สกุลฉินและสกุลอวี้พร้อมใจเข้าเมืองหลวงมาด้วยกันในครานี้ แท้จริงแล้วสาเหตุหลักมาจากสกุลฉิน คนสกุลอวี้ที่ตามมาด้วยมีเพียงนายท่านใหญ่ นางเฉินซื่อผู้เป็ภรรยาและบุตรสาวคนโตอวี้ซือหรง ท้ายขบวนรถม้าของสกุลฉินมีรถม้าของสกุลอวี้ตามมาเพียงสองคัน ญาติพี่น้องคนอื่นๆ ในสกุลอวี้มิได้ตามมาด้วย
หลังจากมาถึงเมืองหลวงแล้ว ก็มิได้ส่งคนติดต่อมาทันทีดังที่ฟางอี๋เหนียงกล่าวไว้
โม่เสวี่ยิ่ป่วยหนักราวกับภูผาถล่ม ลุกจากเตียงไม่ขึ้น โม่ฮว่าเหวินจึงจำเป็ต้องปล่อยตัวฟางอี๋เหนียงออกมา ให้นางมาดูแลโม่เสวี่ยิ่ที่ป่วยหนักอยู่ที่เรือนฝูฉิง
ข่าวลือที่เริ่มแรกยังมีคนพูดถึงไม่มากเริ่มแพร่ขยายไปเป็วงกว้าง ซุบซิบกันทุกตรอกซอกซอย แม้แต่เหล่านายหญิงในสกุลผู้ดีมีเงิน พบหน้ากันยังหยิบยกเื่นี้ขึ้นมาคุย
จากเื่คุณหนูใหญ่ที่เกิดจากอนุภรรยาของจวนโม่คิดจะเกาะกิ่งสูง ไปจนถึงเื่นัดพบเป็การส่วนตัวกับซือหม่าหลิงอวิ๋นทายาทเจิ้นกั๋วโหว ลือกันไปว่าคุณหนูใหญ่ไร้ยางอายปีนขึ้นพระแท่นบรรทมของฉู่อ๋อง แต่ถูกฉู่อ๋องโยนออกมา...
ยิ่งเล่าลือกันไปก็ยิ่งฟังไม่ได้ โม่ฮว่าเหวินได้ยินแล้วก็โกรธจนหน้ามืด แต่กลับไม่อาจทำอะไรได้ ได้เพียงสั่งกักบริเวณโม่เสวี่ยิ่ ขังนางไว้ในเรือนชั้นใน คิดรอให้ข่าวลือซาไปก่อนค่อยว่ากันภายหลัง ทว่าเสียงซุบซิบไม่ลดลงและกลับยิ่งหนักขึ้นอีก สองสามีภรรยาผู้ดูแลจวนมาร้องไห้โวยวายกับโม่ฮว่าเหวินไม่เว้นแต่ละวัน ว่า้าไปเรียกร้องความเป็ธรรมให้บุตรสาวของตนเอง
โม่เสวี่ยิ่เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ชัดเจน โม่ฮว่าเหวินก็ระอาสองผัวเมียคู่นั้นเต็มทน ในที่สุดจึงสิ้นสุดปัญหาลงง่ายๆ ด้วยการจ่ายเงินชดเชยให้ เื่ราวของโม่จิ่นภายในจวนโม่จึงสงบลง
…
จวนฝู่กั๋วกงส่งจดหมายมาเร่งให้โม่เสวี่ยถงไปหา โม่ฮว่าเหวินจึงพาโม่เสวี่ยถงไปส่งด้วยตนเอง
ครั้งนี้โม่ฮว่าเหวินเข้าประตูมาอย่างเป็ทางการ ทั้งยังโขกศีรษะคำนับสวี่เหล่าไท่จวินพร้อมกับโม่เสวี่ยถง และเดินไปยังเรือนที่พักของนาง นำสิ่งของต่างๆ ออกมาจัดวางให้เหมาะสม ต่อไปโม่เสวี่ยถงต้องมาอยู่ที่สกุลลั่วระยะหนึ่ง โม่ฮว่าเหวินไม่วางใจ กลัวว่านางจะไม่คุ้นเคย จึงสั่งให้คนนำเครื่องเรือนของประดับที่นางชื่นชอบมาด้วย
แม้สวี่เหล่าไท่จวินจะไม่ค่อยพึงพอใจบุตรเขยผู้นี้ แต่ก็ทราบว่าเขารักถงเอ๋อร์มาก ในใจจึงรู้สึกเปรมปรีดิ์ ดังนั้นจึงหลับตาข้างหนึ่งและลืมตาข้างหนึ่ง ทำเป็ไม่รู้ไม่ชี้ ลืมความขุ่นเคืองใจในอดีตลงเสีย
