"กินช้าหน่อย เดี๋ยวจะติดคอ" อาจารย์ฉีมองเฉียวเยว่ยกชามใบน้อยกินข้าวคำโตๆ ข้าวเม็ดเล็กติดมุมปาก เขาใช้ผ้าเช็ดปากให้นาง
ไม่รู้เพราะเหตุใด เห็นเฉียวเยว่กินข้าว ก็รู้สึกว่าอาหารมื้อนี้ในบ้านของพวกเขาราวกับเป็งานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยบุรุษ เสียงตะเกียบดังตลอดเวลา
ปรกติอาจารย์ฉีกินข้าวไม่มาก โดยเฉพาะมื้อเย็นกินเพียงครึ่งถ้วยเท่านั้น
แต่ครานี้ถูกฝาแฝดทั้งทองตะล่อมให้กินถึงหนึ่งชามเต็มๆ ส่วนเฉียวเยว่กับฉีอันต่างกินคนละสองชาม
เฉียวเยว่ยื่นชามใบน้อยมาอีก "ขออีกเ้าค่ะ"
"ไม่ได้" ครานี้ฉีจือโจวกลับไม่ตามใจให้นางกินต่อ "ตอนเย็นกินมากเกินไปท้องจะอืดได้ง่าย ควรกินแค่พออิ่ม เฉียวเยว่อย่ากินอีกเลย"
เฉียวเยว่ยื่นปากน้อยๆ พ่อครัวของจวนฉีติดตามพวกเขามาจากเจียงหนาน ทำอาหารใส่น้ำตาล รสชาติโดยรวมค่อนข้างหวาน ถูกปากของเด็กน้อยพอดี กินกันอย่างเอร็ดอร่อย
เฉียวเยว่ทำแก้มป่องอ้อนวอน "ท่านลุง ขออีกชาม ขออีกชาม"
อาจารย์ฉีทนเห็นเด็กหญิงตัวน้อยเสียใจไม่ไหว ก็โพล่งขึ้นมา "ตาจะตักข้าวให้เ้าเอง"
ฉีจือโจวมองบิดาปราดหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างหนักแน่น "กินอีกไม่ได้"
หลังจากนั้นก็หันมามองเฉียวเยว่ พูดกับนางอย่างจริงจัง "เฉียวเฉียวคนดี มิใช่ไม่ให้เ้ากิน แต่กินเยอะกลัวว่าเ้าจะไม่สบายท้อง เฉียวเยว่ไม่อยากอึดอัดทรมานใช่หรือไม่?"
เฉียวเยว่ไหนเลยจะใช่เด็กที่เกลี้ยกล่อมได้ง่ายนัก
นางตอบเสียงใส "ท่านลุง ชามของข้าเล็กนิดเดียว ท่านให้ข้ากินอีกชามเถอะ กินเสร็จแล้ว พวกเราค่อยจูงมือกันออกไปเดินเล่น รับรองไม่มีทางไม่สบาย ข้ารับประกัน" นางยกมือน้อยๆ ขึ้นมาอย่างฉลาดเฉลียว
ฉีจือโจวอับจนถ้อยคำ อาจารย์ฉีทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ตักข้าวเพิ่มให้เฉียวเยว่เองกับมือ "เฉียวเยว่กินเถอะ จะให้เด็กกินไม่อิ่มได้อย่างไร ข้าปวดใจจะตายอยู่แล้ว"
เฉียวเยว่ยิ้มหวาน "ขอบคุณเ้าค่ะ ท่านตา"
อาจารย์ฉีหัวใจละลายไปแล้ว
ฉีอันเห็นท่านตาเป็เช่นนี้ ก็ร้องจิ๊จิ๊ "ถูกจิ้งจอกจันทราหลอกไปอีกคนแล้ว"
ดวงตากลมโตของเฉียวเยว่ทอประกายสุกใส "ข้าไม่ได้หลอกสักหน่อย ข้าเป็เด็กดี ท่านตา ข้ากินได้จริงๆ ท้องของข้ายังไม่อิ่มเลย"
