เสียงดังจากการที่หวางฮวายเหล่ยร่วงหล่นลงบนพื้นจึงทำให้คนรอบข้างค่อยๆ หันศีรษะมามอง ทางฝั่งหลัวฉี่กับหลิวอิงเผิงนั้นยังเกรงใจกันไปมาอยู่เลย ทางนี้กลับต่อสู้กันเสร็จแล้ว
อีกทั้งคนที่แพ้ยังเป็หวางฮวายเหล่ย คนผู้นี้อย่างน้อยก็มาจากตระกูลใหญ่ระดับหนึ่ง จะแพ้เร็วเกินไปหน่อยกระมัง?
อย่างไรเสียเหยียนเฟิงเกอก็ไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่ ดังนั้นถึงแม้หวางฮวายเหล่ยจะถูกซัดปลิวไป แต่ก็ไม่ได้รับาเ็ภายในอะไร ไม่มีแม้แต่จะแต่กระอักเืออกมา เขาก็แค่ทรุดลงบนพื้นเท่านั้น นอนซบอยู่กับพื้นเป็นานจึงค่อยๆ ตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้น แล้วเอามือลูบตรงบริเวณที่ถูกนิ้วของเหยียนเฟิงเกอจิ้มเข้า สีหน้าไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เขาเองก็เป็ผู้ฝึกวรยุทธ์ ถูกซัดบินลงมาจากเวทีไกลขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้รับาเ็ภายในอะไร นี่ก็ชัดเจนแล้วว่าเหยียนเฟิงเกอยั้งมือไว้ไมตรีแล้วจริงๆ แต่ยั้งไมตรีเช่นนี้...มิสู้ไม่ยั้งเสียยังจะดีกว่า เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแพ้อย่างน่าอนาถอยู่ดี!
พอเงยหน้าก็เห็นว่าทุกคนกำลังมองเขาอยู่จึงอดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้ เขาเองก็เป็คนที่โอหังจนเคยชินแล้วจึงไม่อาจทนขายหน้าได้ อดตะคอกออกไปไม่ได้ว่า “มองอะไร! ถ้าพวกเ้าเจอเขาก็ต้องแพ้อย่างอนาถยิ่งกว่าข้าแน่!”
ทุกคนถูกความเกรี้ยวกราดของเขาทำให้ใจนพากันหันศีรษะหนี สายตาอดมองไปยังเหยียนเฟิงเกอที่ยืนนิ่งอยู่บนเวทีไม่ได้ เหยียนเฟิงเกอหน้าตาดี แล้วยังเด็กกว่าหวางฮวายเหล่ย ถึงแม้จะชอบทำสีหน้าเ็าทำให้ดูหนักแน่นเป็ผู้ใหญ่ แต่มองเพียงครั้งเดียวก็บอกได้เลยว่ายังเป็แค่หนุ่มน้อยเท่านั้น
ความสามารถของหวางฮวายเหล่ยนั้นแท้จริงแล้วทุกคนก็ไม่ค่อยรู้เท่าไรนัก แต่อำนาจและความแข็งแกร่งของตระกูลหวางนั้นทุกคนย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ ต่อให้หวางฮวายเหล่ยจะแย่สักเพียงใดก็คงจะไม่แย่ไปเสียทั้งหมดหรอกกระมัง? ทุกคนจึงรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจว่า...ตกลงแล้วคู่นี้เป็เพราะคนหนึ่งแย่เกินไปหรือว่าอีกคนร้ายกาจเกินไปกันแน่?
