วันที่ 9 สิงหาคม เป็วันคล้ายวันเกิดครบรอบ 70 ปีของคุณตากู่
ทั้งกู่ซิ่วและสวี่เยว่ต่างก็ไม่ได้บอกสวี่ฮุ่ยว่าคุณตากู่เรียกเธอให้ไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของท่าน
เพราะฉะนั้นสวี่ฮุ่ยจึงไม่รู้เื่นี้ แต่ถึงรู้เธอก็คงไม่ไปอยู่ดี
ั้แ่เด็ก ไม่ว่าจะเป็เทศกาลตรุษจีนหรือวันเกิดของคุณตาคุณยาย กู่ซิ่วก็ไม่เคยพาเธอไปบ้านสกุลกู่สักครั้ง แม้แต่คุณตาคุณยายก็ไม่เคยเรียกเธอไปบ้านสกุลกู่เช่นกัน
แต่ก่อนบ้านสกุลกู่ไม่อยากให้เธอไป ตอนนี้กลับเป็เธอที่ไม่อยากไปบ้านสกุลกู่เอง
สวี่ฮุ่ยยังไม่ทันได้กินข้าวเช้า ก็ออกไปขายปลาไหลแล้ว
กู่ซิ่วอ้างว่าจะไปฉลองวันเกิดให้พ่อ จึงไม่ได้ไปทำงาน เตรียมตัวออกจากบ้านตอนสิบโมงเช้า พาสวี่เยว่ไปบ้านเดิม
ความจริงคือเธอกลัวไปเร็วเกินแล้วจะโดนด่า
แน่นอนว่าตอนสิบโมงเช้าที่บ้านต้องมีแขกมากันแล้ว
พวกเธอแม่ลูกค่อยไปตอนนั้น คุณตากู่เป็คนรักภาพลักษณ์และศักดิ์ศรี คงไม่ด่าพวกเธอต่อหน้าแเื่ และคงไม่ไล่พวกเธอกลับไปอีกด้วย
ถึงแม้ว่าคุณตากู่จะพูดปาว ๆ ว่าไม่ให้สวี่เยว่เหยียบย่างเข้าบ้านสกุลกู่อีก แต่กู่ซิ่วไม่มีทางยอมให้สวี่เยว่ตัดขาดกับบ้านเดิมของเธอเด็ดขาด
ฐานะทางบ้านสกุลกู่เหนือกว่าบ้านสกุลสวี่หลายเท่า
หากตัดขาดกับบ้านสกุลกู่ แล้วลูกสาวคนเล็กยังสอบไม่ติดมหาลัยอีก อนาคตจะหาสามีที่ดีได้อย่างไร?
จะให้มีสามีเป็แค่กรรมกรไม่ก็ชาวนาเหรอ?
มีเพียงการพึ่งพาบ้านสกุลกู่เท่านั้น ลูกสาวคนเล็กถึงจะหาสามีที่เป็ครูได้ อย่างน้อยก็ยังดูมีหน้ามีตา
พ่อไม่ยอมรับสวี่เยว่ งั้นก็ซื้อของขวัญแพง ๆ ไปเยี่ยมท่านบ่อย ๆ ไม่เชื่อหรอกว่าความจริงใจจะเอาชนะใจพ่อไม่ได้
สวี่ฮุ่ยออกจากบ้านแต่เช้า หลังจากขายปลาไหลเสร็จ กินข้าวเช้าที่ตัวอำเภอก็นั่งรถกลับบ้าน ตอนนั้นเพิ่งจะเก้าโมงเช้ากว่า ๆ กู่ซิ่วและสวี่เยว่ยังไม่ออกจากบ้าน
สวี่ฮุ่ยไม่ได้สนใจพวกเขา เธอไปหยิบหนังสือแพทย์เล่มหนึ่งในห้องของตัวเอง กำลังจะไปที่ห้องรับรอง
เด็กผู้หญิงที่แต่งตัวเหมือนจะมาจากในเมืองคนหนึ่งยืนขวางหน้าบ้านสกุลสวี่แล้วะโด่า “สวี่ฮุ่ย นังจิ้งจอกเ้าเล่ห์ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”
“กล้าอ่อยพี่เขยฉันแล้วไม่กล้าออกมาเจอฉันเหรอ!”
