชายเก้าป๋ายหลี่ม่อและหนานกงม่อออกจากจวนสกุลเซียวพร้อมกันพลางเร่งรุดไปที่เรือนพักนอกราชวังของราชนิกุล
“เมื่อครู่เป็เซียวซู่ซู่ที่ปัญญาอ่อนผู้นั้นจริงหรือ?”องค์ชายเก้านั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้พลางเอ่ยถามออกมาอย่างคาดไม่ถึง
หนานกงม่อเหมือนจะกำลังคิดอะไรอยู่ในหัวของเขาเมื่อครู่เขาได้สังเกตเซียวซู่ซู่โดยละเอียดแล้ว ท่วงท่าเช่นนั้น รูปโฉมเช่นนั้นท่าทางการพูดจาของนางยังไงก็ไม่เหมือนข่าวลือที่บอกว่านางเป็สตรีอายุสิบห้าปีผู้มีสติปัญญาฟั่นเฟือง
หรือว่าข่าวลือจะผิดพลาด?
เช่นนั้น...
“จากที่ข้าคิดคนผู้นั้นไม่มีทางเป็เซียวซู่ซู่อย่างแน่นอน” หนานกงม่อกำลังนึกย้อนกลับไปถึงเมื่อยามที่พวกเขาได้สอบถามกับผู้คนในแคว้นป่ายฮวาไม่มีผู้ใดปฏิเสธว่าคุณหนูเล็กแห่งสกุลเซียวนั้นเป็คนสติไม่สมประกอบ
เพราะฉะนั้นข่าวคราวไม่น่าจะผิดพลาด
เมื่อได้ยินที่หนานกงม่อพูดมาแล้วองค์ชายเก้าก็กระตุกมุมปากขึ้นเช่นกัน “ใช่แล้ว เมื่อครู่ข้าคิดจริงๆว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าข้านั้นคือเซียวซู่ซู่ ถ้าหากว่านางมีท่วงท่าสูงสง่าเช่นนั้นต่อให้เป็คนปัญญาอ่อน ข้าก็จะแต่งนางเข้าวังอยู่ดี”
จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะอีกครั้ง “น่าเสียดาย คนปัญญาอ่อนไม่มีทางเป็เช่นนั้น”
หนานกงม่อพยักหน้า เขาเองก็เห็นด้วยกับคำพูดของป๋ายหลี่ม่อ “ก็จริง จะต้องเป็เพราะสกุลเซียวรู้สึกเสียหน้าจึงได้หาคนมาแทนเซียวซู่ซู่ไว้ก่อนแล้วเพื่อให้องค์ชายเก้าต้องรู้สึกอับอาย”
จากนั้นก็กำหมัดแน่น “ท่านก็น่าจะรู้เซียวมี่ผู้นั้นไม่ได้เป็จิ้งจอกชราธรรมดาทั่วไป นางสามารถคุมอำนาจทหารกว่าครึ่งของแคว้นป่ายฮวามาเป็เวลาหลายปีก็จะต้องมีฝีมือไม่น้อย”
ปีนั้นเชื้อพระวงศ์ของแคว้นอ้าวอวิ๋นถูกสกุลเซียวปฏิเสธการอภิเษกนั้นก็ถือเป็การตบเข้าที่หน้าด้านซ้ายแล้วภายหลังยังรับปากจะให้คนปัญญาอ่อนมาทำการอภิเษกด้วยอีก อย่างนี้ถือเป็การตบเข้าด้านซ้ายแล้วยังตบเข้าที่ด้านขวาต่ออีก
ครั้งนี้ป๋ายหลี่ม่อจะต้องนำความอัปยศทั้งหมดนั้นมอบคืนให้แก่สกุลเซียว และจะต้องตบหน้าของพวกเขาแรงๆสักครั้งหนึ่ง
“จริงด้วย”ป๋ายหลี่ม่อหรี่ดวงตาที่เรียวยาวดุจจิ้งจอกของตนเล็กน้อย “เ้าคิดว่าควรทำเช่นไรดี?”