สำหรับเหยียนเฟิงเกอที่ออกไปแค่กระบวนท่าเดียวก็จัดการได้ราบคาบแล้วนั้น เขาก็แค่อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยดึงสติกลับมาแล้วประสานมือคารวะไปยังหวางฮวายเหล่ย พูดไปประโยคหนึ่งว่า “ถ่อมตัวแล้ว” แล้วจึงลงจากเวที ทิ้งให้หวางฮวายเหล่ยยืนอยู่ด้านล่างเวที จะกลับก็ไม่ใช่ จะอยู่ต่อก็ไม่ใช่ จะตัดพ้อก็ไม่ใช่ ไม่ตัดพ้อก็ไม่ใช่อีก
ยังดีที่การต่อสู้อันะเืเลือนลั่นของเหยียนเฟิงเกอนี้ดึงดูดความสนใจได้แค่คนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งเท่านั้น คนที่เหลือยังคงตั้งอกตั้งใจดูการประลองระดับเทพของคู่หลัวฉี่อยู่ รอแค่ให้ทั้งสองเปิดฉากสู้ขึ้นเท่านั้น
หลิวอิงเผิงก็ไม่พูดมากอีก ค่อยๆ พยักหน้าสื่อความหมายไปทางหลัวฉี่ แล้วชักกระบี่พุ่งเข้าไป เขากับหลัวฉี่พูดคุยไร้สาระกันมาตั้งนานก็มองออกว่าคนผู้นี้น่าจะไม่อยากใช้กำลังรังแกผู้อ่อนแอ คงไม่มีทางลงมือก่อนแน่ ในเมื่อเป็เช่นนี้ก็ต้องให้ตัวเขาที่ ‘อ่อนแอ’ ผู้นี้เป็ผู้ลงมือแล้ว
ถึงแม้รูปลักษณ์ของหลัวฉี่จะธรรมดา แต่กลับมีรูปร่างไม่เลว ดูสูงแข็งแรง และดูราวกับไม่เกรงกลัวการโจมตีของหลิวอิงเผิงแม้แต่น้อย แม้กระทั่งตอนที่กระบี่ของเขามาถึงตรงหน้าตัวเองแล้วก็ยังมีสีหน้ายิ้มแย้มอย่างมีมารยาท แสดงออกว่าเขาเองก็จะบุกแล้วเหมือนกัน ดูดุดันทรงพลัง แล้วยังแฝงไปด้วยความเยือกเย็นราวกับว่าต่อให้เขาไท่ซานทลายลงตรงหน้าก็จะไม่ยอมเปลี่ยนสีหน้า ผู้คนโดยรอบที่มองเห็นท่าทางอันสงบนิ่งหนักแน่นของหลัวฉี่ก็รู้สึกตกตะลึง ในใจเริ่มเป็ห่วงหลิวอิงเผิงโดยไม่รู้ตัว
หลัวฉี่ตอนไม่ขยับก็ดูสงบนิ่งดี แต่เมื่อขยับก็ราวกับภูผาวายุ ทั้งเร็วและดุดัน ในมือเขาถือกระบี่หนาหนัก ตัวกระบี่ไม่ใช่สีเงินประกายวาววับ หากแต่เป็สีดำทะมึน เพียงหลัวฉี่สะบัดกระบี่ด้วยมือข้างเดียว ปราณกระบี่ก็เกิดแรงกดดันมหาศาล คนรอบข้างต่างตกตะลึงจนส่งเสียงร้องออกมา หลิวอิงเผิงนั้นพุ่งเข้าใส่หลัวฉี่ตรงๆ ตอนนี้มาถึงตรงหน้าของหลัวฉี่แล้ว ตอนแรกเขาออกแรงมากเกินไป ร่างจึงพุ่งไปเพราะแรงเฉื่อย เกรงว่าคงจะถอนกลับไม่ทันหลบไม่พ้นแล้ว กระบี่นี้ของหลัวฉี่หากไม่ได้ออมแรงไว้ก็คงจะตัดไปบนร่างของหลิวอิงเผิงเป็แน่
และในตอนที่ทุกคนกำลังอดเบนสายตาไปทางอื่นเพราะไม่กล้ามองเหตุการณ์นองเืไม่ได้นั้น กลับเห็นว่าหลิวอิงเผิงเก็บกระบี่ไป อีกทั้งยังหลบกระบี่ของหลัวฉี่ได้อย่างรวดเร็วแล้ววกไปทางด้านหลังของหลัวฉี่ กระบี่ในมือก็แทบจะพุ่งไปโดนหลังของหลัวฉี่แล้ว
หลัวฉี่ััได้ถึงจิตสังหารที่ไล่บี้มาจากด้านหลังก็รู้สึกเย็นวาบที่หลัง เขาไม่เพียงไม่กลัวแต่กลับยิ้มออกมา ดูถูกเ้าเด็กนี่เกินไปแล้ว เทียบกับหลัวฉี่ที่เมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้...สีหน้ายังคงสงบราวน้ำนิ่ง ส่วนผู้คนที่อยู่ด้านล่างเวทีกลับพากันสูดหายใจ เสียงหายใจเช่นนี้ทำให้คนที่อยู่ด้านนอกที่มองไม่เห็นสถานการณ์ด้านในพากันเขย่งปลายเท้า สงสัยจริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น