โม่ฮว่าเหวินเห็นภายในเรือนก็จัดตกแต่งไปไม่น้อยแล้ว และยังรับปากโม่เสวี่ยถงไปแล้วว่าจะมาเยี่ยมนางบ่อยๆ หลังจากนั้นก็เดินออกไปยังห้องรับรองแขกด้านหน้าที่โม่เสวี่ยถงวนเวียนสายตามองไปไม่หยุด นายท่านใหญ่ฝู่กั๋วกงไม่อยู่เมืองหลวง อยู่แต่นายท่านรอง ยามนี้กำลังรอเขาอยู่ที่ห้องรับรองแขก
เมื่อก่อนโม่ฮว่าเหวินก็เคยมาบ้านสกุลลั่ว แต่หลังจากพาลั่วเสียย้ายไปอยู่เมืองอวิ๋นเฉิงก็ไม่ได้มาอีก พอกลับมาเมืองหลวง เนื่องจากทั้งสองตระกูลมีเื่หมางใจกัน... ก็ยิ่งไม่อาจมาได้ ยามนี้ย่อมไม่คุ้นทางนัก โม่หลันนำพาเขาออกจากเรือนพักมาด้านนอก
พอเดินพ้นจากเรือนของโม่เสวี่ยถง พลันได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของสตรีลอยมาจากหลังูเาหินจำลอง ทราบได้ว่าคงเป็สมาชิกในครอบครัวของสกุลลั่ว แม้ทั้งสองตระกูลจะเกี่ยวดองกัน แต่หากพบหน้าโดยไม่ผ่านการแนะนำตัวให้รู้จักกันมาก่อนย่อมไม่ถูกธรรมเนียม จึงหยุดยืนด้านข้างของูเาจำลอง สั่งให้โม่หลันเดินช้าลงหน่อย แต่จู่ๆ ก็มีร่างคนโผล่พรวดออกมาจากด้านข้างจนชนเขาเข้าเต็มๆ
โม่ฮว่าเหวินเป็ขุนนางฝ่ายบุ๋น ย่อมไม่ทันจับสังเกตอะไรได้ เมื่อมีเงาร่างพุ่งเข้ามาชนก็ไม่ทันมองให้ชัดเจน ทั้งสองต่างเซถลา จิตใต้สำนึกสั่งให้เขากระหวัดร่างของคนผู้นั้นเข้ามาไว้ในอ้อมกอดแล้วล้มลงที่พื้นไปด้วยกัน
“ว้าย... เ้าเป็ใคร ปล่อยคุณหนูของพวกเราเดี๋ยวนี้นะ” เสียงสาวใช้ร้องลั่น โม่ฮว่าเหวินรีบปล่อยมือออกทันที โม่หลันซึ่งอยู่ด้านข้างใจนแทบะโ รีบเข้ามาประคองโม่ฮว่าเหวินให้ลุกขึ้น สาวใช้สองสามคนที่อยู่อีกด้านก็เข้ามาประคองหญิงงามในอาภรณ์หรูหราคนหนึ่งเช่นเดียวกัน โม่ฮว่าเหวินมองผ่านๆ เห็นเป็สตรีอายุประมาณยี่สิบปี แต่ไม่กล้าพิศมองให้ละเอียดนัก รีบชักเท้าถอยห่างออกมาสองก้าว แล้วประสานมือคำนับอย่างสุภาพ กล่าวขอโทษที่ล่วงเกิน จากนั้นก็หมุนตัวจากไป
ไม่รู้ว่านางเป็ใคร คิดได้ว่าสกุลลั่วดูเหมือนจะมีบุตรสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานอายุประมาณยี่สิบปี ยังดีที่เื่นี้เขาไม่ได้ใส่ใจนัก
สวี่เยียนถูกประคองให้ลุกขึ้น สายตามองตามบุรุษผู้องอาจและสุภาพอ่อนโยนที่เดินจากไปด้วยใบหน้าแดงปลั่ง แล้วเอ่ยถามสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ “เขาเป็ใคร”
โม่ฮว่าเหวินอายุสามสิบกว่าปี รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ทั้งยังมีกิริยาวาจาสุภาพอ่อนโยน ยามนี้ถือว่าอยู่่วัยที่สง่างามเป็ที่สุด ชนคนล้มก็ไม่ฉวยโอกาสเอาเปรียบแบบพวกบุรุษเ้าชู้ประตูดินทั้งหลาย สายตาไม่มีล่อกแล่ก ท่าทางสุขุมมีมารยาท ทำให้คนเกิดความรู้สึกดีด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีที่เคร่งครัดในธรรมเนียมเช่นสวี่เยียน พอเห็นแล้วก็ย่อมรู้สึกชมชอบ บัดนั้นก็ลืมสิ้นว่าต้องไว้ท่าเหนียมอาย สอบถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ผู้นี้น่าจะเป็เขยของท่านฝู่กั๋วกงกระมัง” สาวใช้ที่อยู่ข้างกายตอบอย่างไม่แน่ใจนัก เช้าวันนี้ได้ยินคนในจวนพูดกันว่าท่านเขยกับคุณหนูจะมาที่จวน บุรุษผู้นี้เข้ามาถึงเรือนชั้นในได้ ย่อมต้องเป็ญาติสนิท