ในเมื่อมาถึงแคว้นป่ายฮวาแล้วก็ไม่สมเหตุสมผลที่จะกลับไปมือเปล่าครั้งนี้พวกเขาจะต้องทำให้สกุลเซียวกลายเป็ที่ครหานินทาของคนทั้งแผ่นดิน
จะต้องเอาคืนกับเหตุการณ์เมื่อครู่ให้ได้
หนานกงม่อในนามแล้วเป็องครักษ์ข้างกายของป๋ายหลี่ม่อแต่ความเป็จริงแล้วพวกเขาเป็สหายที่ดีของกันและกัน
เพราะฉะนั้นลับหลังคนอื่นนั้นพวกเขามักจะเรียกขานกันดุจพี่น้องมิได้ยึดถือเื่ขนบธรรมเนียมเท่าใดนัก
“งานชมดอกฉยงฮวา”
หนานกงม่อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย “คนปัญญาอ่อนอย่างไรเสียก็ยังปัญญาอ่อนวันยังค่ำข้าไม่เชื่อหรอกว่าเมื่อถึงเวลานั้นแล้ว สกุลเซียวยังสามารถหาตัวแทนมาได้อีกครั้ง”
ป๋ายหลี่ม่อปรบมือพลางยิ้มออกมาอย่างมีความสุข “เช่นนั้นก็ว่าตามนี้แล้วกัน”
พูดเสร็จเขาก็ลุกขึ้นยืน “เช่นนั้นตอนนี้ข้าจะไปกราบทูลกับฮ่องเต้หญิงว่าขอให้พระองค์เชิญเซียวซู่ซู่ไปร่วมงานชมดอกฉยงฮวา”
เป็การลงมืออย่างเหี้ยมโหดจริงๆ
เมื่อราชโองการออกมาสกุลเซียวไหนเลยจะกล้าขัด ต่อให้เซียวซู่ซู่จะมีท่าทางปัญญาอ่อนดังเดิมก็ยังต้องไปร่วมงานอย่างไม่มีทางเลือก
เมื่อได้ยินว่าองค์ชายเก้าเดินทางมาถอนหมั้นคนทั้งหลายในสกุลเซียวก็ลือกันไปต่างๆ นาๆ
เซียวเหยียนและเซียวจู๋รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่งกับเื่นี้พร้อมกับพูดต่อว่าคนในราชวงศ์ของแคว้นอ้าวอวิ๋นว่ามีตาหามีแววไม่ไม่รู้จักมองเห็นคุณค่าของสิ่งดีๆ แน่นอนว่าเมื่อเป็เช่นนี้แล้วสกุลเซียวก็จำเป็ต้องแบ่งอำนาจให้กับเซียวซู่ซู่อีกด้วย
ตอนนี้อะไรก็ล้วนสายไปแล้ว นั่นล้วนแต่เป็คำพูดที่พวกนางใช้ปลอบใจตนเองเพราะพวกนางรู้ดีอยู่แล้วว่าเซียวซู่ซู่ช้าเร็วก็ต้องแต่งออกจากสกุลเซียวไป
เพียงแต่ว่าความหวังเพียงน้อยนิดนั้นก็ได้พังทลายไปแล้ว
ในทางกลับกันผู้ชายสามพี่น้องสกุลเซียวนั้นก็ได้ตั้งความคาดหวังไว้ในตัวของเซียวซู่ซู่
เมื่อเป็อย่างนี้ ผู้ที่จะคุมกิจการของสกุลเซียวในอนาคตเกรงว่าจะต้องเป็เซียวซู่ซู่แน่แล้ว เพราะถึงอย่างไรนางก็เป็สาวอายุน้อยทุกอย่างย่อมเป็ไปได้
ตอนนี้สิ่งที่ราชสำนักของแคว้นป่ายฮวาขาดก็คือคนมีความสามารถถ้าหากว่าเซียวซู่ซู่นั้นมีคุณสมบัติเหมาะสม อนาคตของนางจะต้องสดใสแน่นอน
