ตอนที่3 นม!!
เสียงกระซิบของซือเหยียนยังคงก้องอยู่ในหัวของราชันย์ทุกตน
ทว่า…สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น
กลับไม่ใช่ความเงียบสงบ หรือความศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด
“งั้นต่อไป...เราจะให้เขากินอะไรล่ะ?”
วานรอัสนีโพล่งขึ้นก่อนใคร สีหน้าเคร่งจริงจัง
“ดูท่าทางเขายังเคี้ยวไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“เ้าจะให้เขากินกล้วยหินยัดสายฟ้าเลยไหมล่ะ~?”
เสียงจิ้งจอกเก้าหางลอยตามมาแทบจะทันที
หางทั้งเก้าของนางสะบัดเล่นอย่างขำขัน
“ไม่แน่นะ ท้องอาจจะะเิก่อนจะย่อยก็ได้~”
วานรหันขวับทันที “เ้านี่...!”
พยัคฆ์ครามพูดเสียงเรียบ
“เขา้าของเหลว…อะไรที่ซึมซับง่าย”
“สมุนไพรบดละเอียดผสมปราณน้ำเบา ๆ ก็น่าจะ—”
วิหคะเสนออย่างนุ่มนวล
“มากไป” กิเลนโต้กลับทันที
“ร่างเขายังไม่สมบูรณ์ การย่อยปราณทำได้จำกัดนัก”
ราชสีห์วายุไม่พูด
แต่สายตาเขามองเด็กในอ้อมแขนของราชินีไม่วางตา
ท่ามกลางการถกเถียงของเหล่าราชันย์
ซือเหยียนยังคงนิ่ง
...ก่อนเอ่ยคำเพียงคำเดียว
“นม”
เงียบงัน
แม้แต่ลมหายใจของบางตนยังหยุดลงชั่วขณะ
ราชันย์ทั้งเจ็ดหันขวับมามองทันที
ไม่มีใครกล้าขัด
แต่ทุกสายตาต่างเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
“นม...?”
วานรเอียงคอ
“จากสัตว์ชนิดใด? ปีศาจมีนมหรือ?”
“บางสายพันธุ์อาจมี…” วิหคกล่าวเบา ๆ
“แต่ไม่แน่ว่าจะเหมาะกับมนุษย์ทารก”
“หรือว่าเราจะลองหาจากภายนอกป่า?” พยัคฆ์เสนอ
“จะลากหญิงมนุษย์ผ่านแดนอสูรเพื่อรีดนมงั้นหรือ?”
กิเลนกล่าวเสียงเย็น
“ยังไม่ทันได้เข้าป่าคงโดนกลิ่นอายของป่าฆ่าตายก่อนแล้ว”
“หรือ...”
จิ้งจอกหันไปมองวานรพร้อมรอยยิ้มเ้าเล่ห์
“ให้วานรลองผลิตผมก่อนดีไหม?”
“ข้าไม่มีนมโว้ย!!”
เสียงปะทะกันของราชันย์เริ่มดังขึ้นทีละน้อย
แต่ละตนเสนอแิตามสไตล์ตนเอง
บางตนจะปลุกต้นไม้น้ำจากโลกใต้
บางตนจะสร้างธาตุเทียมขึ้นมา
บางตนเงียบ...แต่มุมปากกระตุกเล็กน้อยเหมือนเริ่มทนไม่ไหว
แม้คำว่า ‘นม’ จะถูกเอ่ยเพียงครั้งเดียว
แต่สิ่งที่ตามมาคือความอลหม่านที่แม้แต่ตอนเทพร่วงฟ้าก็ยังไม่เท่านี้
วานรอัสนีชูมือก่อนทันที
“ถ้าเื่อาหารยังไม่ชัด งั้นเราควรเริ่มจากการฝึก!”
เขาชี้ไปที่หน้าผาทางตะวันตก
“ข้าจะพาเขาไปปีนผาอัสนี ฝึกั้แ่กล้ามเนื้อยันสายตา!”
“เขาเดินยังไม่ได้…” พยัคฆ์ครามพึมพำ
แต่วานรไม่ได้ฟัง
“ข้าจะสร้างเปลสายฟ้าให้เขา—แล้วก็กล้วยสายฟ้าขนาดพิเศษ!”
