เมือง A ณภัตราคารอาหารจีนกวางตุ้งฉ่ายเยว่จวีในปี 1990 ภัตราคารแห่งนี้ได้รับรางวัล ‘ร้านอาหารจีนที่ได้รับเกียรติ’ จากกระทรวงการค้าภายในประเทศ อีกทั้งยังได้รับอนุญาตจากกรมการค้าแห่งชาติให้ยกย่องเป็ ‘โรงแรมระดับพรีเมี่ยมของประเทศ’
แน่นอนว่าสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของซูหรงหรงไม่ใช่รางวัลที่กล่าวมาข้างต้นแต่เพราะจ้านอี้หยางพูดรายชื่อเมนูอาหารเ่าั้ออกมา คนที่ตะกละอย่างเธอมีหรือจะทนได้
ชื่อเสียงของฉ่ายเยว่จวีนั้นช่างเลื่องลือการจะจองคิวทานอาหารที่นั่นจะต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ราคาอาหารก็ค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้นเธอจึงไปแค่ไม่กี่ครั้งเพราะกลัวฟุ่มเฟือย
แต่ครั้งนี้จ้านอี้หยางเป็คนจองโต๊ะอาหารก็สั่งไว้เรียบร้อยแล้วด้วย และทั้งหมดล้วนเป็ของที่เธอชอบกินทั้งนั้น
แรงดึงดูดนี้...ช่างใหญ่หลวงนัก
ความคิดของเธอแสดงออกมาผ่านใบหน้าและการกระทำทั้งหมดเพียงแต่เ้าตัวไม่ได้สังเกตเห็นเท่านั้นในหัวของเธอกำลังคิดซ้ำไปซ้ำมาว่าเธอจะรักษาภาพพจน์ของเธอไว้อย่างไรในเมื่อเธออยากไปใจแทบขาด แต่บอกเขาไปแล้วว่ายังไม่หิว
ขอพระเ้าอวยพรยัยกระต่ายน้อยซูหรงหรงคิดหาข้ออ้างคำโตเพื่อที่จะได้ไปทานอาหาร
เธอดึงปลายเสื้อของจ้านอี้หยางก่อนจะเงยหน้ามองเขา
“จองที่นั่งแล้วแถมอาหารก็สั่งไว้แล้ว แบบนี้ก็ยกเลิกไม่ได้แล้วใช่มั้ย?"
จ้านอี้หยางแอบดีใจชั่วครู่หนึ่ง
“ไม่ได้"
“ต้องจ่ายเงินแม้จะยกเลิกโต๊ะใช่มั้ย?"
จ้านอี้หยางแกล้งถอนหายใจ
“ใช่น่าเสียดายจริงๆ"
“อุ๊ย ถ้าเราทำตัวฟุ่มเฟือยจะถูก์ลงโทษนะทุกๆ วันฉันจะสอนเหล่านักเรียนตัวน้อยให้รู้จักถึงคุณค่าของอาหารถ้าฉันไม่นึกถึงคุณค่าอาหารเสียเองก็คงไม่ดีโดยเฉพาะนายที่เป็ทหารยิ่งไม่สมควรฟุ่มเฟือย"
ซูหรงหรงแสดงสีหน้าท่าทางจริงจัง
“ดังนั้น?"