กู่ซิ่วและสวี่เยว่ได้ยินแบบนั้นก็เหมือนโดนฉีดยาชูกำลัง ตื่นเต้นจนหน้าแดงก่ำ
กู่ซิ่วรีบวิ่งออกจากบ้านไปก่อนสวี่ฮุ่ย แสร้งทำเป็โกรธแล้วเด็กผู้หญิงสาวคนนั้นว่า “เธอเป็ใคร อ้าปากก็ด่าฉอด ๆ ! พี่เขยเธอเป็ใคร?”
เด็กผู้หญิงจากในเมืองพูดอย่างดุดัน “ฉันชื่อหลูเจียหง ส่วนลู่ฉี่เสียนคือพี่เขยฉัน!”
กู่ซิ่วดีใจสุดขีด ลู่ฉี่เสียนแต่งงานแล้วเหรอ?
ถ้าใช้เื่นี้ทำให้ยัยเด็กเวรเสียชื่อได้คงจะดี เธอทนเห็นเพื่อนบ้านทำดีกับสวี่ฮุ่ยไม่ได้สักวันเดียว
ตอนนั้นสวี่ฮุ่ยก็เดินออกมา กู่ซิ่วหันไปด่าทันที “แกนี่มันหน้าด้านจริง ๆ ไปอ่อยผู้ชายที่มีเมียแล้วได้ยังไง!”
สวี่ฮุ่ยมองด้วยสายตาเ็า ตอบอย่างหนักแน่น “หนูเปล่านะ!”
“แม่ก็เชื่อทุกอย่างที่คนอื่นพูด แม่อดไม่ไหวที่จะให้ร้ายหนูอยู่แล้วนี่?”
เพื่อนบ้านหลายคนมามุงดูกันสักพักแล้ว พอได้ยินคำพูดของสวี่ฮุ่ย ทุกคนก็เริ่มซุบซิบนินทากู่ซิ่ว
มีสองสามประโยคลอยเข้าหูกู่ซิ่ว
“แม่แบบไหนกันเนี่ย อยากให้ลูกสาวตัวเองเสียชื่อเสียง!”
“นั่นเป็วิธีที่ปฏิบัติต่อลูกสาวคนโต ถ้าเป็ลูกสาวคนเล็ก ลองดูสิว่ากู่ซิ่วจะทำแบบนี้ไหม”
“ใครกล้าพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับสวี่เยว่แม้แต่คำเดียว กู่ซิ่วคงจะเอาเื่ให้สุดชีวิตกับคน ๆ นั้นแน่ เชื่อไหมล่ะ!”
กู่ซิ่วรู้สึกอับอายเล็กน้อยที่โดนเพื่อนบ้านนินทา พูดอะไรไม่ออก แต่ก็ต้องกัดฟันพูดต่อ “ถ้าแกไม่ได้สร้างเื่อ่อยพี่เขยคนอื่น แล้วเขาจะมาดักรอด่าแกถึงหน้าบ้านแต่เช้าตรู่ทำไม?”
หลูเจียหงชี้นิ้วใส่สวี่ฮุ่ยแล้วฟ้องกู่ซิ่ว “เธอยังเคยไปค้างคืนที่บ้านพี่เขยฉันด้วย!”
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ส่งเสียงฮือฮา
เพื่อนบ้านไม่รู้ว่าจะมองสวี่ฮุ่ยด้วยสายตาแบบไหน
เด็กสาวที่ชื่อหลูเจียหงพูดจาเป็ตุเป็ตะ เหมือนไม่ได้โกหก
แต่สวี่ฮุ่ยไม่เหมือนผู้หญิงไร้ศีลธรรมแบบนั้น เื่นี้มันยังไงกันแน่?
กู่ซิ่วเงื้อมมือไปตบหน้าสวี่ฮุ่ย “จะตีให้ตายเลยนังเด็กไร้ยางอาย กล้าดียังไงถึงไปค้างคืนที่บ้านคนอื่น!”
สวี่ฮุ่ยคว้าข้อมือของเธอไว้แล้วสะบัดออกไป ถามหลูเจียหงด้วยสายตาเ็า “พี่ลู่เป็พี่เขยเธอ? ฉันจะโทรไปถามคุณย่าลู่เดี๋ยวนี้แหละ!”
