เนื่องจากการเดินทางด้วยรถม้าในครั้งนี้ หนทางค่อนข้างจะขรุขระไม่เรียบนิ่ง ทันทีที่รถม้าหยุดลง จึงทำให้เกิดความสงบนิ่งจนมู่อวิ๋นจิ่นต้องลืมตาลุกขึ้นมานั่ง
“ถึงแล้ว” ฉู่ลี่ที่อยู่ด้านข้างพูดเสียงเรียบ
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้าแทนการตอบรับ จากนั้นนางจึงเปิดม่านรถม้าเดินลงมา และพบว่ารถม้าหยุดลงที่เรือนแห่งหนึ่ง เมื่อแหงนดูท้องฟ้าก็ยังเห็นเป็สีดำด้วยยังมืดสนิทอยู่
“ที่นี่ที่ไหนกัน?” มู่อวิ๋นจิ่นมองไปรอบด้าน พยายามคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ใด
“เมืองธารรัตติกร” ฉู่ลี่ชี้แจง
หลังจากนั้น ฉู่ลี่ได้ควักหยกประจำตัวที่เปล่งแสงสว่างออกมาส่องไปทั่วเรือน
มู่อวิ๋นจิ่นเห็นแสงประกายออกมา ความทรงจำของนางจึงปรากฏภาพเหตุการณ์ในวันแรกที่ย้อนเวลากลับมาในยุคโบราณ เหมือนหยกประจำตัวชิ้นนั้น มู่อวิ๋นจิ่นได้เห็นในวันที่ป้าซูตกน้ำเสียชีวิต
แต่หยกประจำตัวชิ้นนี้ได้พลัดตกลงไปที่สระบัวในยามค่ำคืน ทว่าไม่เคยเห็นมันส่องประกายแสงสว่างมาก่อน
ช่างอัศจรรย์อะไรเช่นนี้!
“ห้องที่อยู่ทางตะวันออกว่างอยู่ เ้าไปพักชั่วคราวสักสองสามวันแล้วกัน” ฉู่ลี่ชี้นิ้วบอกทาง
“ได้” มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับ
“อีกหลายชั่วยามกว่าจะถึง่เช้า เ้ากลับไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ข้าจะให้ติงเสี่ยนไปเรียกเ้า” ฉู่ลี่พูดจบก็เดินไปห้องทางตะวันตก
มู่อวิ๋นจิ่นเดินไปผลักประตูให้เปิดออก ก่อนจุดโคมไฟมองดูการตกแต่งในห้อง
ภายในห้องตกแต่งอย่างเรียบง่าย แต่กลับมีสิ่งของอำนวยความสะดวกครบครัน
ทั้งพอยื่นมือไปลูบโต๊ะก็ไม่พบเศษฝุ่นผงติดแม้แต่น้อย ทำให้รู้ได้ทันทีว่ามีคนมาทำความสะอาดอยู่เสมอ มู่อวิ๋นจิ่นจึงจัดเสื้อผ้าเข้าที่แล้วเอนตัวล้มนอนลงบนเตียง
…
ในเช้าวันถัดมา ทั้งที่นางยังเอนตัวพักผ่อนได้ไม่นานนัก แต่ด้านนอกกลับมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น จากนั้นเสียงของติงเสี่ยนก็ลอดเข้ามา “พระชายาตื่นได้แล้วขอรับ”
มู่อวิ๋นจิ่นลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ อ้าปากหาวอยู่หลายครั้ง ก่อนตอบกลับอย่างเพลีย ๆ “ข้ารู้แล้ว”