อาจารย์ฉีตอบควัน "ไม่อิ่มก็กินอีกเยอะๆ ใครกล้าไม่ให้เฉียวเยว่ของข้ากินข้าว ข้าจะเขียนบทความประณามเลยคอยดู"
เฉียวเยว่กอดอาจารย์ฉี "ท่านตาดีที่สุด"
ฉีจือโจวมองเด็กน้อยน่ารักจอมสอพลออยู่เงียบๆ ก่อนถอนหายใจออกมา ฉลาดหัวไวเช่นนี้ ต้องได้ทางคนสกุลซูมาแน่ๆ
"ท่านลุง อร่อย ท่านต้องกินเยอะหน่อยนะเ้าคะ"
เฉียวเยว่ครื้นเครงอย่างยิ่งราวกับเป็บ้านของตนเอง ไม่รู้สึกแปลกแยกแม้แต่น้อย ฉีอันก็ปรับตัวได้ไวเช่นเดียวกัน
แต่ถึงแม้ว่าชามจะเล็กอย่างไร กินมื้อเย็นไปถึงสามชามก็ต้องมีท้องอืดกันบ้างไม่มากก็น้อย เฉียวเยว่ลูบท้องของตนเอง "ท่านตา ท่านลุง พวกเราไปเดินเล่นดีหรือไม่เ้าคะ จะได้ชมให้ทั่วพอดี"
นางทำราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อย
ฉีจือโจวกลัวว่านางกินเยอะเกินไปจะไม่สบาย ย่อมรับปาก เขาจูงเฉียวเยว่พลางกำชับ "เฉียวเยว่กับฉีอันอย่าวิ่งไปไหนส่งเดช ออกมาเดินเล่นก็ต้องพาคนมาด้วย เข้าใจหรือไม่?"
เฉียวเยว่โอนอ่อนผ่อนตาม "เข้าใจเ้าค่ะ"
แม้ว่าจะไม่รู้จักสถาปัตยกรรมมากนัก แต่ในฐานะที่เป็สตรีทางเหนือ เฉียวเยว่เคยไปเที่ยวซูโจวกับหังโจวอยู่บ้าง บัดนี้ได้มาเห็นการจัดวางผังบ้านของสกุลฉีที่ให้ความรู้สึกสง่างามแบบเมืองที่ล้อมรอบด้วยคูน้ำอย่างหนานเจียง
พวกเขากลับมาได้ห้าหกวัน ย่อมไม่ใช่เพิ่งจัดขึ้นมาตอนนี้ คิดว่าน่าจะมีการเตรียมไว้ล่วงหน้า
เฉียวเยว่นึกถึงท่าทางมีความสุขของมารดาเมื่อสองสามวันก่อน ก็รู้อยู่แก่ใจว่าผู้าุโในบ้านต้องแจ้งเื่นี้ให้ทราบล่วงหน้าแล้ว
พวกเขาเลี้ยวเข้ามาข้างสระน้ำ เฉียวเยว่พลันตื่นเต้น
"าาจิ่นหลี่ [1]" เฉียวเยว่ยกมือทั้งสองขึ้นประนม ดูเหมือนจะภาวนาขออะไรสักอย่าง
อาจารย์ฉีตกตะลึง ก่อนถามด้วยความสงสัย "าาจิ่นหลี่อะไรกัน?"
ก็แค่ปลาหลี่ธรรมดาไม่กี่ตัวในน้ำเท่านั้นเอง
เฉียวเยว่ยิ้มตาหยี "าาจิ่นหลี่เป็ปลามงคลช่วยให้พวกเราสมหวังในสิ่งที่ปรารถนา ดังนั้นเมื่อเห็นมันก็ต้องอธิษฐานเ้าค่ะ"
ความไร้เดียงสาของเด็กน้อยทำให้อาจารย์ฉีอมยิ้มถามว่า "เช่นนั้นเมื่อครู่เฉียวเยว่อธิษฐานขอสิ่งใด?"
เฉียวเยว่ตอบอย่างจริงจัง "บอกไม่ได้ หากพูดออกไปจะไม่ได้ผลเ้าค่ะ"
นางะโโลดเต้นไปข้างหน้าต่อ แต่ไม่นานนักก็หยุดเท้า "ท่านตา สวนแห่งนี้ประหลาดยิ่งนัก ข้ารู้สึกว่าพวกเราเคยเดินมาทางนี้แล้ว คงมิได้หลงทางหรอกกระมัง?"
