ขณะนี้หลิวฉีซื่อกำลังโมโห! หลิวเต้าเซียงคิดว่าหลิวเหรินกุ้ยไม่ได้หวังดีนัก
นางอดทนเพราะไม่อยากพูด แต่เมื่อเห็นหลิวฉีซื่อมองมา นางจึงหันไปเอ่ยกับหลิวเหรินกุ้ย “ก็เพราะว่าท่านพ่อกลัวว่าท่านย่าจะไม่แข็งแรง จึงไปจับปลามามากขึ้น ท่านย่าเอ็นดูท่านแม่ จึงแบ่งน้ำแกงปลาให้ดื่มมากหน่อย เมื่อท่านแม่ได้กิน เซียงเซียงของเราถึงได้ตัวอ้วนขาวเช่นนี้ พออุ้มออกไป ใครเล่าจะไม่บอกว่าท่านย่าคือคนที่รักและเอ็นดูหลานสาว”
ปากเล็กของหลิวเต้าเซียงนั้นร้ายกาจอยู่แล้ว หลังจากส่งมอบมงกุฎชั้นสูงให้ หลิวฉีซื่อก็เกิดความสบายใจขึ้นมากแล้วหันไปเอ่ยกับหลิวเหรินกุ้ย “เ้าเป็ผู้ชายจะไปรู้เื่อะไรกัน ขอเพียงกินน้ำแกงปลาหรือน้ำแกงไข่เยอะๆ ก็จะมีน้ำนมให้เด็กดื่ม ย่อมต้องขาวและอ้วนอยู่แล้ว”
“นั่นสิ ถ้าไม่เช่นนั้นจะมีคนชมว่าท่านย่ามีบุญหรือ หลานสาวคลอดออกมาก็ดูมีโหงวเฮ้งดี ทุกคนต่างบอกว่าท่านย่าเมตตา มีบุญยิ่งนัก!” หลิวเต้าเซียงตอนนี้อารมณ์ดี อีกทั้งนางไม่้าให้หลิวฉีซื่อเอาแต่ด่าออกไปทั่ว มิเช่นนั้นคนนอกฟังแล้วคงคิดว่าลูกหลานในบ้านประพฤติตัวไม่ดี ด้วยเหตุนี้คำพูดที่ไม่คิดเงินเหล่านี้ หลิวฉีซื่อ้าเท่าไรนางก็มีให้เท่านั้น
หลิวฉีซื่อยิ้มแป้นด้วยความดีใจ แล้วโบกมือไปที่ไกลๆ เป็สัญญาณให้อุ้มหลิวชุนเซียงไปทางนั้น
เมื่อก้มมองดูหลิวชุนเซียงที่ตัวขาวอวบอ้วน ประจวบเหมาะกับที่เด็กน้อยหันหน้ามา ริมฝีปากเรียวเล็กที่น้ำลายไหลเยิ้ม แล้วส่งยิ้มให้หลิวฉีซื่อ
“นี่ ซานกุ้ย ข้าว่าลูกสามของเ้าคนนี้มีโหงวเฮ้งดีจริงๆ ต่อไปไม่แน่ว่าคงได้ออกเรือนไปในครอบครัวที่ดี”
หลิวฉีซื่อชอบใจกับรอยยิ้มที่ไร้ฟันของนาง สำหรับเด็กทารกเพศหญิงเช่นนี้ นางชื่นชอบอย่างยิ่ง
หลิวเต้าเซียงแอบมองเด็กหญิงตัวเล็กๆ ในอ้อมแขนของตนเอง พลางคิดในใจ ช่างเป็คนมีวิสัยทัศน์ นี่เพิ่งจะตัวแค่นี้เอง ถึงกับเพ้อเจ้อไปไกล
หลิวฉีซื่อหยอกล้อหลิวชุนเซียงไม่กี่ที ด้วยความเหนื่อยล้าทำให้เรี่ยวแรงไม่ค่อยมี จึงพูดคุยไม่กี่คำก็เดินกลับเข้าไปในบ้านใหญ่
หลิวซานกุ้ยอุ้มบุตรสาวคนที่สามมาจากอ้อมอกของหลิวเต้าเซียง แล้วเอ่ยกับนางว่า “ท่านย่าของเ้าเหนื่อยแล้ว อย่าเสียงดังไป ให้นางได้พักผ่อนดีๆ” จากนั้นก็หันไปพูดกับหลิวเหรินกุ้ย “พี่รอง ท่านกลับไปพักที่ห้องปีกตะวันออกก่อน อีกเดี๋ยวก็กินข้าวกลางวัน ข้าจะให้เต้าเซียงไปเรียกท่าน”
หลิวเหรินกุ้ยตกลง แล้วมองไปทางบ้านใหญ่ จากนั้นจึงเอ่ยกับหลิวซานกุ้ย “น้องสาม กับท่านแม่เ้าช่วยพูดหน่อยเถิด เื่ราวบานปลายเช่นนี้ เ้าเองคงไม่้าทอดทิ้งลูกเมียใช่หรือไม่”
หลิวซานกุ้ยตอบอย่างช่วยไม่ได้ “พี่รอง ความคิดของท่านแม่ใช่ว่าท่านจะไม่รู้ เื่แยกบ้านเป็เื่ที่ทิ่มแทงใจนางยิ่งนัก อีกอย่าง ข้าพูดไปยังได้ประโยชน์ไม่สู้พี่ใหญ่ เพียงแต่ห่างไกลไปหน่อย”
เอ๋ ลุงรองเองก็้าแยกบ้านหรือ?