หลัวฉี่ไม่ได้หันกายไป กลับหลบไปด้านข้างเล็กน้อย เมื่อหลบกระบี่ของหลิวอิงเผิงไปได้ ทั้งร่างจึงรีบบินไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว แค่ชั่วอึดใจก็มาถึงด้านหลังของหลิวอิงเผิงแล้ว ตำแหน่งของคนทั้งสองสลับกันอีกครั้งในชั่วขณะ พูดมาเหมือนจะยาวนาน แต่แท้จริงก็แค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น หัวใจของคนที่อยู่ด้านล่างะโขึ้นไปร่วมด้วยแล้วร่วงกลับมาใหม่ กลับไปกลับมาจนรู้สึกตึงเครียดยิ่งกว่าคนที่สู้อยู่เสียอีก
ชัดเจนว่าหลิวอิงเผิงก็ไม่ได้ประเมินหลัวฉี่ต่ำไป ตอนที่บรรยากาศรอบตัวของหลัวฉี่เพิ่งจะเปลี่ยนไปนั้น เขาก็มีปฏิกิริยาตอบสนองต่ออันตรายอย่างรวดเร็ว ในขณะที่หลบไปนั้น กระบี่ในมือก็เข้าปะทะกับกระบี่ใหญ่ของหลัวฉี่ เสียงกระบี่สองเล่มปะทะกันดังจนทำให้ผู้คนที่อยู่โดยรอบสั่นสะท้าน คนทั้งสองที่ถูกปราณกระบี่อันรุนแรงจากฝ่ายตรงข้ามบังคับให้ไม่อาจไม่ถอยหลังไปได้ ถึงแม้ว่าเมื่อเทียบกันแล้วหลิวอิงเผิงจะถอยหลังไปหลายก้าวกว่า แต่ในใจของหลัวฉี่ก็ยังอดจริงจังขึ้นหลายส่วนไม่ได้
ถึงแม้หลิวอิงเผิงจะไม่เป็ที่รู้จัก แต่ประสบการณ์ต่อสู้กลับไม่น้อยเลย การคาดเดาและปฏิกิริยาโต้กลับของเขาเองก็ไม่เลว ถือเป็คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากทีเดียว หากเทียบกันบนแผ่นดินใหญ่นี้ก็น่าจะเป็ยอดฝีมือที่ถูกจัดให้อยู่ในอันดับต้นๆ เช่นกัน แต่ว่า...ถึงแม้หลัวฉี่จะตกตะลึงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ใสักเท่าใดนัก หลิวอิงเผิงเมื่อเทียบกับเขาแล้วยังถือว่าห่างชั้นอีกมาก
ในตอนที่คนทั้งสองเข้าประมือกันอีกหลายกระบวนท่านั้น จิ่งจื่อก็ลงมาจากต้นไม้แล้วกลับไปตรงหน้าพวกอ๋าวหราน ตำแหน่งที่เขายืนนับว่าไม่เลวทีเดียว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเวทีเขาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ดังนั้นพอเขาจากมาก็เริ่มมีผู้คนเข้าไปแทนที่เขาแล้ว
จิ่งเซียงเห็นเขากลับมาก็ถามอย่างประหลาดใจว่า “จบแล้วหรือ? เหตุใดพวกเขายังไม่แยกย้ายกันไปอีก?”
จิ่งจื่อส่ายศีรษะ “ยัง แต่ว่าหากหลัวฉี่ไม่แอบซ่อนพลังที่แท้จริงก็คงใกล้แล้ว”
จิ่งเซียงตีเขา “เช่นนั้นเ้ายังไม่ไปจับตาดูให้ดีอีก ดูความสามารถที่แท้จริงของเขา”
จิ่งจื่อหัวเราะดังฮิๆ “ไม่ต้องดูหรอก หลัวฉี่สู้พี่จิ่งฝานไม่ได้แน่ แน่นอนว่าไม่ใช่คู่มือของพี่เหยียนด้วย”
พูดจบแล้วก็ยังพูดต่อด้วยความไม่เต็มใจอยู่เล็กน้อย “แต่ว่าน่าจะแข็งแกร่งกว่าข้า”
จิ่งเซียงดีใจ “จริงหรือ?”
