“คุ้มกันฝ่าา! คุ้มกันฝ่าา!” เว่ยหรูไห่ส่งเสียงดัง องครักษ์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกรีบวิ่งตามเข้ามา
เต๋อเฟยรีบปรี่เข้ามาเอ่ยถามด้วยความกังวล “ฝ่าา ฝ่าาเป็อย่างไรบ้างเพคะ…”
“เจิ้นสบายมาก” ซ่งอี้เฉินเอ่ยจบก็ก้มศีรษะมองเหยียนอู๋อวี้ที่ยังคงกอดตนเองแน่น
วินาทีที่เงาดำพุ่งหนีออกมาเมื่อครู่ จู่ๆ เหยียนอู๋อวี้กลับพุ่งตัวมาเบื้องหน้าเขาแล้วกอดไว้แน่น คล้าย้าปกป้องเขา
วินาทีนั้นในใจเขาพลันคิดถึงใครอีกคนโดยไม่ทราบสาเหตุ ยามเขาตกอยู่ในอันตรายที่สุดก็เป็คนคนนั้นเช่นกัน……
คนที่กอดเขาแน่นในเวลานี้เริ่มตัวสั่นเทา มองเขาน้ำตาเอ่อคลอ “ฝ่าา หม่อมฉันใมากเพคะ หม่อมฉันคิดว่าคนเลวนั้นจะพุ่งเข้ามา...…”
เขายกมือตบหลังนางเบาๆ “สนมที่รักกลัวถึงเพียงนี้ยังพุ่งเข้ามาอีก...…”
นางเอ่ยตอบเสียงสั่นเครือ “หม่อมฉันกลัว แต่กลัวฝ่าาได้รับาเ็มากกว่าเพคะ หม่อมฉันตายไม่เสียดาย ทว่าฝ่าาไม่เหมือนกัน…...”
ซ่งอี้เฉินแย้มยิ้ม “เ้านี่นะ...…”
ทว่าเมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ สีหน้าของเขาพลันกลับมานิ่งขรึมอีกครั้ง
เต๋อเฟยคุกเข่าลงทันที “ตำหนักหลังเกิดเื่เช่นนี้เป็เพราะหม่อมฉันไร้ความสามารถดูแล ฝ่าาได้โปรดลงโทษด้วยเพคะ”
ซ่งอี้เฉินมองนางครู่หนึ่งพลางกล่าว “เต๋อเฟยเพิ่งเข้ามาดูแลตำหนักหลังได้เพียงวันเดียว เจิ้นไม่โทษเ้า ลุกขึ้นเถิด”
เต๋อเฟยรีบขอบพระทัยในความเมตตาของฝ่าา เมื่อเงยหน้าขึ้น เห็นซ่งอี้เฉินโอบกอดเหยียนอู๋อวี้เดินจากไปไกลแล้ว สีหน้านางแลดูไม่ค่อยดีนัก นางรีบเอ่ยกำชับคนรับใช้ว่าอย่าได้พูดจาเหลวไหลแล้วกลับตำหนักทันที
……
ซ่งอี้เฉินส่งเหยียนอู๋อวี้กลับตำหนักบรรทม ปลอบขวัญรอบหนึ่งแล้วจึงจากไป
เช้าวันรุ่งขึ้น เหยียนอู๋อวี้ได้รับพระราชโองการเรียกให้นางเข้าเฝ้าไทเฮา ภายในใจนางรู้ดีว่าละครกำลังจะเริ่มต้นขึ้น จึงสั่งให้คนรับใช้แต่งองค์ทรงเครื่อง ทิ้งซูอิ่งไว้ที่ตำหนักแล้วพาป้าโฉ่วไปตำหนักอี้คุน
ลี่เจาอี๋ที่คุกเข่าอยู่หน้าประตูคราวก่อนหายไปอย่างไร้ร่องรอยนานแล้ว วันนี้ต่างจากวันวาน สุดท้ายคนที่กุมอำนาจคือคนสนิทของไทเฮา
เหยียนอู๋อวี้ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ความเยือกเย็นฝังลงในก้นบึ้งของหัวใจ