หลิวเต้าเซียงอยากโปรยดอกไม้ ในที่สุดเื่แยกบ้านก็ถึงคราวได้ถกกันเสียที นางกำมือแน่น พยายามเข้า ยั่วยุครอบครัวให้แตกแยกไปทีละบ้าน นี่นางกำลังทำความดีอยู่!
หลิวซานกุ้ยเกลี้ยกล่อมหลิวเหรินกุ้ยอีกสองสามคำ จากนั้นทั้งสองก็แยกย้ายกลับห้องของตน
เขาจ้องมองไปที่หลิวเต้าเซียงที่เป็เหมือนหางเล็กๆ ที่เกาะติดด้านหลังตนเอง จากนั้นวางลูกคนสุดท้องลงบนเตียง แล้วจึงนั่งบนคั่ง
“มีอะไร? เหตุใดไม่ออกไปเที่ยวเล่น?”
หลิวเต้าเซียงบิดตัวอยู่สักพัก แล้วจึงส่งเสียงออดอ้อนน่ารัก “ท่านพ่อ ท่านรีบบอกเื่ที่ไปตำบลเมื่อวานให้ข้าฟังหน่อย เหตุใดจึงคุยไปถึงเื่แยกบ้านได้?”
“เอ๋ นี่ก็สมดังใจหมายของเ้าไม่ใช่หรือ?” หลิวซานกุ้ยหยอกล้อลูกรองที่รัก
หลิวเต้าเซียงขยี้ตา ไม่ผิดนี่นา นี่ก็ยังคงเป็ใบหน้าซื่อตรงของพ่อผู้แสนดี นิสัยของเขาเปลี่ยนไปั้แ่เมื่อไรกัน?
“ท่านพ่อ ข้าน่ะคิดแน่นอนอยู่แล้ว การแยกทางกันไปมีชีวิต ย่อมไม่มีเื่แย่ ท่านแม่เราก็จะได้ไม่ต้องถูกใช้งานหนัก ท่านพ่อ ท่านเลิกอ้อมค้อมได้แล้ว รีบบอกให้ข้าฟังเร็วว่าเื่ราวเป็มาอย่างไร”
หลิวซานกุ้ยทนนางไม่ไหว จึงบอกเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนไปตำบลให้ฟังอย่างละเอียด
หลังจากที่รีบไปตำบลเมื่อคืน แล้วตามหาตัวหลิวซานกุ้ยที่โรงเตี๊ยมฟู่กุ้ย ที่นั่นยังมีแเื่กินข้าวอยู่ ในร้านก็ยังไม่สามารถปิดร้านได้ทันที หลิวฉีซื่อจึงบอกให้เหล่าหวังกลับมาก่อน
นางพูดแบบนี้ “เหล่าหวัง ลำบากเ้าแล้ว” จากนั้นก็เอ่ยยิ้มแย้ม “เดิมทีคิดว่าจะนั่งรถเข็นวัวของเ้ากลับ แต่ข้ามาเพราะมีธุระกับเหรินกุ้ย ตอนนี้เห็นทียังกลับไม่ได้ พวกข้าเองก็ไม่มีหนทาง จึงต้องนั่งรอก่อน โชคดีที่เขาซื้อบ้านเอ้อร์จิ้นย่วนไว้หนึ่งหลัง เบียดเสียดกันสักหน่อยคงพอค้างคืนได้”
เหล่าหวังได้เงินค่ารถ ย่อมไม่ได้เอ่ยอะไรนัก เพียงแต่กล่าวขอบคุณนางไม่กี่คำแล้วเดินทางกลับไป
ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอจนหลิวเหรินกุ้ยเสร็จงานแล้วส่งแขกกลับ เมื่อเขาหันมาอีกที ถึงกับใ “ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงอยู่ที่นี่? แล้วก็ซานกุ้ย เหตุใดเ้าให้ท่านแม่มาที่ตำบลยามค่ำมืดเช่นนี้? มีอะไรถึงไม่มาพูดคุยกันวันรุ่งขึ้น?”