จากนั้นมู่อวิ๋นจิ่นที่ลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็ที่เรียบร้อยก็พลันนั่งลงที่เก้าอี้ แต่ก็ต้องชะงักค้างไปชั่วขณะ
ภายในห้องนี้ไม่มีโต๊ะสำหรับแต่งหน้า และด้วยความรีบร้อนเมื่อคืน ทำให้นางลืมหยิบแป้งและเครื่องประทินโฉมมาด้วย มีเพียงเครื่องประดับที่นำติดตัวมาเท่านั้น
ทว่าผมเผ้าหลังจากหลับก็ไม่เป็ทรงแล้ว และนางก็ไม่สามารถเกล้าผมด้วยตัวเองได้
คิดไปคิดมามู่อวิ๋นจิ่นได้แต่โทษตัวเอง ด้วยหากรู้ว่าต้องเป็เช่นนี้ นางจะพาจื่อเซียงติดตามมาด้วย บัดนี้นางมีคนรับใช้จนชินเป็นิสัยแล้ว พอไร้จื่อเซียงก็มิอาจใช้ชีวิตได้
จนเวลาล่วงเลยไปครู่หนึ่ง เสียงเคาะประตูของติงเสี่ยนก็ดังขึ้นอีกครั้ง มู่อวิ๋นจิ่นจึงเดินไปเปิดประตู
“พระชา…” ติงเสี่ยนยืนละล่ำละลักเหมือนน้ำท่วมปาก พลางเอียงตัวมองไปทางฉู่ลี่ที่อยู่ข้างหลัง
ฉู่ลี่สวมอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ยืนหันข้าง ด้วยแววตาที่สดใสน่าหลงใหล
นี่เป็ครั้งแรกที่มู่อวิ๋นจิ่นไม่ได้ผลัดแป้งแต่งหน้า ผมเผ้าถูกปัดไปด้านหลังแล้วใช้ผ้าเส้นเล็กรวบมัด อาภรณ์ที่มีเป็ทรงเรียบง่าย กระโปรงยาวเลยหัวเข่าไปเพียงเล็กน้อย ส่วนรองเท้าเป็ทรงสูงที่ยาวมาถึงหน้าแข้ง ดูโดยรวมแล้วพร้อมที่จะบุกลุยได้ทุกที่ ที่สำคัญการที่นางไม่ได้ผลัดแป้งแต่งหน้าเหมือนปกติที่ทำ ทว่ากลับน่าดึงดูดและชวนให้หลงใหลกว่ามาก
“เ้าจ้องมองข้าแบบนี้ทำไม?” มู่อวิ๋นจิ่นนึกว่าฉู่ลี่คงรังเกียจที่นางที่อยู่ในสภาพเช่นนี้ จึงเบะปากเอ่ยขึ้นว่า “ข้าแค่ออกจากจวนแล้วไม่ได้พาจื่อเซียงมาด้วยเท่านั้น คงไม่ใช่จะให้องครักษ์ติงเสี่ยนมาช่วยข้าเกล้าผมผลัดแป้งกระมัง?”
ติงเสี่ยนสำลักเสียงดังออกมาหลายครั้ง “ให้กระผมไปสังหารคนยังง่ายเสียกว่าผลัดแป้งเกล้าผมให้อิสตรี เื่นี้ให้แม่นางจื่อเซียงมาทำดีกว่าขอรับ”
“ดูดีไม่น้อย” ฉู่ลี่ยิ้มมุมปากก่อนเอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ
พอได้ยินคำชมจากปากฉู่ลี่ ใบหน้าของมู่อวิ๋นจิ่นกลับแดงระเรื่อขึ้นมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว “องค์ชายหกสายตาไม่เลวนี่!”
