เมื่อได้ยินชื่อของเฉิงชิง ราชบัณฑิตเฉิงก็ส่งเสียงฮึ่มอย่างแ่เบา
“ใต้เท้าราชบัณฑิต เหล่าบัณฑิตมากมายด้านนอกประตูต่างถือว่าการได้พบหน้าใต้เท้าสักครั้งก็นับว่าเป็เกียรติแล้ว เมื่อเทียบกับเงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินจำนวนเล็กน้อยนั่นแล้ว การมีโอกาสที่จะได้รับคำชี้แนะจากใต้เท้าย่อมล้ำค่ากว่า เฉิงชิงแก้ปัญหาสามสิบข้ออย่างยากลำบาก ใต้เท้า หากท่านไม่เห็น…”
ค่ำคืนนี้เมิ่งไหวจิ่นกล่าวไม่มากนัก ก่อนที่เขาจะได้วุฒิจวี่เหรินเดิมทีก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะนั่งอยู่ในโถงรับรองกลางสวนดอกไม้
หากเมื่อสอบผ่านได้วุฒิจวี่เหรินแล้วอีกทั้งได้เป็เจี้ยหยวนของมณฑล สถานะของเมิ่งไหวจิ่นก็ไม่เหมือนเดิมอย่างสิ้นเชิง หากไม่ใช่ว่าต้องไว้ทุกข์กะทันหัน เดิมทีเมิ่งไหวจิ่นก็ควรที่จะเข้าร่วมการสอบเข้ารับราชการระดับเมืองหลวงครั้งที่แล้ว และก็คงจะสอบผ่านได้วุฒิจิ้นซื่อไปนานแล้ว
เขาเป็ขุนนางสำรองของแคว้นเว่ยแล้ว อีกทั้งเป็เจี้ยหยวนของมณฑลตนเอง เมื่ออยู่ต่อหน้าราชบัณฑิตเสิ่นย่อมมีสถานะสูงกว่านายท่านห้าเฉิง
ราชบัณฑิตเสิ่นให้ความสำคัญแก่เขาเป็อันมาก
เมิ่งไหวจิ่นกล่าวเพื่อเฉิงชิงเช่นนี้ ราชบัณฑิตเสิ่นก็ไม่อาจทำสีหน้าเ็าต่อแล้ว
“ศิษย์พี่อย่างเ้าทำหน้าที่ได้สมกับที่ได้รับมอบหมายนัก กลัวว่าข้าจะละเลยศิษย์น้องที่สถานศึกษาของเ้าหรือ”
“ข้าเพียงคิดเพื่อท่านมากกว่าขอรับ”
คนเกิดมาหน้าตาดีทั้งยังมีความสามารถ กล่าวอะไรไปก็ดูจริงใจเป็พิเศษ แม้ราชบัณฑิตเสิ่นจะรู้ว่าเมิ่งไหวจิ่นช่วยเฉิงชิงอยู่ แต่เพียงมองใบหน้าของเมิ่งไหวจิ่น เขาก็พร้อมที่จะเชื่ออีกฝ่ายแล้ว
“เ้านี่นะ… ให้เฉิงชิงเข้ามาเถอะ พวกเราเองก็อยากเห็นผู้มีความสามารถตัวน้อยในค่ำคืนนี้”
ราชบัณฑิตเสิ่นกล่าวว่า ‘ผู้มีความสามารถตัวน้อย’ เป็การหยอกล้อ แต่พอเฉิงชิงเดินเข้ามายังโถงรับรองกลางสวนดอกไม้ทุกคนก็พบว่าเฉิงชิงตัวเล็กมากจริงๆ
ร่างกายที่บอบบางนั้น จะเรียกว่าหนุ่มน้อยก็ยังรู้สึกลังเล
“เฉิงชิงคารวะใต้เท้าทุกท่าน!”
กิริยาไม่ต่ำต้อยไม่สูงส่ง ไม่ทำให้ตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋เสียหน้า
เฉิงชิงมองสำรวจโถงรับรองกลางสวนดอกไม้เสร็จเรียบร้อยอย่างรวดเร็วแล้ว นายท่านห้าเฉิงและเมิ่งไหวจิ่นคือผู้ที่นางรู้จัก เ้าสถานศึกษาเฉิงแม้จะไม่รู้จักนาง แต่นางเคยเห็นอยู่ไกลๆ ในสถานศึกษา ชายวัยกลางคนที่มีความคล้ายคลึงกับอวี๋ซานก็คงจะเป็เ้าเมืองอวี๋… ที่เหลืออีกสองคน ผู้หนึ่งมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า อีกผู้หนึ่งสีหน้าเคร่งขรึม คนไหนคือราชบัณฑิตเสิ่นกัน?