นางเดินตามขันทีผู้นำทางทีละก้าวจนถึงทางเข้าตำหนักหลัก มองเห็นเต๋อเฟยจากระยะไกลสวมชุดสีเขียวน้ำทะเลปักลวดลายนกกระเรียน สวมปิ่นทองแปดอัญมณีบนศีรษะคอยรับใช้อยู่ข้างกายไทเฮาด้วยรอยยิ้ม
ฮวารั่วซีไม่มาตามที่คาดไว้ ผู้ที่มาคือลี่เจาอี๋ อีกด้านหนึ่งมีเต๋อเฟยที่ดูแลตำหนักหลังยืนอยู่
เทียบไม่ได้กับเมื่อไม่กี่วันก่อนที่คุกเข่าอยู่หลายชั่วยามจนใบหน้าไร้เืฝาด ลี่เจาอี๋ในวันนี้สีหน้าแดงปลั่งเปล่งประกาย แม้อาภรณ์สีแดงเข้มดูเก่าไปเสียหน่อย ทว่ายังคงแลดูสดใสมีชีวิตชีวาอยู่มาก
เหยียนอู๋อวี้สูดหายใจเข้าลึก ก่อนก้าวเข้าไปในตำหนักทีละก้าว เมื่อเดินไปถึงระยะที่ห่างจากไทเฮาประมาณสามถึงห้าก้าวจึงกล่าวคำนับอย่างนอบน้อม “หม่อมฉันถวายบังคมไทเฮา ขอไทเฮาทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงเป็สิริมงคลเพคะ”
“อืม” ไทเฮาตอบรับอย่างไม่ยินดียินร้าย และไม่ได้บอกให้เหยียนอู๋อวี้ลุกขึ้น
เหยียนอู๋อวี้ไม่ได้ตื่นตระหนก อีกทั้งยังน้อมกายทักทายอีกสองท่านด้วย ลี่เจาอี๋กลับไม่ตอบรับ ไม่แม้แต่จะชายตามองเหยียนอู๋อวี้เสียด้วยซ้ำ
หากแต่เป็เต๋อเฟยที่เปิดปากกล่าวทักทาย “เมื่อวานนอนดึกเพียงนั้น วันนี้ยังตื่นแต่เช้า ลำบากน้องหญิงแล้ว ลุกขึ้นเถิด!” อีกทั้งยังทำให้นางได้เห็นความสำคัญของตำแหน่งเต๋อเฟยในยามที่อยู่เบื้องหน้าไทเฮาซึ่งทุกคนต่างรู้ชัดเจน ในเมื่อนางเอ่ยปากแล้ว พวกนางกำนัลย่อมไม่กล้าเพิกเฉย
เมื่อได้นั่งเหยียนอู๋อวี้จึงไม่เกรงใจ นางกล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อม พลางกวาดสายตามองไปทางนางกำนัลด้านข้างที่ถือขวดกระเบื้องขนาดเล็กสีขาวไว้ในมือ
ตนเองก็มาแล้ว หลักฐานก็อยู่ที่นี่แล้ว ยังไม่เริ่มอีกหรือ? เหยียนอู๋อวี้แอบคิดในใจ ทว่าไม่นานก็เข้าใจจุดเชื่อมต่อภายในนั้น
ฮวารั่วซียังไม่มา
ภายในตำหนักว่างเปล่า ตำแหน่งพระสนมมีสองคน ผู้หนึ่งคือเต๋อเฟย และอีกผู้หนึ่งคือซูเฟย
แม้ซูเฟยจะถูกริบอำนาจในการจัดการดูแลหกตำหนัก กระนั้นก็ควรไว้หน้านางบ้าง ไม่ว่าอย่างไรก็ตามไทเฮาไม่มีทางทำในสิ่งที่ทำให้จิตใจคนต้องหมางเมินเป็แน่ มิฉะนั้นจะทำให้ผู้อื่นทุ่มเทเพื่อตนเองได้อย่างไร?
ลี่เจาอี๋กับเต๋อเฟยกำลังคุยเล่นเป็เพื่อนไทเฮาอยู่บนที่นั่งอย่างมีความสุข มีเหยียนอู๋อวี้เพียงคนเดียวที่นั่งน่าสงสารอยู่ไม่ไกลนัก
นางรู้ชัดเจนว่าไทเฮาผู้นี้จงใจเมินเฉยต่อนาง หากเต๋อเฟยไม่บอกให้ตนเองลุกขึ้น ยามนี้นางคงนั่งคำนับอยู่บนพื้นกระมัง!
