เมื่อหมี่หลันหยางเปิดประเดิม บรรยากาศในห้องเรียนก็พลันคึกคักขึ้นทันที เหล่านักเรียนทยอยลุกขึ้นท่องบทเรียน บ้างก็คล่องแคล่ว บ้างก็ตะกุกตะกัก แต่ทุกคนก็พยายามมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ คุณครูมองดูเหล่าลูกศิษย์ตัวน้อยที่ยกมือกันอย่างกระตือรือร้นก็รู้สึกพึงพอใจ
ครูสาวมองไปยังหมี่หลันหยางที่นั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้นด้วยสายตาความชื่นชมที่ห้องเรียนมีเด็กแบบนี้ คอยกระตุ้นให้เพื่อนๆ คึกคักตามไปด้วย การมีหัวหน้าห้องตัวน้อยแบบนี้ ทำให้ครูรู้สึกว่างานของตนได้รับการยอมรับและสนับสนุนอย่างแท้จริง
"เอาล่ะนักเรียน ต่อไปเราจะเรียนวิชาภาษาจีนกันนะ วันนี้มีเพื่อนใหม่ย้ายเข้ามาเรียนด้วย ครูจะสอนตามแผนเดิมก่อน ให้พวกเธอรู้จักตัวอักษร แล้วค่อยแบ่งเวลามาสอนเพื่อนใหม่เริ่มจากเลขหนึ่ง พวกเธอต้องตั้งใจเขียนหนังสือนะ อย่าส่งเสียงดังรบกวนเพื่อนใหม่ เข้าใจไหมจ๊ะ?"
"เข้าใจแล้วค่ะ/ครับ!"
เสียงขานรับที่ไม่พร้อมเพรียงนัก ทำให้ห้องเรียนดูวุ่นวาย แต่ก็เป็เด็กอายุแค่ห้าหกขวบ ครูจึงไม่อาจคาดหวังอะไรมากไปกว่านี้ แค่รู้ว่าเด็กๆ ตอบคำถามของตนได้ ครูสาวก็ดีใจมากแล้ว
"ถ้าอย่างนั้นมาเริ่มกันเลย วันนี้ครูจะสอนคำศัพท์ใหม่ให้พวกเธอ เนื่องจากมีเพื่อนใหม่ เราจะเรียนคำว่า 'เพื่อน' กันนะ ดูครูเขียนคำนี้บนกระดานก่อนนะคะ"
ครูสาวเขียนคำสองคำลงบนกระดานดำ แล้วค่อยๆ แยกส่วนประกอบ อธิบายเส้นขีดแต่ละเส้นอย่างละเอียด
"นักเรียนทุกคนเข้าใจแล้วหรือยัง มีใครมองไม่เห็นลำดับการเขียนบ้างไหม?"
ครูใช้ไม้บรรทัดเคาะไปที่กระดานดำ ยุคนี้กระดานดำยังทำจากแผ่นไม้ขนาดใหญ่ แล้วทาสีดำทับ เมื่อครูเคาะลงไป ฝุ่นชอล์กสีขาวหม่นก็ร่วงลงมา
มองดูฝุ่นชอล์กที่โปรยปรายในแสงแดด ความคิดของหมี่หลันเยว่ก็ล่องลอยตามไปด้วย ชีวิตของเธอใกล้จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งแล้ว เธอจะได้จับดินสอเขียนหนังสือ นี่ช่างเป็การก้าวะโครั้งใหญ่ การได้จับดินสออีกครั้งในคราวนี้ เธอจะเริ่มต้นชีวิตที่แตกต่างและน่าตื่นเต้น
