รอบด้านมีแต่เงาไม้ไหวภายใต้ความมืดมิด สามารถเห็นแสงตะเกียงรางๆ จากสถานที่ไกลออกไป
เรือนเก่าหลังนี้ตั้งอยู่ในที่ค่อนข้างเปลี่ยว บ้านที่อยู่ใกล้สุดยังอยู่ห่างออกไปร้อยกว่าเมตร
"เจี๊ยกๆ" อาเหลยย่องกลับมาั้แ่ตอนไหนไม่อาจรู้
หลังฟ้ามืด คนแปลกหน้าจากกันไปหมดแล้ว ความกล้าของอาเหลยถึงกลับมา และเริ่มซุกซนวิ่งไปทั่ว
"อาเหลย หิวแล้วใช่ไหม รอหน่อยนะ" เซวียเสี่ยวหรั่นย่อตัวลงอย่างยากเย็นลูบศีรษะของมัน
"อาเหลย ออกจากป่าแล้ว คนเยอะขึ้น เ้าดูสิ ที่ที่มีแสงตะเกียงวับวาวตรงนั้นล้วนมีคนอาศัยอยู่ หากไม่มีอะไรก็อย่าดอดไปแถวนั้นเชียว ในที่คนจอแจวุ่นวาย มักมีคนความคิดไม่ซื่อแฝงอยู่อย่างน้อยคนสองคนเสมอ"
เซวียเสี่ยวหรั่นลูบหัวพลางกล่าวตักเตือน
อาเหลยคล้ายเหมือนจะเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ
ต้มน้ำเดือดแล้ว เซวียเสี่ยวหรั่นก็หาถ้วยมาใส่คนละถ้วย
หลังดื่มน้ำต้มที่เย็นแล้ว เสียงของซีมู่เซิงก็ดังมาจากนอกเรือน
เซวียเสี่ยวหรั่นวิ่งออกไปเปิดประตู
ซีมู่เซิงมาพร้อมกับตะกร้าไม้ไผ่ในมือ
เซวียเสี่ยวหรั่นรีบรับหนึ่งในนั้นมา รู้สึกเบาๆ พอก้มลงมองก็เห็นว่าเป็พู่กันหมึกและกระดาษ
"ซีมู่เซิง บ้านเ้าใครเรียนหนังสือรึ"
เธอนำเขาเข้ามาในห้องปีกข้าง เบื้องหน้ามีเพียงตะเกียงน้ำมันดวงหนึ่ง แต่ในห้องโถงที่อยู่ติดกันเป็เพียงห้องเปล่าแม้แต่เก้าอี้สักตัวยังไม่มี ไหนเลยจะมีที่วางของ
"ซีเสียนหลานชายข้าเอง เรียนสถานศึกษาส่วนตัวมาได้หนึ่งปีแล้ว รู้จักอักษรไม่น้อยเลย" ซีมู่เซิงหัวเราะ ก่อนวางตะกร้าที่ใส่อาหารลงบนโต๊ะในห้องปีกข้าง
"ต้าเหนียงจื่อ พี่เหลียน พวกท่านกินข้าวกันก่อน เขียนรายการสิ่งของที่้าเพิ่มเติมให้เรียบร้อย พรุ่งนี้เช้าข้าจะแวะมาเอา พวกท่านวางใจเยอะ บิดาข้ารู้หนังสือ ไม่ซื้อมาผิดแน่นอน"
ซีต้าเฉียงเคยศึกษาเล่าเรียนยามเด็กอยู่สองปี ต่อมาสถานการณ์ทางบ้านไม่เอื้ออำนวย ประกอบกับไม่มีพร์ด้านนี้ จึงไม่เรียนต่อ
มาถึงรุ่นของซีมู่คุนกับซีมู่เซิง สถานการณ์บ้านเมืองไม่ดี เกิดเหตุจลาจลวุ่นวาย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ไปเรียนหนังสือ
ตอนนี้ทั้งบ้านจึงมีเพียงซีเสียนคนเดียวที่ได้เข้าสถานศึกษา แรงกดดันย่อมมีไม่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้นค่าเล่าเรียนรวมกับค่าของใช้เบ็ดเตล็ดสำหรับการศึกษาเช่นพู่กันหมึกกระดาษก็เท่ากับค่าอาหารของครอบครัวถึงครึ่งปี
หากไม่เป็เช่นนี้ พวกเขาก็คงไม่ต้องเสี่ยงอันตรายขึ้นเขาไปล่าสัตว์
"เฮ่อ ขอบใจเ้ามากนะ ซีมู่เซิง"
เซวียเสี่ยวหรั่นไปส่งคนที่หน้าประตูเรือน