ในยามสำคัญยังคงเป็เมิ่งไหวจิ่นที่บอกใบ้ทางสายตาแก่นาง เฉิงชิงจึงประสานมือก้มหัวคารวะต่ำๆ อีกครั้ง
“ศิษย์คารวะราชบัณฑิตเสิ่น”
ราชบัณฑิตเสิ่นสีหน้าเคร่งขรึม “เฉิงชิง ได้ยินว่าเ้าแก้ปัญหาได้มากมาย เ้าอายุยังน้อย เหตุใดจึงคิดที่จะชำนาญหนทางด้านการคำนวณเล่า?”
เก่งคณิตศาสตร์แล้วผิดด้วยหรือ?
การเรียนคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์และเคมีได้อย่างชำนาญ จะไปที่ใดใต้ผืนนภานี้ก็ไม่ต้องหวั่น คำพูดนี้เหมือนเป็การล้างสมองอย่างหนึ่ง เป็สิ่งที่คนรุ่นเฉิงชิงได้ยินั้แ่เล็กจนโต ตอนนางยังเรียนหนังสือก็เข้าร่วมการแข่งมากมาย การได้รับถ้วยรางวัลแต่ละถ้วยก็ถือเป็พื้นฐานที่ถูกปลูกฝังมาเพื่อการต่อสู้ชิงเป็ผู้สืบทอดในภายหลัง แน่นอนว่ามีเงินระดับบ้านนางย่อมสามารถซื้อประกาศนียบัตรเหรียญทองพวกนั้นได้ แต่การสอบโดยที่พึ่งความสามารถของตนเองจะยิ่งถูกคนในครอบครัวให้ความสำคัญมากกว่า… เก่งคณิตศาสตร์ ในหลายครั้งก็เหมือนหัวสมองบรรลุ เมื่อไม่นานมานี้ก็คือด้านที่นางภาคภูมิใจ แต่หลังจากทะลุมิติมา เก่งคณิตศาสตร์กลับถูกคนตั้งข้อสงสัย
เฉิงชิงหดหู่ใจเป็อย่างมาก
หากสามารถเลือกได้ นางก็ไม่ได้อยากอยู่ที่แคว้นเว่ย ที่นี่ทำลายความพยายามยี่สิบกว่าปีของนาง ต้องมาเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ทั้งยังมีมาตรฐานการวิจารณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!
“เรียนท่านปรมาจารย์ ยามเล็กศิษย์นั้นดื้อรั้น บิดากล่าวว่าข้าอยู่ไม่นิ่ง ยากที่จะศึกษาคุณธรรมของนักปราชญ์ จึงใช้การคำนวณขัดเกลาจิตใจของศิษย์ขอรับ”
ไม่รู้ว่าทำไม เฉิงชิงมีลางสังหรณ์ว่าราชบัณฑิตเสิ่นผู้นี่ดูเหมือนว่าจะไม่ชอบนาง
คำถามของราชบัณฑิตเสิ่นอาจจะเป็กับดัก นางจึงต้องตอบกลับอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ถูกคนจับจุดอ่อนได้
ถึงอย่างไรไม่ว่านางจะศึกษาอะไร ต่างก็เพื่อขัดเกลาจิตใจเพื่อเป็รากฐานสำหรับคุณธรรมของนักปราชญ์ นี่ย่อมเป็คำตอบที่ได้มาตรฐาน!
ราชบัณฑิตเสิ่นไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร ทั้งยังทดสอบเฉิงชิง ณ ตรงนั้นอีกรอบ
เฉิงชิงย่อมไม่เข้าใจสี่ตำราห้าคัมภีร์ทั้งหมด ถ้านางมีความสามารถมากขนาดนั้น สอบครั้งก่อนก็คงไม่ได้เพียงอันดับที่เก้าสิบเจ็ดของห้องติงแล้ว
แต่นางก็ท่องตำราแล้ว คำถามที่ราชบัณฑิตเสิ่นทดสอบนางโดยพื้นฐานแล้วก็สามารถตอบได้ทั้งหมดตามกรอบธรรมเนียมของสังคม ราชบัณฑิตเสิ่นจับจุดอ่อนไม่ได้ หลังจากทดสอบแล้วสีหน้าของราชบัณฑิตเสิ่นก็อ่อนโยนขึ้นอย่างมาก
“พื้นฐานยังพอใช้ได้ หลักอภิปรายของตำรายังคงต้องทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งมากขึ้น”
“ศิษย์จะน้อมนำคำชี้แนะของท่านปรมาจารย์ไปปฏิบัติตามขอรับ”
พอเห็นเฉิงชิงเป็เด็กฉลาดเชื่อฟังคำสั่งสอน เ้าเมืองอวี๋ก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “อย่าได้เคร่งครัดไปเลย ยังเป็เพียงหนุ่มน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ขอเพียงไม่รบกวนการสอบเข้ารับราชการ เก่งคำนวณก็ถือเป็ข้อดีนะ!”