ชาติที่แล้วชีวิตของเธอแสนจะธรรมดา ั้แ่ประถมจนถึงมัธยมปลาย เธออยู่ในระดับกลางๆ ของห้อง หรืออาจจะค่อนไปทางท้ายๆ ด้วยซ้ำ แต่คราวนี้เธออยากจะเป็ความภาคภูมิใจของพ่อแม่ และเป็ฮีโร่ในใจตัวเอง ดังนั้นเธอต้องพยายามให้มากขึ้นไปอีก เมื่อ์ประทานโอกาสให้เธอได้เกิดใหม่ นั่นก็เพื่อที่จะทำให้เธอแตกต่าง
แต่ในขณะที่คุณครูกำลังสอนเพื่อนใหม่เขียนเลขหนึ่งอยู่นั้น หมี่หลันเยว่กลับกำลังเขียนคำว่า 'เพื่อน' ตามพี่ชาย ตัวหนังสือของหมี่หลันเยว่ไม่สวย เธอจึงเริ่มต้นใหม่ เขียนให้เส้นตรงแนวนอนและแนวตั้งตั้งตรง เหมือนกับชีวิตที่ต้องเดินอย่างซื่อตรง เธอจะไม่ยอมให้ชีวิตของเธอเป็เหมือนตัวหนังสือที่บิดเบี้ยวอีกต่อไป
เมื่อครูสาวเดินมาถึงข้างกายเธอ และเห็นคำว่า 'เพื่อน' ที่เธอเขียน ก็ถึงกับพูดไม่ออก ได้ยินมาว่าเด็กหญิงคนนี้ฉลาดหลักแหลม ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้รับการยกเว้นเป็กรณีพิเศษให้เลื่อนชั้นจากห้องเด็กเล็กขึ้นมาห้องเด็กโตั้แ่อายุเพียงสามขวบ แต่การที่วันนี้เป็วันแรกของการเปิดเรียน เธอก็สามารถเขียนตามตัวอักษรที่ยากขนาดนี้ได้ แถมยังเขียนออกมาดูดีอีกด้วย นับว่าเป็เื่ที่หาได้ยากจริงๆ
"หมี่หลันเยว่ หนูเป็นักเรียนที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ ทำไมไม่เขียนตามที่คุณครูสอนล่ะจ๊ะ?"
ครูสาวโน้มตัวลงถามหมี่หลันเยว่
"คุณครูคะ ตอนอยู่ที่บ้านหนูเคยเรียนแล้วค่ะ แม่สอนค่ะ"
เพราะพี่ชายนั่งอยู่ข้างๆ เธอจึงไม่กล้าบอกว่าพี่ชายเป็คนสอน กลัวจะปล่อยไก่ออกมาหมดเล้า
"อ๋อ อย่างนี้นี่เอง แล้วหนูรู้จักตัวอะไรอีกบ้างจ๊ะ?"
ครูสาวอยากจะลองทดสอบดู แต่หมี่หลันเยว่ไม่กล้าแสดงออกมากเกินไป
"คุณครูคะ คุณแม่สอนหลายตัวเลยค่ะ ‘บน กลาง ล่าง คน ปาก มือ’ อะไรพวกนี้ค่ะ"
ดูเหมือนว่าจะคล้ายกับที่ครูสอนใน่แรกๆ เด็กเล็กขนาดนี้สามารถเรียนรู้ได้มากขนาดนี้ก็นับว่าเก่งมากแล้ว ครูสาวลูบหัวเธออย่างให้กำลังใจ
"ถ้าอย่างนั้นหนูไปเรียนวิชาภาษาจีนกับหมี่หลันหยางนะ แต่หนูยังเด็ก เขียนหนังสือเยอะไม่ได้นะ มือจะรับไม่ไหว กระดูกมือยังไม่แข็งแรง ถ้าเขียนเยอะไปมือจะเสียรูปทรง รู้ไหมจ๊ะ?"