“แล้วก็จริงอยู่ที่ฉันเคยค้างคืนที่บ้านพี่ลู่ แต่คืนนั้นเขาเข้ากะกลางคืน ส่วนฉันต้องร่วมมือกับตำรวจเพื่อทำคดี กลับบ้านไม่ได้ จึงได้พักค้างคืนที่บ้านพี่ลู่หนึ่งคืน”
“เธอเอาเื่นี้มาใส่ร้ายฉันกับพี่ลู่ ฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่!”
พูดจบก็หันหลังกลับเข้าบ้านไปโทรศัพท์
กู่ซิ่วเห็นหลูเจียหงมีท่าทีร้อนรน ก็รู้ว่าหล่อนใส่ร้ายสวี่ฮุ่ย
กู่ซิ่วรีบขวางสวี่ฮุ่ยแล้วด่าว่า “แกไม่รู้สึกอับอายบ้างเหรอ? ยังจะไปฟ้องคุณนายลู่อีก!”
สวี่ฮุ่ยจ้องมองกู่ซิ่ว “ทำไมแม่ถึงไม่กล้าให้หนูโทรหาคุณย่าลู่เพื่อสอบถามความจริงล่ะ? แม่กลัวอะไร?”
สวี่เยว่พูดเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงแ่เบา “พี่ อย่าโวยวายเลย เมื่อวานวันเกิดพี่ ไม่ใช่ว่าได้รับของแทนใจเป็...กำไลเงินจากพี่ลู่เหรอ?”
“พี่เป็เมียน้อยแล้วยังไปโวยวายใส่คุณย่าลู่ พี่...ไว้หน้าตัวเองบ้างเถอะ”
สวี่ฮุ่ยหัวเราะเยาะ “เธอให้ฉันไว้หน้าตัวเองเหรอ?”
“เห็นได้ชัดว่าที่เธอพูดเมื่อกี้ก็เพื่อให้ฉันแก้ตัวอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้นต่างหาก! ฉันจะไว้หน้าตัวเองได้ยังไง?”
“ยัยดอกบัวขาว เล่นละครเก่งนักนะ!”
“พวกเธออยากให้ฉันเสียชื่อเสียง ฉันก็ยิ่งต้องอธิบายความจริง!”
เธอผลักกู่ซิ่วที่ขวางเธออยู่แล้วก้าวยาว ๆ เข้าไปในบ้าน
สวี่ฮุ่ยไม่ได้ผลักแรงนัก แต่กู่ซิ่วกลับล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง
สวี่เยว่รีบไปพยุงกู่ซิ่วแล้วต่อว่าสวี่ฮุ่ยอย่างโกรธเคือง “พี่! ทำไมพี่ถึงผลักแม่ล่ะ?”
สวี่ฮุ่ยเยาะเย้ย “ใครจะมองไม่ออกว่าเธอกับแม่ร่วมมือกันเล่นละครตบตาอยู่!” พอเข้าไปในห้องนั่งเล่นก็โทรหาคุณย่าลู่ทันที
เธอจงใจพูดเสียงดัง เพื่อให้เพื่อนบ้านที่ยืนมุงดูอยู่หน้าประตูได้ยินว่าเธอพูดอะไร
หลูเจียหงเห็นว่าสวี่ฮุ่ยมีเบอร์โทรศัพท์บ้านคุณนายลู่ แถมยังโทรไปหาคุณนายลู่จริง ๆ
แล้วในสายยังขอให้คุณนายลู่รีบมาช่วยกู้ชื่อเสียงให้อีก เธอก็ร้อนรน หันหลังจะวิ่งหนีไปทันที
เพื่อนบ้านหลายคนช่วยกันปิดล้อมเธอไว้ในบ้านพักพนักงาน
มีคนพูดประชดประชันลอย ๆ ขึ้นมา “อะไรน่ะ ใส่ร้ายคนอื่นแล้วคิดจะหนีเหรอ? บนโลกนี้ไม่มีเื่ดี ๆ แบบนั้นหรอก!”