เสียงของเขาเต็มไปด้วยความภูมิใจ ราวกับคิดค้นสูตรลับแห่งชัยชนะ
“เขาคงกลายเป็ซากก่อนจะเติบโตล่ะมั้ง”
จิ้งจอกเก้าหางเอ่ยเบา ๆ หางสะบัดไปมาอย่างไม่แคร์
“หรือไม่...เราควรสร้างภาพลวงตาของมารดาให้เขาเห็นก่อนดีไหม?”
นางหันไปยิ้มให้นางราชินี
“อาจจะทำให้เขารู้สึกอุ่นใจมากขึ้น~”
ซือเหยียนปรายตามามองแวบหนึ่ง
จิ้งจอกเงียบทันที
“ถ้าเป็ข้า…”
วิหคะเอ่ยบ้าง น้ำเสียงของเขานุ่มนวล
“ข้าจะปล่อยให้เขาอาบแสงตอนเที่ยงคืนของทุกวัน
แสงนั้นจะช่วยหล่อเลี้ยงจิติญญา ทำให้ิญญาที่ยังไม่สมบูรณ์ของเขาแน่นแฟ้นขึ้น”
“ในเขตเ้าอากาศต่ำมาก แสงจะไม่ถึงตัว”
พยัคฆ์ครามพูดเรียบ ๆ
“แถมเขาอาจหนาวตายก่อนจะแน่นแฟ้น”
ราชสีห์วายุยังคงเงียบ
แต่เริ่มหันไปมองวิหคกับวานรสลับกันเหมือนเริ่มปวดหัว
กิเลนโลกันตร์ถอนหายใจ
“พวกเ้าจะให้เขาฝึก จะให้เขาบิน จะให้เขากินกล้วย ยัดพลัง จะให้เห็นภาพแม่เทียม…”
“นี่เ้ารู้ไหมว่าเขาเป็แค่...ทารก?”
“ข้าไม่เคยเลี้ยงทารก” วานรโต้ทันที
“ข้าฝึกแต่ัสายฟ้า กับอสรพิษพันปี!”
“ข้าเคยเลี้ยง...” เต่าาพูดขึ้นช้า ๆ
เสียงของเขาลุ่มลึกจนหมอกรอบลานขยับตาม
“แต่ตัวที่ข้าเลี้ยงคือปูหินิญญา ไม่ใช่เด็กมนุษย์”
จิ้งจอกหันไปสบตาวานร
แล้วก็หัวเราะ
“พวกเ้าจะเลี้ยงเด็กกัน...หรือฝึกสัตว์?”
เสียงทั้งหมดหายไปทันทีที่ซือเหยียนขยับตัว
แม้เพียงเล็กน้อย รัศมีที่ปล่อยออกมาจากนางก็ทำให้ราชันย์ทั้งป่าหยุดหายใจชั่วขณะ
แต่...นางไม่ได้พูดอะไร
เพียงแค่ลุกขึ้นช้า ๆ แล้วมองร่างในอ้อมแขน
“มันคือสิ่งที่พวกเ้าควรเดาเล่นรึ? ”
น้ำเสียงของนางเรียบเฉย แต่หนักราวกับมีเงาทั้งป่าทิ้งน้ำหนักกดลง
“หรือเ้าคิดว่าเขาคือของเล่นของพวกเ้า?”
เงียบ...
คำถามนั้นไม่มีใครตอบ
ไม่มีใครแม้แต่จะกล้ากะพริบตา
พยัคฆ์ครามนิ่งไปทันที
กิเลนหลุบตาต่ำ
วานรกำมือแน่นแล้วผ่อนลมหายใจเงียบ ๆ
ส่วนจิ้งจอกที่ยังยิ้มอยู่ก่อนหน้า...ตอนนี้หางทั้งเก้าก็หยุดแกว่งไปนานแล้ว
ไม่ใช่เพราะความโกรธ
แต่เพราะทุกตนรู้ดีว่า
หากยังเล่นไม่หยุดนางได้ฆ่าพวกเขาจริงแน่...