“ท่านเขยผู้เป็สามีของพี่ลั่วเสียน่ะหรือ” สวี่เยียนกะพริบตาปริบๆ ถามต่อด้วยใบหน้าแดงเรื่อ นางเคยได้ยินมานานแล้วว่าสามีของพี่ลั่วเสียเป็บุรุษมากความสามารถหน้าตาหล่อเหลา เมื่อครองคู่กับพี่ลั่วเสียแล้วดูสมกันยิ่งกว่ากิ่งทองใบหยก มีแต่ถ้อยคำชื่นชม ข้างนอกลือกันว่าพี่เขยผู้นี้มีพร์สูงมาก ตอนนี้เรือนที่สวี่เยียนพักอาศัยก็อยู่ติดกับเรือนของลั่วเสีย ยามรู้สึกเบื่อนางมักจะไปหาหนังสืออ่านที่ห้องของพี่สาวลูกพี่ลูกน้องผู้นี้เสมอ
ในห้องของพี่สาวมีม้วนกระดาษลายพู่กันที่พี่เขยเป็ผู้เขียนทิ้งไว้หลายแผ่น ตัวอักษรงดงามนัก กวีนิพนธ์ก็ไพเราะจับใจ แม้ว่าจะไม่เคยเห็นพี่เขยผู้นี้มาก่อน แต่ในใจกลับนึกปรารถนาว่าหากตนเองได้สามีที่มีความสามารถโดดเด่นเช่นเดียวกับพี่เขยผู้นี้มาขับขานบทกลอนให้ฟัง ก็นับว่าไม่เสียทีที่ได้เกิดมา พอคิดมาถึงตรงนี้ แก้มสองข้างก็ยิ่งแดงปลั่ง
“ก็น่าจะใช่นะเ้าคะ” เห็นท่าทางของสวี่เยียนแล้ว สาวใช้ประจำกายมีหรือจะไม่รู้ใจของนายตน จึงชี้ไปที่โม่หลันแล้วเสนอความคิดขึ้นมา “ดูนั่น สาวใช้ที่เดินออกไปส่งท่านเขย ดูเหมือนจะไม่ใช่สาวใช้ในจวน คุณหนูโปรดรอสักครู่ บ่าวจะไปสอบถามให้รู้ความเ้าค่ะ”
“อืม... จะดีหรือ” สวี่เยียนเขินอายยืนบิดผ้าเช็ดหน้า ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปชั่วขณะ พอคิดถึงว่าตนเองเป็สตรีที่ยังไม่ได้แต่งงาน แต่กลับไปสอบถามเื่ของบุรุษก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม
“ไม่เป็ไร บ่าวไม่บอกใครว่าคุณหนูอยากรู้หรอกเ้าค่ะ” สาวใช้ก็ช่างหยอกเย้า หลังจากนั้นก็เดินออกไปอย่างอาจหาญ ดึงมือโม่หลันเข้ามาคุยอย่างสนิทสนม
โม่หลันเห็นสวี่เยียนยืนอยู่ไม่ไกล ก็รู้ว่าไม่ใช่คนแปลกหน้า จึงคุยกับสาวใช้ของนางอย่างเป็มิตรและเล่าเื่ของโม่ฮว่าเหวินให้ฟัง ชื่นชมยกย่องเ้านายของตนจนลอยไปถึงบน์ ว่าเป็บุรษที่มีความเที่ยงธรรม มีพร์ความสามารถล้ำเลิศ มีความรักและอาลัยต่อฮูหยินอย่างลึกซึ้ง รักบุตรสาวสุดหัวใจ ทั้งยังสุขุมคัมภีรภาพ สูงส่งสง่างาม เป็สุภาพบุรุษที่เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ
สวี่เยียนที่รออยู่ด้านข้างได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น ก้มหน้างุด รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว หัวใจเต้นระรัว