จากนั้นมู่อวิ๋นจิ่นจึงกวาดสายตาสำรวจไปทั่วเรือนแห่งนี้
เนื่องจากเมื่อคืนที่ผ่านมาท้องฟ้ามืดสนิท จึงเห็นเพียงเรือนเล็ก ๆ เท่านั้น ทว่าในเวลานี้ หลังจากสำรวจดูแล้วกลับพบว่าด้านหลังเรือนยังมีทางเดินอีกหลายเส้น
“ไปกันเถอะ” ฉู่ลี่เหลือบมองมู่อวิ๋นจิ่น จากนั้นเดินออกจากประตูไป
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับแสดงถึงความเข้าใจ
เมื่อเดินออกจากเรือนแล้วกลับพบซอยเล็กซอยน้อยมากมาย มู่อวิ๋นจิ่นจึงเดินตามหลังฉู่ลี่ติด ๆ พลางมองสำรวจไปรอบตัวด้วยความตื่นตาตื่นใจ
ไม่นานนักหลังจากที่เดินผ่านซอยมากมายแล้ว ฉู่ลี่ก็พามู่อวิ๋นจิ่นมาถึงถนนเส้นหลักของเมืองธารรัตติกร
ยามนี้เป็่เวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะโผล่ขึ้นจากขอบฟ้า ถนนหนทางจึงยังมีผู้คนไม่มากนัก มีเพียงร้านอาหารเล็ก ๆ กับบรรดาป้า ๆ ที่ออกมาจับจ่ายตลาด
มู่อวิ๋นจิ่นเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้กลิ่นหอมอันเย้ายวนของขนมเปี๊ยะปิ้งและซาลาเปาลอยโชยมา ในขณะที่นางกำลังจะเดินไปซื้อเพื่อจะได้ ฉู่ลี่กลับเลือกเดินเข้าไปในร้านอาหาร
“นายท่านรับอะไรดีขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งเดินกุลีกุจอเข้ามาพร้อมกับกระดาษรายชื่ออาหาร
“เอาอาหารเช้าที่ดีที่สุดของร้านมาทั้งหมด” ติงเสี่ยนเอ่ยปากสั่งแทนฉู่ลี่
เสี่ยวเอ้อร์ปริปากยิ้มแย้ม รีบหันกลับวิ่งไปหลังร้าน
ไม่นานนัก บนโต๊ะก็ละลานตาไปด้วยอาหารที่ประณีต ทั้งโจ๊กและของทานเล่น แต่ว่ามู่อวิ๋นจิ่นกลับไม่ค่อยดูจะมีความตื่นเต้นเสียเท่าไหร่ ด้วยในหัวของนางมีเพียงขนมเปี๊ยะปิ้งข้างทาง
“พวกเ้าทานไปก่อนเลย ข้าขอออกไปข้างนอก ประเดี๋ยวจะรีบกลับมา” มู่อวิ๋นจิ่นพูดจบก็วิ่งออกไปข้างนอกทันที
ฉู่ลี่จึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
ทันทีที่มู่อวิ๋นจิ่นวิ่งออกมาหน้าร้านก็พุ่งตรงไปที่ร้านข้างทาง เห็นขนมเปี๊ยะปิ้งราดน้ำผึ้งแล้วเอ่ยปากสั่ง “ข้าเอาห้าชิ้น”
“ได้เลย เพิ่งออกจากเตายังร้อน ๆ อยู่เลย” เ้าของร้านใช้กระดาษห่อขนมเปี๊ยะปิ้งห้าชิ้น
มู่อวิ๋นจิ่นจ่ายเงินเรียบร้อยก็ยื่นมือรับของ ก่อนจะหยิบขนมขนมเปี๊ยะปิ้งออกมาลิ้มรสชิ้นหนึ่ง
พอนางเดินกลับมาที่หน้าร้านอาหาร ขนมเปี๊ยะปิ้งในมือก็ได้เข้าไปอยู่ในท้องของนางแล้วหนึ่งชิ้น ส่วนชิ้นที่เหลือก็ยัดใส่ช่องเสื้อด้านใน
ภายในห้องอาหาร เห็นเ้านายและองครักษ์กำลังทานอาหารเช้าอย่างสบายอุรา
มู่อวิ๋นจิ่นเดินเข้าไปนั่ง หยิบทัพพีตักโจ๊กใส่ชาม ระหว่างที่นางกำลังจะใช้ช้อนตักเข้าปาก กลับมีเสียงเยาะเย้ยดังขึ้นจากด้านข้าง “เศษขนมที่ติดอยู่มุมปากยังเช็ดไม่สะอาด”
เมื่อได้ยินเสียงกลั้นหัวเราะเยาะของฉู่ลี่ มู่อวิ๋นจิ่นจึงรีบยกมือขึ้นลูบริมฝีปาก แล้วหันไปแสยะยิ้มให้กับฉู่ลี่
“พระชายา วันนี้แต่งตัวได้เหมือนจอมยุทธ์สตรีเลยขอรับ” ติงเสี่ยนหันไปยิ้มให้มู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินก็กำมือขึ้นทั้งสองข้าง “อย่างนั้นองครักษ์ติงจะสอนวิทยายุทธ์ให้ข้าหรือ?”