หลิวฉีซื่อเหลือบมองไปร้านขายอาหารที่อยู่ตรงข้ามครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างแง่งอน “ข้ากลัวว่า หากข้ามาช้ากว่านี้ กระทั่งหน้าลูกชายก็คงไม่ได้เจอ”
“ท่านแม่ ท่านกำลังพูดอะไรกัน ข้าจะโตกว่านี้อีกกี่สิบปี ก็ยังเป็ลูกแท้ๆ ของท่านนะ!” หลิวเหรินกุ้ยพูดเช่นนี้ทำให้สีหน้าของหลิวฉีซื่อดูดีขึ้นเยอะ เมื่อเห็นเช่นนี้ เขาจึงมีจังหวะถามหลิวซานกุ้ยว่าเกิดอะไรขึ้น
หลิวซานกุ้ยอ้ำอึ้งไม่ยอมบอก จากนั้นกวาดตามองรอบทิศ แล้วจึงเอ่ยเสียงค่อย “พี่รอง ท่านแม่บอกว่าท่านมีบ้านเอ้อร์จิ้นย่วนที่ตำบลไม่ใช่หรือ เราไปพักผ่อนกันที่นั่นก่อน แล้วข้าจะเล่าให้ท่านฟังอย่างละเอียด”
ใบหน้าของหลิวเหรินกุ้ยดูไม่จืด ช่างสรรหาหัวข้อที่ไม่ควรพูดเสียจริง บ้านเอ้อร์จิ้นย่วนของเขาถูกเ้านายยึดเป็ของชดใช้ไปแล้ว ตอนนี้เขายังคงอาศัยอยู่ในบ้านเช่าก่อนหน้านี้ ทว่าที่โชคดีคือ เงินในบ้านยังคงไม่ได้หายไป วันนี้เขายังคิดอยากขอเงินจากท่านแม่เพื่อเติมเข้าไป แล้วค่อยซื้อบ้านเอ้อร์จิ้นย่วนอีกครั้ง
เมื่อได้ยินหลิวซานกุ้ยเอ่ยถึงเื่นี้ ในใจจึงเกิดความหวาดระแวง หรือว่าน้องสามคิดจะเล็งบ้านของเขา ใครกันที่คิดบังอาจเพียงนี้?
“ท่านแม่ ก่อนหน้านั้นข้าไม่ได้บอกกับท่านอย่างชัดเจน บ้านหลังนั้นไม่ใช่ของข้า แต่ข้ากับสหายร่วมกันซื้อ เดิมทีซื้อมาราคาถูก ตอนนี้จึงขายออกไปแล้ว และได้ส่วนต่างมาเล็กน้อย”
แน่นอนเขาไม่มีทางบอกกล่าวความจริงกับหลิวฉีซื่อ หากพูดออกไป นางคงอาละวาดในโรงเตี๊ยมแน่นอน
“อะไรนะ? ขายแล้ว” ใบหน้าของหลิวฉีซื่อไม่เชื่อ ก่อนหน้านี้นางยังอวดอยู่ว่าบุตรชายตนเองได้ดิบได้ดี
หนก่อนที่หลิวเหรินกุ้ยกลับบ้านแล้วรู้ข่าวว่าหลิวฉีซื่อเตรียมเงินสินสอดให้หลิววั่งกุ้ยเป็จำนวนหนึ่งร้อยตำลึง ก็ไม่สบายใจอย่างยิ่ง ตนเองสู่ขอภรรยาใช้ไปเพียงยี่สิบตำลึง เหตุใดพอถึงตาน้องชายกลับต้องใช้ถึงร้อยตำลึง?