ขณะที่โม่หลันกลับมาถึงเรือน ก็พบลั่วิจูกำลังคุยเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวานกับโม่เสวี่ยถงอยู่ จึงยังมิได้เข้าไปรายงาน ปล่อยม่านลงเดินกลับออกมา แล้วหมุนตัวเดินออกไปนอกเรือน ไปกล่าวขอบคุณเหล่าไท่จวินแทนคุณหนูของตน
“น้องหญิง หลังงานเลี้ยงเ้าหายไปไหน ว่าจะกลับพร้อมกับเ้าเสียหน่อย หันมาอีกทีก็ไม่เห็นเงาคนแล้ว” ลั่วิจูยังติดใจเื่งานเลี้ยงชมบุปผา
“พี่หญิงรองมิได้ร่วมงานเลี้ยงตอนค่ำหรือเ้าคะ” เห็นลั่วิจูมีท่าทางเป็กังวล โม่เสวี่ยถงจึงคลี่ยิ้มอ่อนโยนแล้วเอ่ยถาม ตามที่นางรู้มา การคัดเลือกชายาเอกขององค์ชาย คุณหนูจวนกั๋วกงทั้งสี่สกุลต้องอยู่ร่วมงานด้วย สกุลลั่วมีเพียงคุณหนูลั่วิจูผู้นี้ แล้วนางจะกลับก่อนได้อย่างไร
“ก็ต้องอยู่ร่วมน่ะสิ เดิมทีคิดว่าเ้าจะไปด้วยกัน พอไม่เห็นเ้าจึงคิดว่าจะกลับ แต่ได้รับพระราชเสาวนีย์ของฮองเฮาเสียก่อน ทีนี้อยากจะกลับก็กลับไม่ได้แล้ว หากรู้ล่วงหน้าล่ะก็ ข้าหนีกลับมานานแล้ว” สีหน้าของลั่วิจูเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม หาได้รู้สึกยินดีที่ได้เข้าร่วมคัดเลือกเป็ชายาองค์ชายแม้แต่น้อย
“งานเลี้ยง่ค่ำไม่สนุกหรือ ได้ยินว่ามีการแสดงความสามารถของเหล่าคุณหนูด้วย พี่หญิงรองแสดงอะไรล่ะ” โม่เสวี่ยถงกวาดมองท่าทางของลั่วิจูปราดหนึ่ง ก็รู้ได้ว่านางไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดพี่สาวจึงดูโมโหโทโสเช่นนี้ การคัดเลือกชายาองค์ชายเป็สิ่งที่ทุกตระกูลต่างรู้อยู่แก่ใจ การได้เข้าร่วมงานเลี้ยง่ค่ำ ถือเป็การได้รับเกียรติสูงสุด ไฉนลั่วิจูจึงดูไม่พอใจเช่นนี้
“สนุกกับผีน่ะสิ” ลั่วิจูกล่าวอย่างหงุดหงิด แล้วก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ ใบหน้าพลันแดงก่ำ หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาออกแรงบิด เบ้ปากด้วยความโมโห “ข้าก็ดีดพิณ แต่พี่สาวเ้ากลับทำตัวโดดเด่น เพลงพิณของนางเพลงเดียวดึงดูดความสนใจขององค์ชายทุกพระองค์ไปหมดเลย”
โม่เสวี่ยิ่ย่อมไม่ปล่อยโอกาสแสดงความสามารถของตนเองอยู่แล้ว เพียงแต่ความปรารถนายิ่งมากเท่าไร ความผิดหวังก็ยิ่งใหญ่เท่านั้น ชาติก่อนเื่นี้ถูกท่านพ่อวางอุบายบังคับให้ปิดข่าว โม่เสวี่ยิ่ทำตัวเงียบหายไปแค่ไม่กี่วัน ต่อมาจึงยังคงรักษาชื่อเสียงของยอดพธูผู้มีชื่อเสียงดีงามเอาไว้ได้ ชาตินี้โม่เสวี่ยิ่พยายามเกาะเกี่ยวใช้นางเพื่อแสวงหาโอกาสทุกอย่าง แต่ว่าชาตินี้คงไม่ได้ราบรื่นเช่นนั้นอีกต่อไป นางจะทำให้โม่เสวี่ยิ่ค่อยๆ ร่วงลงมาจากยอดเขาทีละน้อย... ทีละน้อย...