"หมูสามชั้นผัดต้นหอม ไข่เจียวจิ่วช่าย [1] หมูผัดถั่วฝักยาว ยังมีข้าวสวยอีกชามใหญ่ อื้อหือ ไม่เลว ไม่เลว กับข้าวทุกอย่างล้วนใส่พริก หึๆ"
เซวียเสี่ยวหรั่นนำกับข้าวในตะกร้าขึ้นตั้งโต๊ะ น้ำลายแทบหก
เธอกลืนน้ำลาย รีบแบ่งข้าวในชามใหญ่ออกเป็สามส่วน หลังจากนั้นก็คีบกับข้าวใส่ชามของพวกเขา
"โอ้โห พริกแดงนี่รสชาติน่าจะเอาเื่" เซวียเสี่ยวหรั่นกินเผ็ดได้ แต่ยังมีคนป่วยกับลิงอีกตัว
"เหลียนเซวียนขาของท่านยังเจ็บอยู่ กินเผ็ดมากไปไม่ค่อยดี ของเผ็ดเหล่านี้กินน้อยหน่อยแล้วกัน"
ไม่ใช่ไม่ค่อยดี แต่ไม่ดีอย่างยิ่ง เหลียนเซวียนได้กลิ่นพริกแสบจมูกมาแต่ไกล
หากกินกับข้าวจานนี้ลงไป คงทรมานท้องน่าดู
เซวียเสี่ยวหรั่นคีบถั่วฝักยาวกับต้นหอม และไข่เจียวครึ่งชามให้เขา
"ลองกินดูก่อน ถ้าอาหารเผ็ดเกินไป ก็เขี่ยไว้ด้านข้าง พรุ่งนี้ซื้อของเสร็จแล้ว ข้าจะทำของอร่อยให้พวกท่านกิน"
เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มกริ่ม อารมณ์ดียิ่ง นานแล้วที่เธอไม่ได้กินอาหารปรกติอย่างเต็มอิ่มเช่นนี้
ไข่เจียวส่วนที่เหลือก็เทใส่ชามของอาเหลย มันไม่ใช้ตะเกียบ ยกชามขึ้นแล้วใช้มือโกยอาหารในชามเข้าปาก
"กินช้าหน่อย กินช้าหน่อย เ้าคงหิวมากสินะ" เซวียเสี่ยวหรั่นขบขัน คีบอาหารใส่ชามของตนเอง ก่อนเดินไปนั่งที่เตียง
ไม่มีเก้าอี้ เธอเหนื่อยพอแล้ว ย่อมอยากจะหาที่นั่ง
"ซี้ด เผ็ดจังเลย" เซวียเสี่ยวหรั่นกัดเนื้อหมูสามชั้น รสเผ็ดในโพรงปากทำให้เธอร้องซี้ดไม่หยุด "แต่สะใจเป็บ้า ฮ่าๆ"
กินอาหารไร้เครื่องปรุงมาหลายเดือน อาหารแม้จะเผ็ดมาก แต่ก็เป็ความเผ็ดที่สาแก่ใจเหลือเกิน
เผ็ดจนแสบปากยังบอกว่าสะใจ เหลียนเซวียนรู้สึกจนใจ เขาแค่ไม่ระวังกินต้นหอมเผ็ดเข้าไปนิดเดียว ก็แสบจนลิ้นชา ต้องพุ้ยข้าวเข้าปากหลายคำถึงจะระงับความเผ็ดได้
ขณะกินคำถัดไป ก็เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น
จนกระทั่งกินเสร็จ เซวียเสี่ยวหรั่นรับชามมาดู ทั้งต้นหอมและถั่วฝักยาวที่ติดรสเผ็ดยังคงนอนนิ่งอยู่มุมหนึ่งของชาม
"ฮ่าๆ " เซวียเสี่ยวหรั่นมีความสุขมาก กินจนอิ่มพุงกาง
เหลียนเซวียนกลอกตาใส่นางอย่างเหลืออด
หลังล้างจานชามเสร็จแล้ว เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบพู่กันหมึกกระดาษจากอีกตะกร้าออกมา
ภายใต้แสงตะเกียงสลัว เธอถือพู่กันในมือพลางเกาศีรษะ
ใช้พู่กันเขียนอักษร? นี่มันยากเกินไปสำหรับเธอ
"แฮ่ม เหลียนเซวียน คือว่า ตอนนี้ท่านคงเขียนอักษรได้ใช่หรือไม่" สีหน้าของเซวียเสี่ยวหรั่นเปี่ยมไปด้วยความหวัง ถ้าให้เธอเขียนเอง เกรงว่าคงออกมาไม่ต่างอะไรกับภาพวาดยันต์กันผี
ไหนบอกว่าเรียนหนังสือมาสิบสองปี? เหลียนเซวียนเหลือบมองด้วยหางตาบางๆ