ซือเหยียนไม่ได้พูดอะไรต่อ
นางเพียงแค่มองหน้าลูกอีกครั้ง
แล้วกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นนิดหนึ่ง
...เพียงพอที่จะทำให้ราชันย์ทั้งป่ารู้ว่า
จากนี้ ไม่มีใครควรล้ำเส้นนี้อีก
และแม้พวกมันจะเป็อสูรที่มีอายุหลายแสนปี
แต่ในวินาทีนั้น ทุกตนรู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้องมองด้วยสายตาของ "มารดา"
ท่ามกลางความเงียบ...
ราชสีห์วายุเป็ผู้ที่เอ่ยขึ้นเบา ๆ
“...แต่ก็มีบางคนเคยเข้ามาในป่าได้อยู่ไม่ใช่หรือ?”
วานรหันมาหรี่ตา
“ใช่ ข้าเคยเห็นมนุษย์บ้าง...บางตนเข้ามาได้ลึกกว่าขอบเขตปราการ
แปลว่า...น่าจะพอมีวิธีดึงพวกมันเข้ามา?”
พยัคฆ์ครามขมวดคิ้ว
“เ้าจะพามนุษย์เข้ามาจริงหรือ?”
“ก็แค่เสนอความเป็ไปได้”
วานรยกมือ
“ถึงจะน้อย...แต่มันก็—”
“ไม่มี”
เสียงของกิเลนโลกันตร์ดังขึ้นเรียบเย็น
“แม้แต่ผู้ฝึกตน หากมิได้ปรับร่างต้านปราณอสูรโดยตรง ก็จะถูกกัดกร่อนในไม่กี่ลมหายใจ”
ราชสีห์วายุเสริมเสียงเบา
“แก่นพลังของพวกมันต่างจากเราโดยสิ้นเชิง
การฝืนใช้พลังมนุษย์ในป่าแห่งนี้…คือเร่งให้ร่างแหลก”
“ข้าเคยเห็นมาแล้ว”
วิหคะพยักหน้า
“ผู้ฝึกตนระดับสูงคนหนึ่ง พยายามเข้าใกล้จุดกลางป่าเพียงครึ่งวัน
ปราณแตกซ่าน ิญญาร้าว—ตายทั้งที่ยังยืนอยู่”
วานรอัสนีกลืนน้ำลาย
“…แต่มันก็ยังมี ‘บางคน’ ที่ทนได้อยู่ใช่หรือไม่?”
“แล้วเ้าจะไปหา ‘บางคน’ นั้นจากที่ไหน?”
จิ้งจอกหรี่ตา
“โลกกว้างนัก มนุษย์นับพันล้าน
แต่พวกที่มีร่างต้านปราณอสูร…อาจมีอยู่แค่หยิบมือเดียว”
“ไม่มีเวลาให้รอ”
เสียงของซือเหยียนดังขึ้นในที่สุด
“ข้าจะไม่ปล่อยให้เขาร้องไห้ไปนานกว่านี้”
คำพูดนั้นเรียบ
แต่ทุกตนเงียบ
“ถ้างั้น...”
เต่าาว่า
“เราก็แค่ต้องสร้าง ‘สิ่งที่ใกล้เคียงนมมนุษย์’ ที่สุดเท่าที่จะทำได้
ภายในเขตป่ารัตติกาลเท่านั้น”
“แล้วจะเริ่มยังไง?”
วานรถาม
พยัคฆ์ครามว่า
“ข้าจะลองกรองปราณลมจากยอดทุ่ง ให้เหลือเพียงพลังหยินอ่อนโยน
อาจพอปรับสมดุลพลังในร่างเขาได้”
วิหคะเสริม
“ข้าจะสกัดน้ำค้างจากกลีบดอกหิมะเหนือเวหา
มีฤทธิ์กล่อมพลังให้สงบนิ่ง”
เต่าาพยักหน้า
“ข้าจะควบคุมสมดุลพลังหยิน-หยาง และตัดปราณอสูรส่วนเกิน
ให้สามารถย่อยได้โดยไม่ทำลายระบบชีพจรของเด็ก”
“แล้วจะใส่ภาชนะยังไง?”
วานรชะงัก
“…เด็กไม่มีเขี้ยว ไม่มีกรงเล็บ
จะให้ดูดพลังจากอะไร?”
ทุกตนหันมามองจิ้งจอกพร้อมกัน
“...อืม?”