จิ่งจื่อพยักหน้า “อืม ถึงแม้เขาจะไม่ได้แสดงพลังออกมาทั้งหมด แต่ก็นับว่าเกินครึ่ง ต่อให้จะแข็งแกร่งกว่านี้ก็คงไม่มากเท่าไรแล้ว”
ในเมื่อจิ่งจื่อพูดแล้ว เช่นนั้นก็มั่นใจได้ จิ่งเซียงดีใจยิ่งกว่าเดิม “พี่ ท่านจะต้องได้ที่หนึ่งแน่”
จิ่งฝานมองไปทางอ๋าวหรานทีหนึ่ง “ยังมีทางเต๋อรั่วอยู่อีก ข้าชนะไม่ได้หรอก”
จิ่งเซียงเศร้าไปในทันใด พูดตามจริงแล้วจนถึงวันนี้นางก็แค่ได้ยินอ๋าวหรานอธิบายให้ฟังเื่ตระกูลทาง ในใจก็ยังจินตนาการไม่ค่อยออกนัก อดทำปากยื่นแล้วพูดไม่ได้ว่า “ไม่แน่เขาอาจจะสู้ท่านไม่ได้ก็ได้”
จิ่งฝานไม่ต่อบทสนทนาอีก สายตากลับมองไปทางอ๋าวหรานอีกครั้งหนึ่ง แววตาแปลกประหลาดเต็มไปด้วยอารมณ์มากมายที่ไม่รู้ว่ามาได้อย่างไร ซึ่งทำให้อ๋าวหรานคาดเดาไม่ออกราวกับมีหนามตำอยู่ที่หลัง อ๋าวหรานอดคิดไม่ได้ว่าหรือจะเป็เพราะตัวเองบังคับให้เขาแพ้จึงทำให้เขาโกรธเข้าให้แล้ว? คิดได้ดังนั้นอ๋าวหรานก็รู้สึกว่าช่างหาเื่ให้ตัวเองจริงๆ
ความคาดเดาของจิ่งจื่อไม่มีผิดพลาด ถึงแม้ความสามารถของหลิวอิงเผิงจะไม่เลว แต่ชื่อเสียงอัจฉริยะวัยเยาว์ของหลัวฉี่ที่ครอบคลุมไปทั่วแผ่นดินใหญ่ก็ไม่ใช่คำร่ำลือเลื่อนลอย หากไม่มีจิ่งฝานกับเหยียนเฟิงเกอที่ในนิยายได้กำหนดมาแล้วว่าต้องได้ขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุด แน่นอนว่าตอนนี้ก็ต้องรวมตระกูลทางเข้าไปด้วย ให้เวลาหลัวฉี่ได้เติบโตขึ้นอีกไม่กี่ปีก็น่าจะนับได้ว่าเป็อันดับหนึ่งใน่อายุนี้แล้ว แต่ในนิยายเื่นี้เขาถูกกำหนดให้เป็แค่ตัวรับะุแทน
ชื่อเสียงความเป็อัจฉริยะของเขานั้นเป็สิ่งที่พวกหลิวอิงเผิงยากที่จะเทียบได้ แต่สำหรับตัวเอกแล้วกลับไม่คู่ควรที่จะถูกเอ่ยถึง แม้ว่าเขาจะสามารถก้าวข้ามคนรุ่นเดียวกันนับไม่ถ้วนได้ และกลายเป็ผู้นำของคนในรุ่นเดียวกัน แต่พวกตัวละครเอกนี้กลับเป็พวกที่จะก้าวข้ามคนทั้งแผ่นดินใหญ่ กระทั่งทำได้ถึงขั้นหนึ่งคนสู้ร้อยคน เป็ผู้ที่จะเหยียบอยู่เหนือคนนับหมื่นและใช้สายตาอันโอหังทอดมองใต้หล้า พวกเขาคือคนที่จะกลายเป็ผู้ใต้หล้านี้เพียงหนึ่งเดียว เมื่อคนพวกนี้แข็งแกร่ง แน่นอนว่าต้องแข็งแกร่งถึงขนาดที่คนธรรมดาไม่อาจเทียบได้