คำเตือนของคุณครูทำให้หมี่หลันเยว่อบอุ่นใจ ครูในยุคนี้ช่างเอาใจใส่จริงๆ
"พี่คะ ครูของพี่ใจดีจังเลย"
เมื่อเห็นว่าครูสาวหันไปดูแลนักเรียนคนอื่นๆ แล้ว หมี่หลันเยว่ก็รีบกระซิบข้างหูพี่ชาย
"แน่นอนอยู่แล้ว ครูของพวกเราใจดีมาก ไม่เคยดุด่า ไม่เคยตีใครเลย"
พี่ชายคนนี้ซื่อเกินไปแล้ว ในความคิดของเขา ครูที่ดีก็คือครูที่ไม่ตีไม่ด่า ช่างเป็คนที่พึงพอใจอะไรง่ายๆ เสียจริง
"อืม หนูว่าแล้ว ครูของพี่ใจดีจริงๆ"
เมื่อได้ยินน้องสาวพูดซ้ำอีกครั้ง หมี่หลันหยางก็หันมามองน้องสาว
"หลันเยว่ ‘ของพวกเรา’ ต่างหากล่ะที่ดีจริงๆ"
เ้าเด็กปากเสีย ยังรู้จักจับผิดไวยากรณ์อีก หมี่หลันเยว่หันหน้าหนี ไม่สนใจเขาอีกต่อไป
แต่ในใจของหมี่หลันเยว่กลับกำลังทบทวนตัวเอง ว่าเธอมีความรู้สึกร่วมกับสิ่งรอบข้างน้อยเกินไปหรือเปล่า ความรู้สึกที่มีต่อสิ่งแวดล้อมนี้ไม่รุนแรงพอ เพราะในความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ หมี่หลันเยว่มักจะรู้สึกว่าตนเองเป็เพียงผู้สังเกตการณ์ในยุคนี้ มักจะััถึงความสุขความเศร้าในฐานะคนนอก ซึ่งทำให้หมี่หลันเยว่รู้สึกหวาดหวั่น
การเกิดใหม่เป็เื่บังเอิญที่เหลือเชื่อ ถ้าเธอเป็แค่ผู้สังเกตการณ์ แล้วมันจะต่างอะไรจากิญญาที่ล่องลอยอยู่ในอากาศล่ะ เหมือนกับที่เธอหวนกลับไปในชาติก่อน ยืนอยู่ข้างหลังชายคนนั้น ััถึงความเ็ปและความเศร้าของเขา แต่เธอกลับทำอะไรไม่ได้
ไม่ได้ แบบนี้ไม่ได้การ เธอจะไม่เป็แค่ผู้สังเกตการณ์ เธอจะหลอมรวมเข้าไปในชีวิตใหม่ จะมีส่วนร่วมในชีวิตของเธอในชาตินี้ทั้งหมด
เมื่อหมดเวลาเรียน หมี่หลันหยางก็ดึงน้องสาวถาม "หลันเยว่ อยากไปเข้าห้องน้ำไหม?"
เขากลัวน้องสาวจะอาย หมี่หลันหยางจึงถามเสียงเบา เขาจะต้องดูแลน้องสาวให้ดีๆ
"ไม่อยากไปค่ะ ไว้คาบหน้าค่อยไปก็ได้"
"ถ้าอย่างนั้นพี่พาออกไปเดินเล่นดีกว่า จะได้ไม่เมื่อย คาบหน้าจะได้มีสมาธิ"
หมี่หลันหยางจูงมือน้องสาวออกไปที่ลาน พาน้องสาวเดินเล่น
หมี่หลันเยว่มองดูพวกเด็กซนที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน พลังอันสดใสมีชีวิตชีวานั้นทำให้เธอรู้สึกซึ้งใจ นี่คือความสุขของการมีชีวิต ที่คอยย้ำเตือนถึงความหมายของการเกิดใหม่