ทุกคนต่างช่วยกันกล่าววาจาน่าฟัง เฉิงชิงเป็บุตรหลานตระกูลเฉิง นายอำเภอหลี่เองก็ช่วยกล่าวให้เฉิงชิง สุดท้ายแล้วสีหน้าของราชบัณฑิตเสิ่นก็ผ่อนคลายลง พยักหน้าให้เฉิงชิง
“เ้าไม่เลวเลยจริงๆ หลังจากนี้อย่าถูกการร่ำเรียนด้านอื่นแบ่งความสนใจไป ปีหน้าจะมีสอบระดับสำนักศึกษาแล้ว เ้าสามารถลองไปสอบดูได้!”
หากสอบระดับสำนักศึกษาผ่านก็จะได้เป็บัณฑิตซิ่วไฉ
ราชบัณฑิตของมณฑลนี้กล่าวว่านางสามารถไปสอบเป็ซิ่วไฉได้แล้วในปีหน้า เฉิงชิงรู้สึกว่าตนเองมีความหวังล้นปรี่
บนใบหน้าของนายท่านห้าเฉิงมีรอยยิ้ม เมิ่งไหวจิ่นเองก็พยักหน้าเบาๆ ให้นางด้วย
เฉิงชิงคุ้นเคยกับสถานการณ์ใหญ่เช่นนี้ คนเหล่านี้เพียงต้องโยนทิ้งอคติในการพบกันครั้งแรกออกไป ก็จะเห็นว่านางรับมือสถานการณ์ได้อย่างเฉลียวฉลาดและง่ายดาย วาจาและท่าทางมีมารยาทล้วนเป็ไปตามธรรมชาติ แล้วจะทำให้ผู้คนรู้สึกรังเกียจได้อย่างไร?
เฉิงชิงรูปลักษณ์ไม่น่ามองทั้งยังเป็บุตรชายของเฉิงจือหย่วน… แต่เมื่อพูดคุยแล้วก็สามารถมองข้ามสองข้อนี้ไปได้อย่างง่ายดาย
เ้าเมืองอวี๋ให้คำวิจารณ์แก่นางว่า ‘ยอดเยี่ยมจากภายใน’ นายอำเภอหลี่อิจฉานัก ตระกูลเฉิงแห่งหนานอี๋มีบุตรหลานที่ยอดเยี่ยมมากมายเสียจริง เฉิงชิงวัยสิบสามปีก็แสดงออกมาเช่นนี้แล้ว ตระกูลเฉิงไหนเลยจะต้องกังวลว่าจะไม่รุ่งเรือง!
ยามบ่าวหญิงมารายงานอีกครั้งว่ามีผู้ที่สามารถแก้ปัญหาสามสิบข้อได้เป็คนที่สอง ไม่ว่าจะเป็ราชบัณฑิตเสิ่นหรือนายอำเภอหลี่ก็ล้วนไม่สนใจขนาดนั้นแล้ว ตำแหน่งของอันดับสองย่อมแตกต่างกับอันดับหนึ่ง พวกเขาได้พบกับเฉิงชิงผู้ที่อยู่ระดับต่ำกว่าจวี่เหรินและมีทักษะเฉพาะหน้ามากที่สุดในค่ำคืนนี้แล้ว ที่เหลือก็เป็แค่ผู้ที่เดินผ่านให้มองๆ ดูเท่านั้น
นายอำเภอหลี่เอ่ยโดยไม่คิดอะไร “ยังคงเป็บุตรหลานตระกูลเฉิงหรือ?”