หลิวฉีซื่อถามขึ้น ก็เท่ากับเป็บันไดไม้ไผ่สำเร็จรูปไม่ใช่หรือ? เขาจึงเริ่มปีนขึ้นไปตามบันไดนั้น แล้วเริ่มโอดครวญ “ท่านแม่ ครอบครัวข้ามีลูกสองคนกำลังเรียนอยู่ เด็กทั้งสองคนก็เป็หลานชายของท่านแม่ อาจารย์เองก็บอกว่าทั้งสองคนเรียนดี เดิมทีข้าคิดว่าบ้านหลังนั้นอย่างน้อยก็สามารถอดทนอยู่ไปก่อนสักสองปี ถึงตอนนั้นคงหาเงินได้สักหนึ่งร้อยตำลึง ปรากฏว่า เด็กกำลังโตมักจะทำให้พ่อแม่ยากจน ครอบครัวเรามีถึงสองคน ลำพังอาศัยจากที่ท่านแม่ให้ ก็เพียงพอแค่ค่าเล่าเรียน แต่หากคำนวณค่าใช้จ่ายทุกอย่าง เราจะเหนื่อยให้ตายก็ไม่ควรให้ลูกต้องลำบาก การเล่าเรียนนั้นต้องใช้สมาธิ แม้ข้าจะกินผักดอง ก็มิอาจให้การกินของเด็กทั้งสองคนย่ำแย่”
เดิมทีหลิวฉีซื่ออยากจะบอกว่าการกินจะแย่ได้อย่างไร หยิบจากในโรงเตี๊ยมหน่อยก็เพียงพอสำหรับทั้งสามพ่อลูกกินแล้ว
บังเอิญเกาจิ่วลงมาจากชั้นบน เขาเคยเห็นหลิวซานกุ้ย เมื่อเห็นว่ามีหญิงชราอยู่ด้วยหนึ่งคน จึงเอ่ย “เหรัญญิกหลิว ท่านทั้งสองคือ?”
“อ้อ ท่านนี้คือท่านแม่ข้า ส่วนคนนี้คือน้องสามของข้า มาหาข้าด้วยเื่ด่วน” หลิวเหรินกุ้ยตอนนี้เกรงกลัวเกาจิ่วยิ่งนัก เกาจิ่วผู้นี้ไม่เพียงแค่เด็ดขาด ทั้งยังเกลียดชังผู้อื่นเล่นแง่ลับหลังเขา
เกาจิ่วพยักหน้าอย่างชัดเจน “เมื่อเป็เช่นนี้ ก็พาทั้งสองคนกลับไปพักผ่อนเถิด ข้าจะปิดร้านเอง”
ั้แ่ถูกซูจื่อเยี่ยต่อว่า ตอนนี้เกาจิ่วจึงเฝ้าร้านทุกวันั้แ่เช้าตีห้าถึงกลางคืนสามทุ่ม
หลิวเหรินกุ้ยตอบรับอย่างไหลลื่น หลังจากลากับเกาจิ่ว ก็พาทั้งสองคนไปยังบ้านเช่าของตนเอง
มันคือซานเหอย่วนแบบอี๋จิ้น (ทางเข้าชั้นเดียว) เขากับซุนซื่อพักเรือนกลาง ส่วนบุตรชายทั้งสองและบุตรสาวพักห้องปีกตะวันออก
เมื่อเขากลับถึงบ้าน หลิวฉีซื่อพึมพำว่า หลิวเหรินกุ้ยควรหยิบเอาอาหารที่โรงเตี๊ยมมากินสักหน่อย
ตอนนี้หลิวเหรินกุ้ยที่อยู่ในโรงเตี๊ยมนั้นเหมือนเดินอยู่บนพื้นน้ำแข็งเปราะบาง ไหนเลยจะกล้าทำเื่เช่นนี้อีก
“ท่านแม่ คำพูดนี้ต่อไปท่านอย่าได้พูดออกมาอีก ตอนนี้ตำแหน่งของลูกไม่ง่ายเลยกว่าจะรักษามันไว้ได้ และเพราะท่านแม่ชอบขออาหารจากทางนี้ เ้านายข้าเริ่มไม่พอใจต่อตัวข้า ตอนกลับบ้านเทศกาลเชงเม้ง ซุนซื่อบอกแล้วใช่หรือไม่ว่า ให้ท่านเลี้ยงไก่ให้มากกว่านี้ ท่านแม่อยากกินอะไร ข้าจะได้เอาเนื้อปลาเค็มกับหมูเค็มมาแลกในโรงเตี๊ยมให้”