เพราะว่าเซียวซู่ซู่เพิ่งฟื้นได้ไม่นานนักฮูหยินเฒ่าจึงไม่ได้กดดันนางแม้แต่น้อยต่อให้คิดอยากจะฝากความหวังทั้งหมดไว้กับนาง ก็จะต้องค่อยๆ ทำทีละก้าว ไม่สามารถบีบบังคับให้ได้โดยทันที
วันเวลาค่อยๆ ผ่านไป เซียวซู่ซู่ก็ได้ฟื้นขึ้นมาเป็เวลาหนึ่งเดือนกว่าแล้วการถอนหมั้นนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกนางแม้แต่น้อย ในทางกลับกันนางดูมีชีวิตชีวามากขึ้นเรื่อยๆ รอยยิ้มก็ค่อยๆ มีมากขึ้น
กับคนในสกุลเซียวนั้นก็ยิ่งถือว่าเป็น้ำหนึ่งเดียวกันทั้งหมดล้วนเป็เพราะนางไม่วางอำนาจ ไม่เ้าอารมณ์แม้ว่าจะมีนิสัยเ็าอยู่บ้างแต่ก็ทำให้นางเป็ที่เคารพนับถือของคนในจวน
ชาตินี้ซูฉีฉีจะต้องมีชีวิตที่สุขสำราญยิ่งกว่าผู้ใดบนโลกนี้
เพียงแต่ว่าขณะที่คนสกุลเซียวคิดว่าเื่ทุกอย่างได้ผ่านพ้นไปแล้วนั้นก็มีราชโองการฉบับหนึ่งทำลายความสงบทั้งหมดไปจนสิ้น
ฮูหยินเฒ่า เซียวเหยียนเซียวจู๋และบุรุษสามพี่น้องของสกุลเซียวนั้นก็ได้มารวมตัวกัน
“ฮ่องเต้หญิงได้รับสั่งให้ซู่ซู่ต้องไปเข้าร่วมงานชมดอกฉยงฮวาที่หนึ่งปีจะมีครั้งนี่มิใช่เป็การหาเื่ให้สกุลเซียวเป็ที่จับตามองของผู้คนหรอกหรือ?” เซียวเหยียนรู้สึกโมโหพลางเอ่ยออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
เซียวจู๋ที่อยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าคล้ำขึ้นเช่นกัน “แม้ว่าซู่ซู่ตอนนี้จะฟื้นแล้ว อีกทั้งโฉมหน้าของนางยังงดงามกว่าน้องสามในตอนนั้นอยู่มากนักทว่างานชมดอกฉยงฮวานั้นล้วนแข่งกันที่ความสามารถตอนนี้มีเวลาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ซู่ซู่จะสามารถเรียนรู้อะไรได้? สำนวนกาพย์กลอน หรือว่าพิณหมากภาพอักษร? อย่างน้อยเป็อย่างหนึ่งก็ยังดี” ฮูหยินเฒ่าในตอนนี้ก็มีสีหน้าหนักใจเช่นกัน
หลายวันมานี้เพราะเื่ในราชสำนักทำให้นางมิได้ไปหาเซียวซู่ซู่เหมือนเช่นวันก่อนๆแม้ว่าทุกครั้งที่พูดคุยกันถึงเื่การเล่นพิณ การเดินหมากการเขียนผู่กันหรือการวาดภาพนั้น เซียวซู่ซู่มักจะแสดงท่าทางชื่นชอบออกมา อีกทั้งยังตอบกลับตนได้เสมอ
แต่ว่าถ้าหากเทียบกับชายหญิงผู้มากด้วยปัญญาของทั้งสามแคว้นที่งานชมดอกฉยงฮวาแล้วเกรงว่าจะกลายเป็ตัวตลกให้พวกเขาต้องล้อเลียนกันเป็แน่