จิ้งจอกเลิกคิ้ว
“อย่าบอกนะ ว่าจะให้ข้าสร้าง…”
“เต้า”
ราชสีห์วายุพูดเสียงเนือย
จิ้งจอกมองทุกคน
ถอนหายใจเงียบ ๆ
ก่อนจะพูดเบา ๆ
“…ข้าจะสร้าง ‘อ้อมแขนของมารดา’ ให้เขา
ไม่ใช่เพียงรูปลักษณ์...แต่คือความรู้สึก”
ซือเหยียนมองเธอเงียบ ๆ
ไม่ได้ตอบรับ
ไม่ได้ปฏิเสธ
แต่ในอ้อมแขนของนาง...เด็กน้อยยังคงขยับเบา ๆ
“ภายในสามวัน”
ซือเหยียนกล่าว
พยัคฆ์พยักหน้ารับ
“เข้าใจแล้ว”
“มั่นใจได้เลยเขาจะต้องกินได้แน่นอน”
เต่ากล่าวมั่น
จิ้งจอกเก้าหางคลี่ยิ้ม
หางทั้งเก้ากระเพื่อมเบา ๆ
“งั้นข้าจะไปคิด…ว่าจะออกแบบเต้าให้เป็อ้อมแขนยังไงให้ไม่ดูน่ากลัว”
วานรเบะปาก
“…ทำไมฟังยังไงก็ยังน่ากลัวอยู่ดี”
ไม่มีใครหัวเราะ
ไม่มีใครพูดแทรก
แต่ในอ้อมแขนของซือเหยียน
เด็กน้อยเริ่มนิ่งลงอีกครั้ง
เส้นผมสีเงินสะท้อนแสงจันทร์จากปลายยอดไม้
…และในสายตาของเหล่าอสูร
ความวุ่นวายของป่าทั้งผืน
เริ่มคลี่คลายลงเพราะเสียงลมหายใจแ่ ๆ ของเด็กคนเดียว
เมื่อเสียงสุดท้ายของราชันย์อสูรเงียบหาย
เหลือเพียงเงาร่างใต้ต้นไม้ กับเด็กที่ยังหลับนิ่งในอ้อมแขน
ซือเหยียนไม่ขยับ
นางไม่ชินกับความเงียบที่ไม่มีอันตรายซ่อนอยู่
แต่เสียงลมหายใจของเด็กในอก...ก็ยังไม่หายไป
ร่างน้อยในอ้อมแขนขยับเล็กน้อย
เส้นผมสีเงินขยุกขยิกกับปลายนิ้วของนาง
แล้วเปลือกตาที่ปิดสนิทก็ค่อย ๆ เปิดขึ้น
ซือเหยียนชะงัก
ดวงตาคู่นั้น—ซีดจาง สีเหลือง
แต่สะท้อนภาพของนางชัดเจนราวกับส่องผ่านแอ่งน้ำสงบ
เด็กน้อยมองตรงมา
ไม่ร้อง ไม่ดิ้น ไม่กระพริบตา
เพียงแค่มอง
มันเป็สายตาที่ไม่ได้อ้อนวอน ไม่ได้โหยหา
แต่มัน “เห็น” เธออยู่ตรงนั้น
ซือเหยียนไม่รู้จะตอบสนองอย่างไร
นางเป็ปีศาจที่เดินบนเืมานับล้านปี
ไม่เคยถูกมองแบบนี้—ไม่เคยต้องมองตอบใคร
นิ้วมือที่เคยเฉือนิญญามาแล้วนับไม่ถ้วน
แตะเบา ๆ ลงบนเส้นผมเด็กโดยไม่รู้ตัว
ไม่ใช่การลูบ ไม่ใช่การปลอบ
แต่เพียงเพื่อย้ำกับตัวเองว่า
สิ่งมีชีวิตตรงหน้า…ยังอยู่
เด็กไม่หลบ ไม่ร้อง
กระพริบตาช้า ๆ หนึ่งครั้ง
แล้วค่อย ๆ ปิดตาลงอีกครั้งเหมือนเดิม
“…”
นางมองเขาเงียบ ๆ
ไม่พูดอะไร
ไม่เข้าใจอะไร
แต่ก็ไม่ได้ปล่อยเขาไป
อ้อมแขนที่เคยเป็เพียงเครื่องมือสังหาร
ยังคงกอดเด็กน้อยไว้แน่น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้