นางกวาดสายตามองไปรอบๆ นางมองช่อดอกไม้ที่อยู่ด้านหน้าไม่ไกลนักอย่างไร้จุดหมาย
ฤดูนี้ดอกไม้กลับบานสะพรั่ง แต่ละดอกตูมสวยพร้อมจะเบ่งบาน เหมือนกับซิ่วหนี่ว์แต่ละคนในเรือนหลินหลาง
น่าเสียดาย จากซิ่วหนี่ว์ทั้งเจ็ด มีสองคนที่จากไปเร็วเกินไป
ระหว่างที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นฮวารั่วซีก็มาถึง หลังจากนางน้อมถวายบังคมไทเฮาเสร็จก็เดินไปอยู่ข้างกายไทเฮาโดยไม่สนใจผู้ใด พร้อมกับเบียดลี่เจาอี๋ออกไปด้านข้าง
เหยียนอู๋อวี้สังเกตเห็นสีหน้าของลี่เจาอี๋ที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน คล้ายจะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเล็กน้อย เพียงแต่นางรู้ดีว่าลุแก่โทสะไม่ได้ นางควรคำนับอย่างนอบน้อม
ครั้งนี้ฮวารั่วซีรีบมาด้วยบทบาทใสซื่อบริสุทธิ์ เมื่อเห็นลี่เจาอี๋คำนับให้นาง ทันใดนั้นพลันประคองมือลี่เจาอี๋พลางกล่าวว่า “เราเป็พี่น้องกันไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้ น้องหญิงเป่าหลินก็ด้วย รีบลุกขึ้นเถิด!”
ท่าทางในวันนี้ของนางดูไม่คล้ายวันก่อนที่สั่งโบยนางด้วยไม้
เหยียนอู๋อวี้ลุกขึ้นทว่าไม่ได้นั่งลง กลับยืนอยู่ด้านข้างแทน
เต๋อเฟยเห็นว่าคนอยู่กันพร้อมหน้าแล้วจึงเปิดประเด็น “วันนี้เชิญน้องหญิงทั้งสามมาที่นี่เพราะคดีฆาตกรรมทั้งหลายในวังเมื่อไม่กี่วันมานี้แปลกเกินไปนัก”
เต๋อเฟยเอ่ยพลางสะบัดแขนเสื้อเบาๆ ไม่นานด้านข้างพลันมีนางกำนัลเดินถือขวดกระเบื้องขาวเข้ามาด้วยท่าทางเรียบร้อย นางกล่าวต่อ “นี่คือสาเหตุการตายของพวกเขาทั้งหมด”
“ข้าตัดสินใจสอบสวนเื่นี้อย่างละเอียด และเนื่องจากทุกอย่างชี้ไปที่สนมเหยียน วันนี้ข้าจึงขอความกรุณาเป็พิเศษให้ไทเฮาธำรงความยุติธรรม ออกราชโองการตรวจค้นทั่วทั้งพระราชวัง”
คำพูดของเต๋อเฟยสมเหตุสมผล อย่างไรเสียผู้ที่เคยขัดแย้งกับถงซวงเอ๋อร์ก็คือนาง
“หม่อมฉันยืนตรงไม่หวั่นกลัวเงาเอียง[1] ไทเฮาโปรดประกาศราชโองการ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของหม่อมฉัน” เหยียนอู๋อวี้โค้งคำนับด้วยความนอบน้อม คำพูดเถรตรงชัดเจน
ไทเฮาแววตาอึมครึม ก่อนเปิดปากกล่าว “ในเมื่อเป็เช่นนี้ก็ตรวจค้นเถิด! อายเจียรอดูผลลัพธ์อยู่”
ทุกคนต่างตอบรับพร้อมกัน
ว่ากันตามหลัก เดิมตำหนักเฟิ่งชัยควรเป็ตำหนักบรรทมของฮองเฮา ซ่งอี้เฉินพระราชทานตำหนักหลังนี้ให้เหยียนอู๋อวี้ ส่งผลให้ความอิจฉาริษยาจำนวนไม่น้อยพุ่งเป้ามาสู่นางอย่างเลี่ยงไม่ได้
กระทั่งฮวารั่วซีที่เขารักปักใจยังคิดจะลงมือสังหารนาง
เหยียนอู๋อวี้มีสีหน้าเรียบเฉย ภายในตำหนักเงียบงัน กระทั่งเสียงเข็มตกพื้นยังได้ยิน
ไม่นานพลันมีเสียงฝีเท้ารีบร้อนดังมาจากนอกประตู ตามมาด้วยองครักษ์ผู้หนึ่งปรากฏตัวเบื้องหน้าทุกคน
เห็นเพียงแค่บนมือเขาผู้นั้นถือขวดกระเบื้องที่มีลักษณะเหมือนกับในมือของนางกำนัลเมื่อครู่ทุกประการ
ทุกคนพลันเกิดความสงสัยขึ้นทันที
เชิงอรรถ
[1] กายตรง ย่อมไม่กลัวเงาเอียง หมายความว่า หากทำในสิ่งถูกต้องก็ไม่จำเป็ต้องกลัวสิ่งใด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้