"หลันหยาง พวกเราไปดูหนังสือการ์ตูนกันเถอะ ถ้าไม่มีนายคอยดูแล คุณครูจะไม่ให้พวกเราดู"
เด็กซนช่างเจรจาที่นั่งข้างๆ พี่ชายตอนเรียน ก็เข้ามาเกาะแกะอีกแล้ว
"ไปเถอะนะ หมี่หลันหยาง พาพวกเราไปดูหน่อยนะ"
เขาใช้ไหล่กระแทกหมี่หลันหยาง ทำหน้าอ้อนวอนเหมือนกับว่าถ้าไม่ตกลงก็จะตามติดไม่เลิก
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน การจะดูหนังสือการ์ตูนต้องให้พี่ชายคอยกำกับด้วย พี่ชายคนนี้มีอำนาจล้นเหลือเกิน หมี่หลันเยว่อยากจะตามไปดูบ้าง แต่ก็ได้ยินพี่ชายปฏิเสธเสียก่อน
"ฉันกำลังพาน้องสาวไปเดินเล่นอยู่เลย ไว้คาบหน้าเถอะ คาบหน้าฉันค่อยพาพวกนายไปดูหนังสือการ์ตูน"
หมี่หลันหยางกลัวว่าน้องสาวจะเบื่อกับการนั่งเรียน เขาเองก็รู้ว่าการเรียนในห้องเด็กเล็กไม่ได้เคร่งครัดขนาดนั้น เด็กๆ มีอิสระมาก เขาเห็นน้องสาวเดินวนเวียนอยู่ข้างกระถางดอกไม้เป็ประจำ เดินทีละสิบแปดรอบ กว่าจะหมดชั่วโมง น้องสาวก็จะกลับเข้าห้องเรียนเอง โดยไม่มีใครว่าอะไร
"หลันเยว่ อยากดูหนังสือการ์ตูนไหม ให้พี่ชายพาไปดูดีไหม สนุกมากเลยนะ มีรูปภาพเยอะแยะ แถมยังมีตัวหนังสือเยอะแยะด้วย"
ไม่น่าเชื่อเลยว่าเด็กซนคนนี้จะกลายร่างเป็ตาลุงโรคจิตในพริบตา เริ่มที่จะตีสนิทกับเธอแล้ว
ฉลาดเหมือนกันนี่ รู้ว่าจะเริ่มต้นจากจุดไหนถึงจะทำให้หมี่หลันหยางยอมอ่อนข้อ หมี่หลันเยว่เงยหน้ามองพี่ชาย ก็เห็นว่าเขากำลังมองเธออยู่เช่นกัน แววตานั้นบอกชัดเจนว่า ถ้าเธออยากจะไปดูหนังสือการ์ตูน เขาก็จะพาเธอไปดูทันที
"ไว้คาบหน้าค่อยไปเถอะค่ะ ตอนนี้ใกล้จะเข้าเรียนแล้ว ดูได้ไม่นานหรอก"
มองดูเด็กซนที่ดูเหมือนจะหมดแรงในทันที หมี่หลันเยว่ก็ชูนิ้วเป็สัญลักษณ์สู้เล็กๆ ในใจ อยากจะใช้เธอเป็จุดอ่อนของพี่ชายเหรอ ยังอ่อนหัดนัก
"ใช่แล้ว ใกล้จะเข้าเรียนแล้ว คาบหน้าค่อยไปดูกัน"
หมี่หลันหยางจูงมือน้องสาวเดินกลับเข้าไปในห้องเรียน เด็กคนนั้นฟื้นตัวเร็วมาก ยังคงตามติดอยู่ข้างหลังอย่างไม่ย่อท้อ
"นี่ นายสัญญากับฉันแล้วนะ คาบหน้าพวกเราจะไปดูหนังสือการ์ตูนกัน"
หมี่หลันเยว่หันไปมองคนที่อยู่ข้างหลัง แล้วเชิดหน้าขึ้นอย่างหยิ่งยโส
"ฉันบอกว่าจะพานายไปเหรอ?"