“ไม่ว่าอย่างไรพี่หญิงใหญ่ก็ไม่อาจแย่งชิงความสนใจขององค์ชายทุกพระองค์ได้อยู่แล้ว เอ... หรือว่าพี่หญิงรองหมายตาองค์ชายพระองค์ไหนไว้ แล้วถูกพี่หญิงใหญ่มาแย่งชิงความโดดเด่นไปหนอ...”
เห็นลั่วิจูท่าทางอึดอัดใจ โม่เสวี่ยถงจึงกล่าวหยอกเย้า เมื่อชาติก่อนพี่สาวลูกพี่ลูกน้องของนางผู้นี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้สมรสกับองค์ชายพระองค์ไหน คงไม่มีวาสนากับราชวงศ์กระมัง แต่ดูจากปฏิกิริยาของลั่วิจู เห็นชัดว่ามีเป้าหมายเป็ของตนเองแล้ว
“มีที่ไหนกันเล่า เ้าอย่ามาพูดซี้ซั้วนะ นี่แหนะๆ” ลั่วิจูถูกโม่เสวี่ยถงพูดจี้ใจดำ หน้าแดงเถือกลุกขึ้นแล้วเข้ามาหยิกแก้มของน้องสาว
ขณะที่กำลังหัวเราะกันอยู่โม่หลันเลิกม่านขึ้นเดินเข้ามาบอกว่าเหล่าไท่จวินเชิญคุณหนูทั้งสองคนออกไป ทางวังหลวงส่งรางวัลพระราชทานมาให้คุณหนูทั้งสองออกไปรับ
“มีของข้าด้วยหรือ” โม่เสวี่ยถงชี้ที่ตนเองด้วยสีหน้างุนงง แม้ใบหน้าจะแย้มยิ้ม แต่ในใจเกิดความหวาดระแวง แม้แต่พระพักตร์ของฮองเฮานางยังไม่เคยเห็น ไฉนจึงมีของขวัญส่งมาให้ นอกจากนี้พฤติกรรมของฮองเฮาในวันนั้นเห็นชัดว่าผิดปรกติ แต่เวลาผ่านไปกลับไม่มีข่าวคราวใดออกมาเลย หรือตนเองจะคาดเดาผิดพลาด
“กงกงผู้เป็ตัวแทนมอบของรางวัลพระราชทานกล่าวว่า เดิมทีจะส่งไปที่จวนโม่ แต่ได้ยินว่าคุณหนูอยู่ที่นี่ ก็ไม่ต้องเปลืองแรงไปอีกรอบ จึงส่งมอบของรางวัลไว้ที่จวนฝู่กั๋วกงเลย ครั้งที่แล้วแม้ผู้ที่ออกงานคือคุณหนูใหญ่ แต่คุณหนูต่างหากที่เป็ธิดาภรรยาเอกของจวนโม่ ดังนั้นของรางวัลพระราชทานจึงมอบให้แก่คุณหนู หน้าตาเกียรติยศถือเป็ของจวนโม่ ไม่ว่าอย่างไรบุตรอนุภรรยาก็ไม่อาจเกินหน้าเกินตาบุตรภรรยาเอกได้ ตอนนี้เหล่าไท่จวินกำลังต้อนรับขับสู้กงกงที่รับใช้ใกล้ชิดฮองเฮาผู้นั้นอย่างอบอุ่นอยู่ที่ห้องรับแขก และให้คุณหนูทั้งสองรีบออกไปขอบคุณในพระมหากรุณาธิคุณเ้าค่ะ” โม่หลันอธิบายยาวเหยียดชัดเจนครบถ้วนกระบวนความ
พอลั่วิจูฟังโม่หลันเล่ายาวเหยียดก็หัวเราะคิกคัก เมื่อนึกถึงว่าโม่เสวี่ยิ่อุตส่าห์ลงแรงไปมากมายขนาดนั้น แต่สุดท้ายคนที่สบายกลับเป็น้องสาวของนางก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันตา พูดกระเซ้าโม่เสวี่ยถง “น้องหญิง สาวใช้คนนี้ของเ้าสุดยอดจริงๆ เหมือนพูดถอดออกมาเปี๊ยบไม่มีตกหล่นแม้แต่คำเดียว”