เฉิงชิงยิ้มพลางตอบ “เรียนใต้เท้า เป็ญาติผู้พี่ของเฉิงชิงขอรับ”
นายอำเภอหลี่ยังพอมีความประทับใจกับเฉิงกุย “ผู้ที่ปีที่แล้วสอบได้วุฒิซิ่วไฉสินะ พวกเ้าช่างสมกับเป็ลูกพี่ลูกน้องบ้านเดียวกัน!”
บ้านเดียวกัน แต่ความสัมพันธ์ย่ำแย่
เื่ที่เฉิงชิงเชิญดวงิญญากลับบ้านเกิดแล้วถูกบ้านรองปฏิเสธเป็ที่รู้กันไปทั่วทั้งอำเภอหนานอี๋ นายอำเภอหลี่ย่อมต้องเคยได้ยิน
คดีของเฉิงจือหย่วนจะถูกตัดสินอย่างไรนั้นให้ละไว้ก่อน แต่เ้าหนุ่มเฉิงชิงคนนี้ไม่เลวเลยจริงๆ หากถูกพัวพันไปด้วยก็น่าเสียดาย
วิธีการของบ้านรองตระกูลเฉิงแม้จะยึดถือไว้ซึ่งคุณธรรม แต่ก็ไม่เข้าใกล้ถึงคำว่าไมตรี นายอำเภอหลี่จึงปฏิบัติต่อเฉิงกุยอย่างค่อนข้างจืดจาง
เฉิงกุยไม่รู้ข้อนี้ จึงคิดไปว่าเฉิงชิงกล่าวอะไรไม่ดีเกี่ยวกับเขา กำปั้นที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อลอบกำแน่น ราชบัณฑิตเสิ่นก็ทดสอบเขาด้วย เฉิงกุยตอบได้ไม่ด้อยกว่าเฉิงชิง แต่ก็ไม่ได้อยู่ภายในในโถงรับรองกลางสวนดอกไม้นาน นายท่านห้าเฉิงลูบเคราแพะแล้วกล่าว
“พระจันทร์ด้านนอกงดงามยิ่งนัก เด็กหนุ่มอย่างพวกเ้าควรจะไปชมจันทร์สานมิตรภาพ”
นายอำเภอหลี่หัวเราะพลางเอ่ย “ไหวจิ่นก็เพิ่งจะถึงวัยสวมกวาน ไปชมจันทร์ด้วยกันเถิด ไม่ต้องเสียเวลาอยู่เป็เพื่อนตาแก่อย่างพวกเราหรอก”
ถึงวัยสวมกวาน?
ที่แท้ศิษย์พี่เมิ่งเพิ่งอายุครบยี่สิบปี
ยังหนุ่มจริงๆ อายุน้อยกว่าที่นางเคยคาดไว้บ้างเล็กน้อย
เฉิงชิงนึกว่าเมิ่งไหวจิ่นอายุยี่สิบกว่าปีแล้ว เพราะบนตัวของเมิ่งไหวจิ่นมีความสงบที่ชวนให้ผู้คนรู้สึกสบายใจจนทำให้นางเข้าใจผิด
เมิ่งไหวจิ่นรับความปรารถนาดีนี้อย่างรวดเร็ว ทำตามคำแนะนำของนายอำเภอหลี่ พาเฉิงกุยและเฉิงชิงออกจากโถงรับรองกลางสวนดอกไม้ พวกอวี๋ซานรออยู่ภายในลาน เมื่อเห็นเฉิงกุยออกมาอย่างรวดเร็วเช่นนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจ เฉิงกุยพยักหน้าเบาๆ
“ราชบัณฑิตเสิ่นทดสอบเช่นเดิมหนึ่งรอบ”
ทดสอบเช่นเดิม
นี่ไม่ควรจะถือว่าเป็การแสดงความสามารถไหม!
แก้ปัญหาสามสิบข้ออย่างยากลำบาก เวลาที่ได้อยู่ในโถงรับรองกลางสวนดอกไม้ก็แค่ครึ่งถ้วยชา[1] ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย!
เฉิงชิงได้อยู่ในโถงรับรองกลางสวนดอกไม้นานขนาดนั้น แอบขัดขาเฉิงกุยแล้วใช่หรือไม่?
ถึงแม้แววตาของอวี๋ซานจะโเี้ ทว่าเฉิงชิงกลับนิ่งเฉย
ทำไม นางแค่ทำตัวให้ผู้อื่นชื่นชอบมากขึ้น อย่าบอกนะว่านี่ก็ถือเป็ความผิดด้วย?
[1] ครึ่งถ้วยชา คือการนับเวลาแบบจีนโบราณ เท่ากับห้านาทีโดยประมาณ