เห็นคนคนนั้นเหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลมอีกครั้ง หมี่หลันเยว่ก็รู้สึกประสบความสำเร็จมาก เดินเข้าห้องเรียนอย่างสง่าผ่าเผย
แน่นอนว่าหมี่หลันเยว่แค่แกล้งเขาเล่นเท่านั้น จะไปถือสากับเด็กเล็กทำไม คาบนี้เป็วิชาคณิตศาสตร์ เรียนเื่ 1+1 กับ 2+2 ซึ่งหมี่หลันเยว่ไม่มีความคิดเห็นอะไรด้วย คาบเรียนจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อหมดเวลาเรียน โดยที่เด็กคนนั้นยังไม่ต้องเร่งเร้า หมี่หลันเยว่ก็ให้พี่ชายพาเขาไปดูหนังสือการ์ตูนแล้ว
หนังสือการ์ตูนเป็สิ่งที่แต่งแต้มสีสันให้กับวัยเด็กของหมี่หลันเยว่อย่างเข้มข้น อาจเป็เพราะพ่อแม่เป็ครู ทั้งคู่จึงไม่เพียงแต่ไม่ห้ามปรามเื่ที่ลูกๆ ชอบดูหนังสือการ์ตูน แต่ยังสนับสนุนอีกด้วย ไม่เพียงแต่ให้เงินพวกเขาไปดูหนังสือตามร้านเช่าหนังสือ แต่ยังซื้อหนังสือการ์ตูนราคาถูกมาให้ลูกๆ ดู
แต่ตอนนี้เธอยังเด็ก หนังสือการ์ตูนก็เพิ่งจะเริ่มเป็ที่นิยม ยังไม่มีค่าใช้จ่ายส่วนนี้ในครอบครัว เมื่อนึกถึงหนังสือการ์ตูนที่บ้านสะสมไว้ในภายหลัง นั่นก็เป็ทรัพย์สินที่ซ่อนอยู่ แถมยังเป็สิ่งที่พี่น้องทั้งสามรักมากที่สุด จนกระทั่งวันที่เธอจากไปด้วยรถโดยสาร พ่อแม่ก็ยังเก็บสะสมหนังสือการ์ตูนเ่าั้ไว้
ในสายตาของผู้ปกครองส่วนใหญ่ นั่นเป็สิ่งที่สิ้นเปลือง พวกเขาจะห้ามลูกๆ ใช้เงินที่ไร้ประโยชน์นี้ ถึงแม้ว่าการเช่าหนังสือการ์ตูนสักเล่มจะมีราคาเพียงหนึ่งหรือสองเฟิน แต่ในยุคที่เงินหนึ่งเฟินสามารถซื้อผักชีหนึ่งกำหรือยางรัดผมสองเส้นได้ ก็ถือว่าเป็เื่ที่เข้าใจได้
เมื่อเห็นเด็กผู้ชายหลายคนที่กำลังตั้งใจอ่านหนังสือการ์ตูน หมี่หลันเยว่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า แม้แต่เด็กที่ซุกซนที่สุดก็ยังมีอีกด้านที่คนอื่นไม่รู้ หนังสือการ์ตูนถึงแม้จะเป็ความบันเทิงอย่างหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็ความรู้และวัฒนธรรมอีกประเภทหนึ่ง การได้ัักับสิ่งเหล่านี้มีแต่ข้อดีสำหรับเด็กๆ
หนังสือการ์ตูนในห้องเรียนมีไม่มาก หมี่หลันเยว่หยิบมาเล่มหนึ่ง อ่านอย่างเพลิดเพลิน
"หลันเยว่ อ่านเข้าใจไหม พี่เล่าให้ฟังไหม?"
หนังสือการ์ตูนพวกนี้ หมี่หลันหยางอ่านมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เนื้อเื่ข้างในแทบจะท่องจำได้ขึ้นใจ
"ไม่ต้องหรอกค่ะพี่ หนูค่อยๆ อ่านเอง ที่นี่มีรูปภาพนี่คะ ดูหลายๆ รอบก็เข้าใจเองค่ะ"
หมี่หลันเยว่ไม่อยากจะแสดงตนว่าเป็คนโง่ ทำเื่ที่แสดงถึงสติปัญญาต่ำ หากเธอ้าที่จะโดดเด่นในชาตินี้ เธอก็จะต้องค่อยๆ แสดงความสามารถของตนเองออกมา ให้คนอื่นเห็นความแตกต่างของเธอ แล้วเร่งฝีเท้าของตนเองให้เร็วขึ้น