“เื่นั้นปล่อยให้เป็หน้าที่ขององค์ชายดีกว่าขอรับ”
…
หลังจากทั้งสามคนนั่งรับประทานอาหารเช้ากันเสร็จสิ้น ผู้คนต่างเริ่มเดินถนนมากขึ้นแล้ว
มู่อวิ๋นจิ่นคอยเดินตามฉู่ลี่อยู่ด้านหลัง โดยมิทราบว่าฉู่ลี่้าไปที่ไหนกันแน่ ด้วยกลัวเขาจะบ่นว่าตนเป็ภาระจึงมิได้เอ่ยถาม
เมื่อเวลาล่วงเลยเข้าสู่ฤดูร้อน แสงตะวันมักสาดแสงส่องลงมาจนแสบตาไปหมด ทั้งสามคนเดินไปจนถึงนอกเมืองก็หยุดพักลงที่ใต้ตีนูเา
“เ้าจะเดินขึ้นูเาอย่างนั้นหรือ?” มู่อวิ๋นจิ่นถอนหายใจ พลางแหงนหน้าขึ้นมองูเา ด้วยความรู้สึกเวียนหัวคล้ายจะเป็ลม
“เ้าจะไปหรือไม่?” ฉู่ลี่เห็นมู่อวิ๋นจิ่นมีท่าทางหวาดกลัวความร้อนระอุ
มู่อวิ๋นจิ่นเม้มปากแน่น ก่อนที่จะพยักหน้าตัดสินใจ “ไปอย่างแน่นอน”
“อืม”
ฉู่ลี่กับติงเสี่ยนได้เดินนำหน้าขึ้นูเาไป โดยมีมู่อวิ๋นจิ่นเดินอยู่ด้านหลัง ทว่าระหว่างที่นางเหยียบย่ำก้าวเดินขึ้นูเา กลับััได้ถึงลมที่พัดผ่านอย่างอัศจรรย์
ด้วยเหตุนี้นางจึงถือโอกาสหันหลังในจังหวะที่ฉู่ลี่เผลอ ยื่นมือออกไปััถึงลมที่พัดผ่านนั้น
หรือว่าูเาลูกนี้จะมีกลไกลึกลับซ่อนเร้นอยู่
มู่อวิ๋นจิ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะวิ่งตามฉู่ลี่ไป
ตลอดทางที่ขึ้นูเา มู่อวิ๋นจิ่นสังเกตเส้นทางอยู่ตลอดเวลา ทว่าความคิดส่วนใหญ่ในหัวกลับมีเพียงแค่ฉู่ลี่ที่อยู่ข้างหน้า
ทำตัวลึกลับมีลับลมคมใน
หลังจากเดินขึ้นไปได้ครึ่งทาง ฉู่ลี่ก็เปิดฟางหญ้าที่ปกปิดออกแล้วเดินเข้าไปในถ้ำที่มืดสนิท
มู่อวิ๋นจิ่นมองดูด้วยความแปลกใจก่อนเดินตามเข้าไปติด ๆ
พอเดินเข้าไปในถ้ำก็มีสายลมเย็นะเืพัดวูบมาจากด้านหลัง
ฉู่ลี่หยิบหยกประจำตัวส่องแสงนำทาง และค่อย ๆ เยื้องย่างลงบันไดไปอย่างเชื่องช้า
ไม่นานนัก เขาก็ได้หยุดยืนตรงสถานที่ที่มีลักษณะคล้ายกับสระน้ำ
มู่อวิ๋นจิ่นก็หยุดฝีเท้าลงหันมองไปทางนั้นด้วยเช่นกัน
“นี่มันคืออะไรกัน?” มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย
“สระบัวดำ” ฉู่ลี่ตอบยิ้ม ๆ
มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วถามขึ้น “สระบัวที่มีสีดำอย่างนั้นหรือ?”