หากท่านตากับท่านลุงเดินหลงทางในบ้านของตนเอง ก็คงจะน่าขันมากจริงๆ
สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเฉียวเยว่มองโน่นมองนี่ไม่หยุด อาจารย์ฉียืดอกทันควันอย่างภาคภูมิใจ "สวนแห่งนี้ข้าเป็คนออกแบบเอง นอกจากจะสร้างเลียนแบบที่อยู่อาศัยของพวกเราในเจียงหนานแล้ว ข้ายังใส่งานอดิเรกเล็กน้อยของตนเองเข้าไปด้วย เรือนหลังนี้ข้าออกแบบตามผังแปดทิศกับปัญจธาตุ หลายสถานที่ย่อมมีความแยบยลแฝงอยู่ หากคนทะเล่อทะล่าบุกเข้ามาย่อมจะออกไปไม่ได้"
เฉียวเยว่ดวงตาลุกวาว "ผังแปดทิศกับปัญจธาตุ?"
ให้ตายสิ พับผ่า!
ครอบครัวของพวกเขามีแต่คนเก่งกล้าสามารถขนาดนี้เชียวหรือ? นี่คงไม่ใช่เกาะดอกท้อที่มีค่ายกลอะไรต่อมิอะไรหรอกนะ
เมื่อคิดเช่นนี้ สายตาของเฉียวเยว่ที่มองอาจารย์ฉีก็เต็มไปด้วยความชื่นชมเลื่อมใส ท่านตาของพวกนางร้ายกาจเหลือเกิน
การได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากเฉียวเยว่ให้ความรู้สึกดียิ่ง อาจารย์ฉีเอ่ยขึ้นว่า "รอเ้าโตกว่านี้อีกหน่อย ตาจะสอนให้"
ฉีจือโจวเห็นบิดาของตนเองเริ่มจะเลอะเทอะ ก็กล่าวเสียงเรียบ "ท่านพ่อสอนวิชาความรู้ให้เฉียวเยว่ไปดีกว่า สิ่งใดที่ตนเองมิได้แตกฉานก็อย่าชี้นำเด็กส่งเดช จะได้ไม่เกิดความเข้าใจผิด จวนนี้มีการออกแบบที่เป็เอกลักษณ์ไม่เหมือนใครก็จริง แต่หากบอกว่าสามารถพรางตากักขังไว้ข้างใน ก็ดูจะเป็คำที่เกินจริงไปเสียหน่อย เพียงแค่ช่างสังเกตมากหน่อย ก็จะไม่รู้สึกถึงความพิเศษอะไรมากมาย อย่าคุยโวหลอกเด็กน้อยจะดีกว่าขอรับ"
อาจารย์ฉีถูกบุตรชายสั่งสอน ก็หมดสนุก ย้อนคิดทบทวนอีกทีก็กล่าวว่า "แม้จะพูดเช่นนี้ ก็ยังคงมีความพิเศษอยู่บ้างกระมัง?" เขายังจะดิ้นต่อไป
เฉียวเยว่กลัวว่าชายชราจะไม่เบิกบานใจ จึงตอบทันที "พิเศษมากเ้าค่ะ หากข้ากับฉีอันเดินอยู่ในนี้ ต้องออกไปไม่ได้แน่ๆ "
ได้แต่ปลอบประโลมคนแก่ไปเยี่ยงนี้
พอเห็นอาจารย์ฉีสีหน้าเบิกบานขึ้นมา ฉีจือโจวก็เอ่ยปากอีกหน "ก็แน่อยู่แล้ว เพราะพวกเขาอายุแค่ห้าขวบ"
เป็ค่ายกลที่ขังได้แต่เด็กห้าขวบเท่านั้น
อาจารย์ฉีหน้าง้ำทันใด
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก "ท่านลุงเอาแต่หักหน้าเช่นนี้ไม่น่ารักเลยนะเ้าคะ"
นางวิ่งเข้าไปสองสามก้าว มือน้อยเนื้อแน่นยกขึ้นเท้าสะเอว "พวกท่านทราบหรือไม่เ้าคะ เพราะเหตุใดท่านปู่ท่านย่าถึงรักบิดาข้าที่สุด?" นางไม่รอให้คนตอบคำถาม ก็เชิดใบหน้าดวงน้อยขึ้นแล้วพูดต่อ "ก็เพราะบิดาข้าเป็บุตรชายคนเล็ก และเพราะบิดาข้าสามารถตบสะโพกม้าได้อย่างแเีที่สุด"
อาจารย์ฉี "..."