จ้านอี้หยางขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยเขารอดูท่าทีของซูหรงหรงและทำการเดาประโยคต่อไปของเธอไว้เรียบร้อย
“ดังนั้นถึงแม้เราจะยังอิ่มอยู่แต่ก็ต้องไปกิน! ไม่ควรจะทิ้งอาหารให้ฟุ่มเฟือย"
โอ้เยซูหรงหรงหาข้ออ้างและจบมันอย่างสวยงามเธอคิดในใจอย่างยิ่งผยองว่าตนเองช่างจะมีความสามารถในด้านนี้จริงๆ ฮ่าๆๆๆ
จ้านอี้หยางกระตุกยิ้มปล่อยให้เธอดีใจไปกับความคิดของตน
“เธอพูดถูกไปกันเถอะ"
ซูหรงหรงยังคงดีใจเพราะคิดว่าจ้านอี้หยางหลงเชื่อในสิ่งที่เธอพูดโดยที่เธอไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าขณะนี้เขากำลังจับมือเธอแล้วพาเธอเดินออกไป เมื่อเดินผ่านโซฟาเขาไม่ลืมที่จะหยิบกระเป๋าสะพายที่เธอเพิ่งจะโยนลงไปเมื่อสักครู่ติดมือมาด้วย
เมื่อเข้าไปในลิฟต์ ซูหรงหรงเพิ่งจะสังเกตว่าจ้านอี้หยางเปลี่ยนชุดที่สวมใส่เรียบร้อยแล้ว
เขาถอดชุดราชการออกไปแล้วตอนนี้เขาสวมเสื้อสเวตเตอร์ เสื้อคลุมตัวนอกเป็สีกากีส่วนท่อนล่างใส่เป็กางเกงลำลองสีอ่อนช่างดูเป็ธรรมชาติและยังดูสะอาดสะอ้านอีกด้วยแม้เสื้อผ้าที่สวมใส่จะไม่ได้หวือหวา แต่กลับดูมีราคาแพง
อีกทั้งการที่เขาใส่ชุดสบายๆยิ่งทำให้เขาดูดียิ่งขึ้นแท้จริงแล้ว...เขาหล่อเสียจนเหมือนกับเป็วัยรุ่นสมัยใหม่ที่ร่ำรวยและมีความสามารถในย่านธุรกิจ CBD แห่งนี้
อ๊ายพี่จ้านคนนี้ช่าง...หล่อทุกมุมมอง พอมองแล้วก็ยิ่งอยากมองมากขึ้นไปอีก
เป็อีกครั้งที่ซูหรงหรงไม่สามารถควบคุมตนเองได้จนเผลอพูดสิ่งที่เธอคิดในใจออกมา
“เวลานายใส่ชุดแบบนี้ช่างดูน่าหลงใหลจริงๆ"
พอพูดจบเธออายจนแทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองตายไปเลย
ซูหรงหรงนี่เธอทำบ้าอะไรลงไปเนี่ย พูดไปแบบนี้เดี๋ยวเขาก็มีหัวข้อมาล้อเธอเล่นอีก
จ้านอี้หยางรู้สึกดีมากเขากดลิฟต์ไปที่ชั้นหนึ่งก่อนจะเบนสายตามามองหน้ายัยกระต่ายน้อยที่กำลังเขินอาย
“ทำให้เธอหลงได้ก็พอแล้ว"
ซูหรงหรงไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจ้านอี้หยางจะไม่พูดอะไรให้เธออายมากขึ้นเธอมองไปที่ใบหน้าของเขาด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคำขอบคุณเธอพยักหน้าตอบรับเขา
“ฉันหลงนายไปแล้ว! จริงๆนะ"
เขาส่งสายตาพึงพอใจมาให้เธอก่อนจะยื่นกระเป๋าสะพายไปให้ยัยกระต่ายน้อยแล้วลูบหัวเธอเบาๆ
“งั้นก็ดี"
ซูหรงหรงรับกระเป๋าสะพายลายพุทราสีแดงคืนมา
ครู่ต่อมาเธอเพิ่งจะรู้ตัวว่าเมื่อครู่ตนเองพูดอะไรออกไปเธอรีบหันหน้าหนีเข้าหากำแพงลิฟต์อย่างเขินอาย
ขายหน้าจริงๆวันนี้โรคบ้าผู้ชายกำเริบมากเกินไปแล้ว
นี่หรือว่าเธอโดนจ้านอี้หยางแกล้งอีกแล้ว
ใบหน้าของจ้านอี้หยางตอนนี้เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเขาเอามือวางไว้บนไหล่ของซูหรงหรง
“หันกลับมานี่จะถึงชั้นหนึ่งแล้ว"
“ไม่เอา"
ซูหรงหรงเอ่ยเสียงแข็งตัวเธอชิดกำแพงราวกับจะฝังร่างกายเข้าไปภายใน
จ้านอี้หยางถอนหายใจก่อนจะค่อยๆหันตัวเธอกลับมาอย่างเบามือเขาสบตาเธอ
“ถูกฉันทำให้หลงไม่ใช่เื่น่าอายเลย"
ซูหรงหรงที่ผละมือที่ใช้ปิดหน้าออกแล้วทุบเข้าไปที่หน้าอกของจ้านอี้หยาง
“ยังจะพูดอีก!"
จ้านอี้หยางคว้ามือของซูหรงหรงทั้งสองข้างเอาไว้ในขณะเดียวกันลิฟต์ก็เคลื่อนมาถึงชั้นหนึ่งพอดีเขาลูบหัวเ้ากระต่ายน้อยไปมา
“เลิกเอะอะได้แล้วเดี๋ยวเธอไปรอฉันที่ประตูหลัง ฉันจะไปเอารถด้านล่าง โอเคมั้ย?"