“อืม” ฉู่ลี่พยักหน้ารับ
มู่อวิ๋นจิ่นนั่งยองพินิจพิเคราะห์ ดอกบัวขาวเป็สัญลักษณ์ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ส่วนดอกบัวดำเป็สัญลักษณ์ความมืดมิด
ฉู่ลี่เอาเวลามาปลูกดอกบัวดำเหล่านี้ไปทำไมกัน
“องค์ชาย นักพรตท่านนั้นเคยกล่าวไว้ว่าดอกบัวดำนั้นต้องเลี้ยงจนครบสามปีถึงจะผลิบาน บัดนี้เหลือเพียงร้อยกว่าวันเท่านั้นเอง ไม่รู้ว่าดอกลัวดำจะเบ่งบานจริงไหมขอรับ” ติงเสี่ยนยืนถามอยู่ด้านข้าง
“ดอกบัวดำมันมีอะไรน่าอัศจรรย์หรือ? ทั้งยังต้องรออีกสามปีกว่าจะบานอีก!” มู่อวิ๋นจิ่นหันมองฉู่ลี่
ฉู่ลี่เพียงตอบกลับอย่างราบเรียบว่า “เพราะมันน่าอัศจรรย์ จึงต้องรอถึงสามปีเต็ม!”
“…” มู่อวิ๋นจิ่นพึมพำกับตัวเอง การที่ฉู่ลี่พูดออกมาก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เขานิ่งเงียบเลยแม้แต่น้อย
แม้ภายในใจจะคิดเช่นนั้น แต่ทว่าภายในถ้ำแห่งที่มีดอกบัวดำก็พอทำให้นางกระหายใคร่รู้อยู่บ้าง หรือว่านี่จะเป็สิ่งที่ฉู่ลี่ตามหามาโดยตลอด?
คนผู้นี้ช่างมีความลับมากมายเหลือเกิน
…
หลังจากที่เดินออกมาจากถ้ำแล้ว ติงเสี่ยนเดินเข้าไปถามฉู่ลี่ข้างหู “ตอนนี้จะไปพบนักพรตท่านนั้นเลยหรือไม่ขอรับ?”
ฉู่ลี่หันมองมู่อวิ๋นจิ่นด้วยความพินิจพิเคราะห์
มู่อวิ๋นจิ่นเห็นเช่นนั้นพลันทราบได้ไม่ยากว่าฉู่ลี่ไม่อยากพานางไปด้วย จึงเอ่ยขึ้น “พวกเ้าไปกันเถอะ เมื่อครู่ข้ายังมีของแปลกตาแปลกใจที่สนใจอยู่ไม่น้อย ข้าสามารถเดินเล่นคนเดียวได้”
“อีกอย่างข้าจำทางกลับเรือนได้แม่นยำ” มู่อวิ๋นจิ่นพูดเสริมขึ้น
“เ้าไปเดินคนเดียวก็ระวังตัวด้วย หากเกิดเื่ก็เป่าสัญญาณเรียกองครักษ์ลับ” ฉู่ลี่กำชับ
“รู้แล้ว” มู่อวิ๋นจิ่นตอบ
เมื่อตกลงกันเป็ที่เรียบร้อยแล้ว ฉู่ลี่กับติงเสี่ยนใช้วิชาตัวเบาดีดตัวล่องลอยอยู่กลางอากาศ พริบตาเดียวก็หายวับไปสุดลูกหูลูกตา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้