"บิดาข้าตะล่อมคนเก่ง แต่เื่นี้ไม่อาจทำอย่างโจ่งแจ้งเกินไป เพราะจะทำให้คนรู้สึกถึงความเสแสร้งจอมปลอมได้ สรุปแล้ว บิดาข้าเป็ผู้เชี่ยวชาญด้านการประจบสอพลอ หากท่านลุงทำไม่เป็ ก็ดูจากบิดาข้าได้"
เฉียวเยว่เปิดโปงบิดาต่อหน้าท่านตาและท่านลุงโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อย
ฉีจือโจวมึนตึ้บ เขาผ่อนคลายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนทำสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม "ดังนั้นเฉียวเยว่ของพวกเราจึงเรียนรู้มานานแล้วใช่หรือไม่"
เฉียวเยว่สะบัดศีรษะ ทำหน้าขื่นขม "เปล่าสักหน่อย"
"หืม?"
เสียงหืมนี้ทำให้โรคคลั่งเสียงของเฉียวเยว่กำเริบ นอกจากท่านลุงจะมีบุคลิกภายนอกที่ดูกร้าวแกร่งในแบบที่นางชอบมากๆ แล้ว ยังมีเสียงที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย
เป็เสียงที่ทำให้คนรู้สึกผ่อนคลายเหลือเกิน
ความคิดของคนคลั่งเสียงเช่นนาง บอกได้ว่าท่านลุงคือเทพอันดับหนึ่งของตารางการจัดลำดับ
"หากข้าเรียนรู้สำเร็จ ไหนเลยจะถูกท่านพ่อกับท่านแม่ขู่ว่าจะตีทั้งวัน ไม่นึกบ้างว่าข้าน่ารักถึงเพียงนี้ พวกเขาตีแล้วจะไม่ปวดใจบ้างเลยหรือ"
"พรืด" อาจารย์ฉีหัวเราะอย่างอดไม่ได้
ฉีจือโจวก็เผยรอยยิ้มออกมาเช่นกัน "เป็เด็กน้อยที่น่ารักจริงๆ"
"เช่นนั้น ข้าก็จะใช้ความน่ารักทำมาหากินนี่แหละ" เฉียวเยว่แสดงท่าทางภาคภูมิใจ
คำกล่าวนี้ทำให้ทุกคนหัวเราะออกมา
ฉีจือโจวไม่มีบุตรเป็ของตนเอง เขาไม่เคยเห็นเด็กผู้หญิงที่ช่างฉอเลาะ แฝงไปด้วยความฉลาดแกมโกงนิดๆ เยี่ยงนี้มาก่อน เพียงชั่วพริบตาก็รู้สึกว่าผู้คนนับพันนับหมื่นข้างนอกมิอาจเทียบเทียมกับหลานสาวของตนเองได้
การแสดงความน่ารักคือท่าไม้ตายของนางโดยเฉพาะ
อีกด้านหนึ่ง ไท่ไท่สามอยู่ในบ้านอย่างพะว้าพะวัง แต่ไหนแต่ไรมาฝาแฝดทั้งสองไม่เคยอยู่ห่างกาย แล้วนางจะไม่ห่วงได้อย่างไร วันนี้ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ไม่อาจสงบใจลงได้ ซูซานหลางเห็นนางเป็เช่นนี้ ก็พูดอย่างอดไม่ได้ "หากเ้าคิดถึงพวกเขาจริงๆ ข้าจะไปรับเด็กๆ กลับมา"
ไท่ไท่สามรีบห้ามปราม "ไม่ได้ เฉียวเยว่กับฉีอันตื่นเต้นเป็พิเศษ จะไปทำลายความสุขของเด็กได้อย่างไร ให้พวกเขาอยู่เที่ยวที่นั่นดีแล้ว หากมีสิ่งใดลำบากใจ พี่ใหญ่ก็ส่งจดหมายมาเองแหละ"