ถึงแม้วรยุทธ์ของหลัวฉี่จะโดดเด่น แต่เขาชอบใช้คุณธรรมสยบคน ขอแค่เป็คนที่เคยรู้จักกับเขามาบ้าง ล้วนไม่มีใครไม่เอาแต่ชมเขา ทั้งอ่อนน้อมมีมารยาท ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขาเป็คุณชายสูงศักดิ์ มีตระกูล และความประพฤติดี ดังนั้นต่อให้หลิวอิงเผิงจะถูกเขาซัดร่วงไปหลายครั้งแล้วก็ยังไม่รู้จักพอ ยังคงยืนหยัดลุกขึ้นมาใหม่ ถึงแม้ในใจของหลัวฉี่จะเริ่มรำคาญแล้ว แต่สีหน้าก็ยังคงประดับรอยยิ้มสงบนิ่งเหมือนเดิม ยังคงเก็บแรงส่วนหนึ่งเอาไว้ แล้วสะบัดกระบี่ไล่บี้หลิวอิงเผิงลงจากเวทีประลองไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“พี่หลิวออมมือแล้ว ได้พบเจอคู่ต่อสู้ที่น่านับถือแล้ว การประลองรอบนี้ข้าได้อะไรมากมายจริงๆ”
หลิวอิงเผิงใช้แรงไปไม่น้อย พยายามยืนขึ้นอย่างยากลำบากแล้วคารวะกลับไปอย่างนอบน้อม “เป็พี่หลัวต่างหากที่ออมมือ ไม่เช่นนั้นข้าคงแพ้ไปนานแล้ว เป็ข้าต่างหากที่ได้อะไรกลับไปมากมายจากการประลองครั้งนี้”
หลัวฉี่ยิ้ม “มิได้ๆ หากมีโอกาสก็หวังว่าจะได้ประลองกับพี่หลิวอีกสักรอบ สาแก่ใจจริงๆ”
หลิวอิงเผิงพยักหน้า “ข้าเองก็เช่นกัน หากต่อไปมีโอกาสต้องไม่พลาดอย่างแน่นอน”
หลัวฉี่ลงมาจากเวทีก็ได้รับเสียงปรบมืออย่างล้นหลาม การประลองครั้งนี้จิ่งจื่อไม่ได้ดูจนจบ แต่ก็นับว่าเป็อีกหนึ่งการประลองที่น่าดูเป็อย่างมาก ปฏิกิริยาตอบกลับของหลิวอิงเผิงรวดเร็ว วรยุทธ์ก็ดี สามารถรับกระบวนท่าของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างมั่นคง แข็งแกร่งกว่าผู้อื่นในการแข่งขันครั้งนี้มาก แต่ถึงแม้จะเป็เช่นนั้น หลัวฉี่ก็ยังคงออกท่าทางได้อย่างสบายๆ ไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าแข็งแกร่งจนไร้คำบรรยาย เมื่อทุกคนลองจินตนาการกันว่าหากตัวเองสู้กับหลัวฉี่คงจะรับได้แค่ไม่กี่กระบวนท่าแน่ เพราะคนผู้นี้แข็งแกร่งของจริง
เทียบกับความครึกครื้นทางฝั่งหลัวฉี่แล้ว เวทีประลองอื่นล้วนไม่มีคนมุงดู จะมีก็แค่พวกอ๋าวหรานที่มองดูอยู่บ้าง เรียกได้ว่าเงียบเหงาอย่างที่สุด จึงทำให้คนพวกนี้ไม่มีกะจิตกะใจจะประลอง บรรยากาศหดหู่ ไร้เรี่ยวแรง