"แหะๆ" เซวียเสี่ยวหรั่นฝืนยิ้มแกนๆ "แคว้นของพวกเรา ไม่ได้ใช้พู่กันนุ่มๆ อย่างนี้เขียนอักษร ข้าก็เลยไม่ถนัดน่ะ ให้ท่านเขียนดีกว่า"
อีกอย่างคนที่นี่ก็ใช้อักษรตัวเต็ม แม้ว่าเธอพอจะอ่านได้ แต่เขียนไม่ได้จริงๆ
ไม่ใช่พู่กันแล้วใช้อะไรเขียน? เหลียนเซวียนนึกกังขา
"ท่านเขียนเถอะ ข้าจะไปลากโต๊ะมาให้เอง" เซวียเสี่ยวหรั่นกระวีกระวาดย้ายโต๊ะมาวางหน้าเตียง
โต๊ะเอียงกระเท่เร่ไม่เสมอกัน
เซวียเสี่ยวหรั่นวิ่งไปในครัวหยิบฟืนท่อนหนึ่งมารองขาโต๊ะ
"หมึกนี่ต้องฝนรึเปล่า? ใส่น้ำนิดหน่อยแล้วก็ฝนเป็วงกลมก็ใช้ได้แล้วหรือ"
เซวียเสี่ยวหรั่นทำตาปริบๆ มองแท่นฝนหมึกสี่เหลี่ยมในมือกับแท่งหมึกยาวอีกชิ้น
ของโบราณเหล่านี้ เธอเคยเห็นในทีวี
ในยุคปัจจุบัน แม้จะใช้พู่กันเขียนอักษร แต่หมึกที่ใช้เป็หมึกสำเร็จรูป ใครจะไปฝนหมึกเขียนอักษรให้เหนื่อยกันล่ะ
เหลียนเซวียนทำหน้านิ่ง แม่นางผู้นี้มาจากไหนกันแน่?
หลังจากซักไซ้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ในที่สุดก็เซวียเสี่ยวหรั่นฝนหมึกจนเสร็จ
"เอาล่ะ ท่านลองดู เอ้า นี่พู่กัน จุ่มหมึกให้แล้ว นี่กระดาษวางอยู่ตรงนี้ ท่านเริ่มเขียนจากตรงนี้นะ เขียนดีๆ อย่าให้เปลืองกระดาษ ผู้อื่นให้ยืมกระดาษมาแค่สองแผ่น คิดว่ามันคงจะแพงมากสินะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นยัดพู่กันใส่มือเขา แล้วเริ่มบ่นพึมพำ
"ของที่พวกเราต้องซื้อมีเยอะเลย อันดับแรกก็กระทะ ตะหลิว หม้อต้มน้ำ ถังน้ำ กระถางไม้ เก้าอี้ โต๊ะ..."
เธอยกนิ้วนับของแต่ละอย่าง
เหลียนเซวียนเม้มปาก ยกพู่กันอย่างมีสมาธิ
มือของเขาใหญ่และผอมจนเห็นข้อนิ้วชัดเจน แต่ท่าจับพู่กันกลับน่ามองอย่างประหลาด
เซวียเสี่ยวหรั่นดูเขาจรดพู่กันอย่างคล่องแคล่ว ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างลืมว่าจะพูดอะไรไปชั่วขณะ
ปลายพู่กันนุ่มสีหมึกราวกับมีจิติญญายามที่อยู่ในมือเขา บนแผ่นกระดาษเนื้อหยาบ ตัวอักษรงดงามเป็ระเบียบเรียบร้อย ลื่นไหลคล่องแคล่ว เต็มหน้ากระดาษ
เซวียเสี่ยวหรั่นมองแล้วรู้สึกตาลาย ตัวอักษรงดงามขนาดนี้เอามาใช้เขียนรายการของที่ซื้อ ของดีแต่ใช้ไม่คุ้มแท้ๆ
หลังจากเขียนสิ่งของที่นาง้าเรียบร้อย เหลียนเซวียนก็เงยหน้าขึ้น เอ่ยถามอย่างไร้สุ้มเสียง ว่ายังมีอะไรเพิ่มเติมหรือไม่
แต่รออยู่นานก็ไม่ได้คำตอบกลับมา
มือที่กุมพู่กันพลันรู้สึกร้อนลวกกะทันหันเพราะสายตาเร่าร้อนสายหนึ่งจดจ้องอยู่
...
[1] จิ่วช่าย คือกุยช่าย หรือผักดอกไม้กวาด ใบแบนยาว ออกดอกเป็ช่อ มีสรรพคุณทางยา บำรุงสายตา บำรุงกระดูก บำรุงเื ช่วยปรุงแต่งรสอาหารให้อร่อย จึงมักนำมาประกอบอาหาร