หลูเจียหงเหมือนสัตว์ร้ายที่ติดกับ ใจนหน้าซีดเผือด ลูกตากลิ้งกลอกไปมาเพื่อหาทางหนี
กู่ซิ่วและสวี่เยว่เห็นท่าไม่ดี คิดจะหนีไปด้วย
สวี่ฮุ่ยโทรศัพท์เสร็จแล้ว เธอขวางกู่ซิ่วกับสวี่เยว่ไว้ “พวกแม่อย่าเพิ่งรีบไป รอให้เื่นี้กระจ่างก่อนค่อยไป”
กู่ซิ่วพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ฉันกับน้องแกจะรีบไปตัวอำเภอเพื่อฉลองวันเกิดครบรอบ 70 ปีของคุณตา แกหลบไปซะ!”
พูดจบก็จะพาสวี่เยว่เดินเลี่ยงสวี่ฮุ่ยไป
สวี่ฮุ่ยเดินไปด้านข้างสองก้าว ไม่ให้พวกเธอผ่าน
“หนูไม่หลบ! หนูไม่ยอมให้พวกแม่มาด่า และก็ไม่ยอมให้สวี่เยว่มาใส่ร้ายหนูเฉย ๆ หรอกนะ!”
กู่ซิ่วพยายามพาสวี่เยว่เดินฝ่าวงล้อม แต่สวี่ฮุ่ยทำงานบ้านมาตลอด พอปิดเทอมฤดูหนาวก็ไปแบกอิฐที่โรงงานอิฐเป็ประจำ จึงมีแรงมากกว่าพวกเธอ
ไม่เพียงแต่สองแม่ลูกจะฝ่าวงล้อมไปไม่ได้ ท่าทางน่าสงสารที่พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดของพวกเธอยังเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนบ้านครืนใหญ่ ทำให้พวกเธอขายหน้าสุด ๆ
สวี่เยว่เห็นว่าหนีไม่ได้ จึงแกล้งป่วยอีก
กู่ซิ่วประคองเธอพิงโซฟา แล้วะโใส่สวี่ฮุ่ยด้วยความร้อนใจ “น้องแกอาการกำเริบแล้ว ยังไม่ยอมปล่อยพวกเราออกไปหาหมออีกเหรอ? แกอยากให้น้องสาวแกตายหรือไง?”
สวี่ฮุ่ยยืนขวางประตู พูดเสียงราบเรียบ “ถ้าสวี่เยว่อาการกำเริบจนตาย หนูยอมชดใช้ด้วยชีวิตเลย”
“กลัวแต่ว่าเธอจะแกล้งป่วยอีกน่ะสิ เธอไม่ได้แกล้งป่วยครั้งแรกนี่”
เมื่อถูกเปิดโปง สวี่เยว่ก็อับอายอย่างมาก
แต่กลับมีเพื่อนบ้านบางคนเล่นใหญ่ จะไปตามหมอที่สถานีอนามัยตำบลให้สวี่เยว่
คราวนี้แกล้งป่วยต่อไม่ได้แล้ว สวี่เยว่ถึง ‘ฟื้น’ ขึ้นมาอย่างเชื่องช้า
แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงและหนักแน่นว่าไม่ต้องแล้ว เธอพักสักครู่เดี๋ยวก็หาย
แม้คนรอบข้างจะไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาที่มองมาก็เต็มไปด้วยความเยาะเย้ย
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดี คุณย่าลู่ก็มาถึงพร้อมกับสามพี่น้องลู่ฉี่โหย่วอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
เพื่อจะมาให้เร็วที่สุด ทั้งสี่คนจึงขี่มอเตอร์ไซค์มา
ทันทีที่คุณย่าลู่ลงจากเบาะหลังมอเตอร์ไซค์ของคุณลู่ฉี่โหย่ว เธอก็ถามด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ใครเป็คนใส่ร้ายฮุ่ยฮุ่ย?”
สวี่ฮุ่ยวิ่งไปประคองคุณย่าลู่ แล้วชี้ไปที่หลูเจียหง “เธอบอกว่าหนูไปอ่อยพี่เขยเธอ ลู่ฉี่เสียนค่ะ”
คุณย่าลู่แค่นเสียงเ็า “ฉันก็นึกว่าใคร? ที่แท้เป็เธอเองเหรอ!”
“อาเสียนกลายเป็พี่เขยเธอั้แ่เมื่อไหร่ ทำไมฉันไม่รู้เื่เลย?”
หลูเจียหงหน้าแดงก่ำ พูดไม่ออกสักคำ