ซูหรงหรงเองก็พอรู้เื่อยู่บ้างว่าควรจะหยุดโวยวายเธอตอบ “อืม" ก่อนจะค่อยๆออกเดินไปที่ประตูหลัง
เธอหาจุดที่มีแสงสว่างเพื่อไปยืนรอเขาที่ว่างที่เธอยืนอยู่สามารถมองเห็นบริเวณรอบเขตเล็กๆ นี้ได้ทั้งหมด
แม้จะดูใหญ่โตแต่กลับเงียบสงบราวกับ้าจะเก็บรักษาไว้ภายในโดยการตั้งชื่อรองให้คนจำและรักษาชื่อจริงของที่นี่ไว้ ‘เชียนสุ่ยวาน’
พื้นที่สีเขียวของชุมชนนี้ค่อนข้างใหญ่หากไม่มีตึกสูงระฟ้าตึกนั้น ที่นี่อาจจะกลายเป็สวนสาธารณะใหญ่ๆ ได้เลยด้วยซ้ำ ซูหรงหรงคิดในใจ
เฮ้อั้แ่เช้าจนกระทั่งตอนนี้เธอผ่านเื่ราวต่างๆ มาเยอะมากนอกจากเื่ที่จ้านอี้หยางชอบแกล้งเธอแล้วเธอยังหาไม่เจอปัญหาที่สองที่เขาทำอะไรให้เธอไม่พอใจ
อีกอย่างเขาเพียงแค่แกล้งเธอ แต่ไม่ได้ทำร้ายเธอ
จ้านอี้หยาง...
ชั่วขณะนี้ ในหัวของซูหรงหรงมีเพียงแค่...ชื่อของเขา
เมื่อจ้านอี้หยางขับรถออกมาจากโรงเก็บรถเขาก็เห็นซูหรงหรงยืนเหม่อลอยอยู่ข้างถนน ในเขตชุมชนห้ามไม่ให้ใช้เสียงแตรเขาจึงทำได้เพียงขับรถไปเทียบขอบถนนที่เธอยืนอยู่ก่อนจะลดกระจกเรียกเธอ
“ขึ้นรถ"
ซูหรงหรงได้สติกลับคืนมา เธอเพิ่งจะพบว่าจ้านอี้หยางขับรถคันใหม่ออกมา
แลนด์โรเวอร์สีขาวที่ดูแข็งแรงและเปี่ยมไปด้วยพลังช่างเหมาะสมกับสไตล์ของเขาที่เป็ทหาร
เธอเปิดประตูฝั่งข้างคนขับก่อนจะะโขึ้นไปนั่งจ้านอี้หยางเตือนให้เธอรัดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อย
เมื่อพร้อมแล้วแลนด์โรเวอร์สีขาวก็มุ่งหน้าไปที่ภัตราคารฉ่ายเยว่จวีทันที
ภัตราคารฉ่ายเยว่จวีตั้งอยู่อยู่ใจกลางเมืองไม่นานก็มาถึง
จ้านอี้หยางขับรถไปจอด ณจุดจอดรถ เขาให้ซูหรงหรงลงจากรถก่อน แล้วให้เธอรอเขาที่หน้าร้าน
ซูหรงหรงส่งเสียง “อื้ม"เป็การตอบรับอย่างว่าง่าย จากนั้นก็ค่อยๆ ลงจากรถ
เธอเดินข้ามทางม้าลายเพื่อจะไปยืนรอเขาที่ด้านหน้าร้านอาหาร
เมื่อเดินมาได้เพียงครึ่งทางสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นเงาของคนสองคนที่เธอคุ้นเคยดี
กู้แหยนเจ๋อและเฉินหย่าถิง!
ทั้งสองกำลังเดินออกมาจากร้านค้าชื่อดังแห่งหนึ่ง
มือของกู้แหยนเจ๋อโอบอยู่บริเวณเอวของเฉินหย่าถิงศีรษะของเฉินหย่าถิงอิงแอบอยู่ที่ไหล่กว้างเขากิริยาของทั้งสองคนราวกับว่าไม่สามารถมีอะไรมาพรากพวกเขาออกจากกันได้แต่ทว่าภาพดังกล่าวกลับทำให้คนอื่นที่มองเห็นขยะแขยงเสียมากกว่า
มือของทั้งสองเต็มไปด้วยสิ่งของมากมายพวกเขาหัวเราะต่อกระซิกกันอย่างหวานชื่น
ซูหรงหรงที่ยืนมองอยู่กลับพบว่าตนเองนั้น...