ซูซานหลางมุมปากระตุก ค่อยๆ พูด "ข้าว่าวันนี้พวกเขาอยู่ทางนั้นคงนินทาข้าไม่น้อย ที่ข้าจามไม่หยุด สงสัยจะถูกเ้าลิงน้อยสองตัวนั้นบ่นถึงอยู่แน่ๆ "
ไท่ไท่สามหัวเราะออกมาทันที "ดูท่านสิ พูดเหลวไหลอีกแล้ว บุตรแสนดีแค่ไหน ใช่ว่าท่านไม่รู้"
ซูซานหลางย่อมรู้ในความดีงามของบุตรตนเอง แต่ทั้งสองชอบพูดจาเรื่อยเปื่อย นี่ก็คือความจริงที่เถียงไม่ได้เช่นกัน
เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม "เ้าว่าอย่างไร ก็เป็อย่างนั้น"
เขาเว้นจังหวะครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า "วันนี้กินยาตามเวลาหรือยัง?"
ไท่ไท่สามพยักหน้า "ท่านวางใจได้ สุขภาพของข้า ข้าจะไม่ระมัดระวังเชียวหรือ จริงสิ อิ้งเยว่กลับมาหรือยัง?"
อิ้งเยว่มีเรียนจนแน่นเต็มตารางทุกวัน มารดาเช่นนางกว่าจะได้พบหน้าแต่ละทีก็ต้องอาศัย่เย็นที่นางหมดธุระแล้ว
"กลับมาแล้ว ไปคารวะท่านแม่ที่เรือน อีกไม่ช้าก็คงจะมา" ซูซานหลางตอบ
บุตรสาวคนโตนับวันก็ยิ่งเป็ตัวของตัวเองและมีความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ไม่ต้องเป็ห่วงมากนัก แม้คนนอกจะวิตกแทนนาง แต่ซูซานหลางเองกลับไม่คิดว่ามีสิ่งใดไม่ดี
บุตรสาวของเขาเข้มแข็งยิ่งกว่าบุตรชายของบ้านอื่นเสียอีก พวกเขาไม่รู้สึกว่าถูกตบหน้า แล้วเขาจะกังวลอะไร?
"หลายวันก่อนอิ้งเยว่บอกอยากเรียนปักผ้าแบบซูโจว ข้าถามพี่ใหญ่แล้ว เขาบอกว่าจะเชิญช่างปักผ้าอันดับหนึ่งของเจียงหนานให้มาเมืองหลวง ถึงเวลานั้นให้อิ้งเยว่ฝากตัวเป็ศิษย์อาจารย์"
ไท่ไท่สามตกตะลึง "นางยังจะเรียนอีกหรือ?"
ซูซานหลางพยักหน้า "นางดูแลตนเองได้ เ้าวางใจเถอะ"
เพิ่งพูดถึงอิ้งเยว่ นางก็มาพอดี
เห็นบิดามารดานั่งจิบชาอยู่ในสวน ก็ยอบกายน้อยๆ "ท่านพ่อ ท่านแม่"
หลังจากนั้นก็นั่งลงรินน้ำชาให้ตนเอง แล้วค่อยๆ จิบทีละคำ หลังจากวางถ้วยน้ำชาลง ก็แลดูหดหู่เล็กน้อย "นกกระจอกน้อยพูดมากสองตัวไม่อยู่ ข้ารู้สึกเหมือนขาดอะไรไปอย่าง ท่านแม่ พวกเราไปดูพวกเขาดีหรือไม่?"
...
[1] จิ่นหลี่ คือปลาแฟนซีคาร์ป หรือปลาไนสี เป็ปลาเลี้ยงสีสันงดงาม ชาวจีนเชื่อว่าเป็สัญลักษณ์ของความสมบูรณ์พูนสุข
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้