หลัวฉี่ถูกฝูงชนล้อมเอาไว้ ถามนั่นถามนี่ โดยเฉพาะเหล่าสตรีที่มาในครั้งนี้ แต่ละคนราวกับบ้าไปแล้วจนแทบจะพุ่งเข้าใส่เขา ต่อให้รูปลักษณ์ของหลัวฉี่จะธรรมดาสักเพียงไร แต่บนแผ่นดินใหญ่นี้ให้ความสำคัญกับความสามารถ ตระกูลหลัวเดิมทีก็เป็ตระกูลอันดับต้นๆ บนแผ่นดินใหญ่ ตอนนี้หลัวฉี่เองก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ อนาคตต้องไปได้ไกลอย่างแน่นอน ตระกูลหลัวเองเกรงว่าคงได้ยิ่งใหญ่ขึ้นอีกขั้นเพราะหลัวฉี่เป็แน่ ดังนั้นหากสามารถเกาะเขาได้สำเร็จ ก็คงได้เป็ดุจดั่งหงส์บินขึ้นสูงสู่หมู่เมฆอย่างแน่นอน
เทียบกับความหลงใหลของเหล่าสตรีแล้ว บรรดาชายหนุ่มบางคนก็ยังมารุมล้อมหลัวฉี่ด้วยเช่นกัน ถึงแม้จะไม่สามารถเอารูปลักษณ์ความงามเข้าแลกได้เช่นเดียวกับเหล่าสตรี แต่การได้ผูกมิตรเป็สหายก็ไม่เลวเช่นกัน อย่างน้อยก็ให้พอคุ้นหน้าคุ้นตากันบ้าง วันหน้าหากมีเื่ขอร้องให้ช่วยเหลืออะไรก็คงง่ายขึ้น
ถึงแม้จะถูกผู้คนรุมล้อมไว้เช่นนี้หรือพูดนั่นพูดนี่ หลัวฉี่ก็ยังคงรักษาท่าทีและมารยาทต่อเหล่าสตรีอย่างยิ่ง ทั้งยังอยู่ในลู่ทางเป็อย่างดี จึงทำให้เหล่าสตรีทั้งผิดหวังและนับถือเป็อย่างมากด้วยเช่นกัน สุภาพบุรุษแสนดีเช่นนี้ หากพวกนางสามารถเข้าไปนั่งอยู่ในใจเขาได้คงได้รับการทะนุถนอมอย่างดีเป็แน่
ทักทายซ้ายทีขวาที หลัวฉี่ถึงจะสามารถหลุดออกมาจากคนพวกนี้ได้ เขาเห็นพวกอ๋าวหรานเข้าพอดี สายตาของหลัวฉี่หยุดลงบนร่างของเหยียนเฟิงเกอ ถึงแม้เขาจะไม่เห็นตอนที่เหยียนเฟิงเกอสู้ แต่เสียงะโนั้นของหวางฮวายเหล่ยเขาได้ยินอย่างแน่นอน ตอนนั้นเขายังไม่ได้เริ่มประลองกับหลิวอิงเผิง เหยียนเฟิงเกอก็สามารถเอาชนะได้แล้ว ดูแล้วน่าจะมีความสามารถอยู่ไม่น้อยจริงๆ
หลัวฉี่ยิ้มคารวะพวกเขาแล้วเริ่มกล่าวทักทายอีกรอบ “รอคอยที่จะได้ประลองกับพวกท่านบ้างจริงๆ”
พวกอ๋าวหรานเองก็คารวะกลับ คำพูดสุดท้ายของหลัวฉี่พูดว่า 'พวกท่าน' แต่สายตากลับอยู่ที่เหยียนเฟิงเกอ เหยียนเฟิงเกอเองแน่นอนว่าเข้าใจจึงพยักหน้าตอบว่า “พวกข้าก็เช่นกัน”
พวกเขาพูดจาเกรงใจกัน พวกสวีหรงฉี่เองก็เดินเข้ามา เซี่ยเหวินเอ่อมองหลัวฉี่แล้วส่งสายตามองไปตรงๆ “พี่หลัวนี่ช่างเป็ที่นิยมเสียจริง ถูกล้อมจนมิดทีเดียว ขนาดพวกเราอยากเข้าไปรับเสียหน่อยก็ยังเบียดเข้าไปไม่ได้”
คนผู้นี้ชัดเจนว่ากำลังหัวเราะเขาอยู่ แต่หลัวฉี่ก็แค่ตอบกลับไปอย่างนอบน้อมว่า “พี่เซี่ยชอบล้อเล่นเกินไปแล้ว”
อ๋าวหรานมองคนกลุ่มนี้ที่จู่ๆ ก็เข้ามาร่วมวงด้วยก็รู้สึกอยากกุมขมับขึ้นมาทันที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้