ในตอนที่เธอยังคบกับกู้แหยนเจ๋อเขาเองก็เคยพาเธอมาเดินเลือกซื้อของเธอมักจะรังเกียจการที่มาเดินซื้อของโอบเอวกันเช่นนี้เธอมองว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ควรจะทำในที่สาธารณะแต่ทว่า...เฉินหย่าถิงกลับสามารถสนองความ้าให้กับเขาได้และดูเหมือนว่าพวกเขาจะชอบอะไรแบบนี้เสียด้วยซ้ำ
สมควรแล้วมันก็คงเหมือนการเลือกฝาให้กับหม้อ มันจะต้องเลือกชุดที่ใส่กันได้พอดีเท่านั้น
ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าทั้งสองคนนี้ช่างเหมาะสมกัน
ปี๊นนน!
จู่ๆ ก็มีเสียงแตรรถเข้ามาในประสาทหูของเธอพลันภาพเมื่อครู่ก็มลายหายไปตัวของเธอถูกกระชากถอยหลังจนหัวของเธอไปพิงอยู่บนหน้าอกที่เธอคุ้นเคยก่อนที่เธอจะขยับตัวถอยหลังมายืนอยู่บนทางเท้า
“ซูหรงหรง!"
เสียงดุของจ้านอี้หยางทะลุเข้ามาในโสตประสาท
“เธอกำลังคิดอะไรตอนเดินข้ามถนนทำไมอยู่ๆ ก็ไปหยุดเดินกลางถนนแบบนั้น?"
ซูหรงหรงเงยหน้ามองจ้านอี้หยางแปลกแต่จริง เธอที่กำลังถูกเขาตะคอก เธอกลับไม่มีความรู้สึกกลัวเขาเลยแม้แต่น้อย
อาจเป็เพราะว่า...ที่เขากำลังเป็บ้าเป็หลังอยู่นี้ก็เพราะห่วงเธอ
รู้จักกันมาครึ่งวันเหมือนนี่จะเป็ครั้งแรกที่เธอได้เห็นตัวตนของเขาเป็ครั้งแรกหรือเปล่านะที่ได้ยินเสียงเขาโกรธอย่างจริงจัง?
ก่อนหน้านั้นเขามักจะทำตัวสุขุมราวกับเธอเป็ลูกไก่ในกำมือของเขาเขาทำราวกับว่าเขาสามารถจัดการได้ทุกเื่ อยากจะแกล้งเธอเมื่อไรก็แกล้ง
แต่ตอนนี้คำพูดของเขากลับเต็มไปด้วยอารมณ์แต่ทำไมเธอกลับยังทนได้กันนะ?
“จ้านอี้หยาง"
เธอหัวเราะออกมามือของเธอตวัดกอดแขนของเขา ก่อนจะใช้เสียงหวานพูดกับเขา
“ไปกินข้าวกันเถอะฉันหิวแล้ว"
“…”
ความรู้สึกตอนนี้ราวกับเขาเหวี่ยงหมัดด้วยกำลังที่มีทั้งหมดออกไปเต็มแรงทว่าสิ่งที่ได้กลับมาคือผ้าฝ้ายนุ่มๆจ้านอี้หยางที่อารมณ์สูงปรี๊ดเมื่อสักครู่กลับสงบลงอย่างง่ายดายเพียงเพราะรอยยิ้มบนใบหน้าของซูหรงหรง
การกระทำตอนนี้ของยัยกระต่ายน้อยของเขาช่างน่ารักเสียจริงเธอกำลังยิ้มแล้วหัวเราะอยู่ข้างกายเขาเหล่าพลทหารที่เขาฝึกทั้งกองร้อยก็ไม่สามารถทำให้เขาเย็นลงได้เหมือนเธอ
ช่างเถอะนี่เป็ครั้งแรกที่เขารู้สึกพ่ายแพ้
ยัยกระต่ายไม่ใช่ทหารของกองทัพที่เขาดูแลอยู่อย่างไรเสียเธอก็ไม่มีวันจะทำให้เขารู้สึกพ่ายแพ้เช่นนี้อีก...ถ้าเขาไม่เปิดโอกาสให้เธอทำ
“ซูหรงหรง!"
จ้านอี้หยางใช้เสียงเข้ม
“รับทราบ!"
ซูหรงหรงพยักหน้าอย่างจริงจังเพื่อจะแสดงออกว่าเธอฟังเขาอยู่
“ต่อไปนี้ถ้าฉันเดินไปไหนเธอจะต้องเดินไปที่นั่นถ้าฉันจอดรถที่ไหนเธอก็ต้องไปที่นั่นกับฉัน"
ซูหรงหรงแอบคิดในใจ ‘แสดงว่าต่อไปนี้เธอจะต้องเป็เงาตามตัวจ้านอี้หยางเลยใช่หรือเปล่า?’