“พี่หญิงรองเข้าใจหยอกถงเอ๋อร์เล่นนะเ้าคะ แน่จริง... เอาสาวใช้ประจำตัวของพี่หญิงมาแลกกับโม่หลันไหมเล่า ดูๆ ไปสาวใช้คนนั้นก็ฉลาดไม่เบา ตอนนี้เกรงว่าคงไปสืบถามเื่ราวแทนพี่หญิงครบหมดแล้วกระมัง”
ทันใดนั้นม่านประตูก็ถูกเลิกขึ้น อวี้เยี่ยนสาวใช้รุ่นใหญ่ของลั่วิจูเดินหน้าบานเข้ามาอย่างกระตือรือร้น กำลังพูดถึง เ้าตัวก็มา คนทั้งห้องจึงจับจ้องไปที่นาง ทำเอาเ้าตัวหน้าแดงสีหน้างุนงง แต่ก็พยายามเก็บความรู้สึกไว้ในใจ แล้วเดินเข้ามายืนอยู่ด้านหลังลั่วิจูอย่างรวดเร็ว
“ดูสิ มีข่าวดีอะไรมารายงานคุณหนูรองแล้วใช่หรือไม่ ไม่คิดจะแบ่งปันให้พวกเรารู้บ้างหรือ” โม่เสวี่ยถงยิ้มตาหยี ดึงโม่หลันมาช่วยกันจี้เอวให้ลั่วิจูบอกสาวใช้ให้คายความลับออกมา ลั่วิจูหัวเราะจนหน้าแดง แต่ก็ไม่ยอมอ่อนข้อ หันไปจี้เอวโม่เสวี่ยถงบ้าง
โม่เสวี่ยถงร่างเล็กบอบบาง ย่อมสู้แรงลั่วิจูไม่ได้ ประเดี๋ยวเดียวก็ทรุดฮวบในอ้อมแขนของลั่วิจูยกธงขาวขอยอมแพ้ ต่อไปไม่กล้าอีกแล้ว...
เล่นสนุกกันอยู่ชั่วครู่ แต่ก็รู้ว่าข้างนอกมีคนรออยู่ไม่อาจล่าช้า ต่างฝ่ายต่างก็ลุกขึ้นมาให้สาวใช้ปรนนิบัติจัดเสื้อผ้าที่ยับยุ่งให้เรียบร้อย แล้วพาสาวใช้ของตนเองไปยังเรือนของเหล่าไท่จวิน
โม่เสวี่ยถงเดินตามอยู่ด้านหลังของลั่วิจู สีหน้าของนางค่อยๆ เปลี่ยนเป็เคร่งขรึมจริงจัง ในใจรู้สึกกระสับกระส่าย เพราะเหตุใดฮองเฮาจึงนึกถึงนางที่เป็เพียงบุตรสาวของขุนนางขั้นห้า และยังพระราชทานรางวัลมาให้ถึงจวนฝู่กั๋วกงในเวลาที่ผิดประหลาดเช่นนี้ ผู้ที่ไปร่วมงานคือโม่เสวี่ยิ่ แต่ของขวัญกลับส่งมาให้นาง ทั้งสองคน คนหนึ่งบุตรภรรเอก คนหนึ่งบุตรอนุภรรยา ไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ฮองเฮานำของรางวัลของบุตรอนุภรรยามาพระราชทานให้บุตรภรรยาเอกเยี่ยงนี้ได้
นางย่อมไม่เชื่อว่าฮองเฮาทรงทำผิดพลาดหรือสับสนจึงมีพระราชเสาวนีย์เช่นนี้ ในชาติภพที่แล้วชีวิตของนางไม่เคยมีส่วนใดทับซ้อน หรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับพระนาง การที่ฮองเฮาผู้สูงศักดิ์ทรงคิดถึงนาง...
หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับวันงานเลี้ยงชมบุปผา ที่ฮองเฮาทรงเรียกเหล่าคุณหนูไปเข้าเฝ้า
มือของนางค่อยๆ หดกำลงหลวมๆ ภายใต้ชายเสื้อ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้