เขาเป็คนเ้าเล่ห์ คำพูดนั้นไม่มีเอ่ยถึงเื่ที่ตนเองลักเล็กขโมยน้อยจนถูกเ้านายจับได้แม้แต่คำเดียว แม้เป็เพียงการเอาบ้านมาชดเชยเงิน แต่ก็ยังเ็ปใจ เพราะนี่เป็การตัดหนทางหาเงิน จึงคิดแผนการนี้ไว้ใช้กับหลิวฉีซื่อ
หลิวฉีซื่อไม่กล้าตอบ เพียงแค่แอบมองหลิวซานกุ้ย แล้วเอ่ยเสียงค่อย “ก็ต้องดูว่าคนเขาพอใจจะทำหรือไม่”
“ท่านแม่ อะไรคือพอใจไม่พอใจกัน นั่นคือครอบครัวเราไม่ใช่หรือ?” หลิวเหรินกุ้ยไม่เข้าใจ
หลิวซานกุ้ยมองดูทั้งสองคนเริ่มมีแผนการต่อภรรยาตนเอง จึงขัดทั้งสองคน “พี่รอง วันนี้ภรรยาของท่านกลับบ้านไปพร้อมกับพี่ชายของนางแล้ว ทั้งยังพาจูเอ๋อร์กลับไปพร้อมกันด้วย”
“เป็ไปไม่ได้” หลิวเหรินกุ้ยรู้สึกมีลางสังหรณ์บางอย่าง ต้องมีเื่เกิดขึ้นกับภรรยาของเขาแน่ เพราะว่าเขากับซุนซื่อนอนร่วมเตียงเดียวกันมาสิบกว่าปี ไหนเลยจะไม่รู้นิสัยของนาง หากว่านางน้อยเนื้อต่ำใจ เขาคงพอจะเชื่อได้ แต่หากบอกว่านางกล้าทะเลาะกับแม่ตนเอง นั่นคงเป็ไปไม่ได้
เมื่อหลิวซานกุ้ยเห็นเขาพูดเช่นนี้ จึงรู้ว่าหลิวเหรินกุ้ยไม่เชื่อว่าซุนซื่อกลับบ้านมารดาไปแล้ว
จึงบอกเล่าเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนค่ำให้เขาฟัง แล้วเสริมไปว่า “นางยั่วยุให้พี่ชายใช้มีดเชือดหมูฟันท่านแม่เรา ด้วยเื่นี้ ท่านแม่จึงบอกว่า้าปลดนาง ส่วนข้ากับท่านพ่อไม่ได้มีความเห็นใด”
หลิวฉีซื่อมีไหวพริบ จึงเอ่ยตาม “นั่นปะไร ข้าว่าสมควรปลดนางเสีย อีกอย่าง ลูกชายสองคนของเ้าก็โตแล้ว ต่อให้ข้าต้องหาหญิงสาวที่เยาว์วัยกว่ามาเป็บ้านเล็กของเ้าก็ยังดีกว่าเก็บนางหมูตัวเมียหน้าเหม็นนั้นไว้เสียอีก”
บ้านเล็ก? ดวงตาของหลิวเหรินกุ้ยหรี่ลงเล็กน้อย เขาอยู่ที่โรงเตี๊ยม ยามว่างไม่มีอะไรทำ ก็มักจะเห็นลูกสะใภ้วัยสิบห้าสิบหกที่กำลังเนื้อหอมราวกับหัวหอมที่เพิ่งผ่านการรดน้ำมา หลิวฉีซื่อช่างเข้าใจบุตรชายของตนเสียจริง
เมื่อเห็นหลิวเหรินกุ้ยไม่ส่งเสียง จึงรู้ว่าเขาหวั่นไหว
“ท่านพ่อ อะไรคือบ้านเล็ก?” หลิวจื้อไฉไปสังสรรค์กับเพื่อนร่วมชั้นข้างนอกมา กำลังพาน้องชายกลับมาพอดี
-----