เธอหัวเราะก่อนจะตอบ “ค่ะ"
แม้แต่ตัวเองยังรู้สึกแปลกๆ
เมื่อครู่นี้เพิ่งจะเห็นกู้แหยนเจ๋อกับเฉินหย่าถิงเดินควงกันแต่เธอกลับ...
กลับไม่มีความรู้สึกมากมายอะไรออกมาความรู้สึกที่ออกมาทั้งหมดคงเป็แค่การได้เห็น...คู่ของหมาตัวผู้ตัวเมียเท่านั้น
พอมามองที่สถานการณ์ตอนนี้เธอที่กำลังคล้องแขนจ้านอี้หยางอย่างอิสระกลับทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก
อ๊าย ที่จริงเธอค้นพบแล้วว่า...พี่จ้านดีกว่านิดหน่อย
ไม่สิ ดีกว่ามากเลยต่างหากเ้าไก่อ่อนกู้แหยนเจ๋อนั่นเทียบเขาไม่ติดเลยสักนิด
ดวงตาของจ้านอี้หยางจ้องมาที่ยัยกระต่ายน้อยที่กำลังหัวเราะเหมือนคนโง่
“เธอหัวเราะอะไร?"
“อุ้ยไม่มีอะไร"
ซูหรงหรงเกาะมือของเขาแน่นขึ้นราวกับแขนของเขาคือหมูหัน
“ฉันคิดถึงหมูหันของฉันแล้ว..."
เมื่อพูดจบเธอเพิ่งจะรู้สึกถึงความไม่ถูกต้อง เธอกำลังเปรียบเทียบจ้านอี้หยางกับหมูอยู่อย่างนั้นเหรอ
ถ้าจ้านอี้หยางรู้เข้าเธอจะถูกเขาฆ่าตายไหมเนี่ย
เมื่อเข้ามาในภัตราคาร จ้านอี้หยางแสดงชื่อของตนสาวสวยที่สวมใส่ชุดกี่เพ้าสีแดงรีบเชิญทั้งสองไปยังที่นั่งของพวกเขาจ้านอี้หยางสั่งให้เสิร์ฟอาหารทันทีสาวสวยร่างบางคนนั้นส่งสายตาหวานซึ้งให้เขาก่อนจะตอบ
“ได้ค่ะคุณผู้ชายรอสักครู่นะคะ"
“เฮ้อ..."
ซูหรงหรงมองภาพเื้ัของสาวสวยคนนั้นก่อนจะลอบถอนหายใจ
จ้านอี้หยางเหล่สายตามามองเธอ
“เป็อะไร?"
“ฉันเดานะ..."
ดวงตาของซูหรงหรงเปล่งประกายก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ
“สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นอยากจะเสิร์ฟให้นายน่าจะเป็ตัวเธอมากกว่าอาหารอุ้ย สายตาของเธอที่ส่งมาหานายตอนที่บอกให้รอสักครู่เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์"
“อ่อ"
จ้านอี้หยางเข้าใจในที่สุดก่อนจะเทชาใส่แก้ว
“ถ้าอย่างนั้นเขาก็คงทำได้แค่คิด"
“หืม?"
ซูหรงหรงมองเขาอย่างสงสัย
จ้านอี้หยางวางกาน้ำชาลง
“ซูหรงหรงพวกเราจดทะเบียนสมรสกันแล้วไม่ใช่หรือไง?"
“ใช่"
“ถ้าอย่างนั้นฉันเป็ของใคร?"
ซูหรงหรงที่ตกหลุมพรางประกาศขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ
“ของฉัน"
แกะน้อยเอ๋ย นี่เป็กฎหมายของบ้านเมืองเชียวนะบ้านเมืองเรามีทหารคุ้มกันปกป้อง เพียงแค่มีเ้าสมุดทะเบียนสมรสเล่มแดงนั่นใครคิดจะมาแย่ง คนนั้นมันต้องตาย ฮ่าๆๆๆ
โต๊ะข้างๆที่ได้ยินเสียงหัวเราะของซูหรงหรงต่างพากันหันมามองอย่างสงสัย
สำหรับจ้านอี้หยางแล้วเขาทำเพียงอมยิ้มมองหน้าซูหรงหรง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความซื่อสัตย์
ซูหรงหรงอยากจะบ้าตายเธอก้มหน้าลง แทบจะมุดตัวเข้าไปในโต๊ะ นี่เธอโดนจ้านอี้หยางแกล้งอีกแล้วหรือนี่...