ในค่ำคืนที่อากาศค่อนข้างจะหนาวเย็นแสงจันทร์สาดส่องท่ามกลางความมืด
เซียวซู่ซู่กำลังนั่งนิ่งอยู่ในศาลาปล่อยให้ความคิดของตนล่องลอยไปพร้อมกับสายลมที่พัดผ่าน
ชายกระโปรงของชุดตัวยาวสีขาวโบกสะบัดไปตามแรงลมเซียวซู่ซู่ที่กลับมาถึงเรือนที่พำนักของตนแล้วก็ไร้ซึ่งท่าทางเย่อหยิ่งเหมือนดั่งตอนแรกตอนนี้นางทำเพียงแค่ปล่อยตนเองให้จมดิ่งอยู่กับความโศกเศร้า
ใช่แล้ว นางกำลังโศกเศร้า เพราะว่าอยู่ๆนางก็รู้สึกคิดถึงมารดาของตนเหลือเกิน
เซียวเอินมองออกน้องสาวที่มีความสามารถเก่งกาจดูสูงสง่าเปี่ยมด้วยบารมีของตนอยู่ห่างๆตอนนี้ความอ้างว้างที่เผยออกมาทำให้ในใจของเขารู้สึกเ็ปขึ้นมาเบาๆ เขารู้สึกปวดใจและสงสารน้องสาวผู้นี้
แต่ว่าเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดเซียวซู่ซู่ถึงได้ดูอ้างว้างเดียวดายเช่นนี้ สิบห้าปีมานี้ไม่มีผู้ใดสนใจ บางทีอาจจะเป็ความโศกเศร้าและเปล่าเปลี่ยวอย่างหนึ่งกระมัง
แต่ว่าไม่มีวันไหนเลยที่ฮูหยินเฒ่าจะไม่ไปหานางต่อให้นางจะแค่นั่งนิ่งๆ อยู่ตรงด้านหน้าของหน้าต่างเช่นนั้นก็ตาม
สองวันมานี้เซียวเหยียนและเซียวจู๋มิได้ลงมือทำการใดๆพวกนางเองก็รู้ว่าเมื่อมีฮูหยินเฒ่าอยู่พวกนางเองก็ไม่อาจสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงแค่ไม่พอใจลึกๆ ต่อหน้าก็ไม่อาจแสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาได้ อีกทั้งยังต้องคอยชื่นชมเซียวซู่ซู่ไม่หยุดปาก
แน่นอนว่าหลังจากที่งานชมดอกฉยงฮวาเริ่มขึ้นแล้วคำชื่นชมของพวกเขาก็ล้วนออกมาจากใจจริง ใครบ้างมิคาดหวังให้ตระกูลของตัวเองโด่งดังมีชื่อเสียงกัน เซียวเหยียนและเซียวจู๋เองก็ไม่ต่างจากคนเ่าั้ เพราะฉะนั้นตอนนี้สกุลเซียวเรียกได้ว่าหลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกัน ทุกคนล้วนสนับสนุนเซียวซู่ซู่ยอมที่จะเป็ทัพหลังคอยสนับสนุนนาง
งานชมดอกฉยงฮวายังคงดำเนินต่อแต่ตอนนี้ชื่อเสียงของเซียวซู่ซู่ก็ได้เป็ที่เลื่องลือกันไปทั่วแล้ว
หลายวันมานี้เหล่าองค์ชาย อ๋อง เ้าเมืองและขุนนางยศสูงทั้งหลายก็ยิ่งให้ความสนใจกับการแข่งขันภายในงานมากขึ้นทุกคนล้วนเฝ้ารอความประหลาดใจต่อไปที่จะเกิดขึ้น
เซียวซู่ซู่ได้กลายเป็จุดสนใจของทุกคนไปเสียแล้ว นางเหมือนจะรู้สึกเสียใจกับการกระทำของตนอยู่บ้างดูเหมือนว่าชื่อเสียงจะโด่งดังจนเกินไป
ด้วยนิสัยของนางสิ่งเหล่านี้มิใช่สิ่งที่นาง้าที่นางทำไปก็เพราะความโมโหเพียงชั่วขณะเท่านั้นทำให้นางแก้กระดานหมากไปถึงเก้ากระดาน
อีกทั้งเมื่อคืนวาน นางก็มิได้นอนทั้งคืนอยู่ๆ นางก็อยากจะรู้ว่ามารดาของตนเป็ใครกันแน่ ทำไมถึงได้มีความสามารถเก่งกาจถึงเพียงนั้นหากไม่มีมารดาของนางก็จะไม่มีซูฉีฉี
ความสามารถเ่าั้ในความคิดของนางถือว่าเป็ปกติอย่างยิ่งอีกทั้งตอนที่อยู่ต้าเยียนนางก็ไม่ได้มีโอกาสแสดงมันออกมา ดูจากวันนี้แล้วความรู้ความสามารถเช่นนั้นมิใช่สิ่งที่สตรีธรรมดาทั่วไปพึงจะมี แต่ว่ามารดาของนางกลับมิได้เป็ที่รู้จักหรือเลื่องลือของผู้คน ทั้งหมดนี้เป็มาอย่างไรกันแน่?
ขณะที่นางกำลังจมอยู่กับความคิดของตนนั้นบนเวทีก็มีเสียงประกาศชื่อเซียวซู่ซู่ดังขึ้น
นางดึงสติของตนเองกลับมาก่อนจะลุกขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉยนางค่อยๆ เดินขึ้นบันไดท่ามกลางสายตาจับจ้องของผู้คนท่วงท่าของนางยังคงเป็เฉกเช่นสองวันก่อน สงบนิ่งและสง่างาม
วันนี้นางก็ยังคงแต่งตัวไม่โดดเด่นเช่นเดิมแต่กลับดูงดงามยิ่งกว่าสตรีที่อยู่ในที่นั้นทั้งหมด เพียงเพราะว่านางมีบารมีที่ดูสูงส่งเหนือผู้คนเช่นนั้น
วันนี้เป็การแข่งความรู้ด้าน “หนังสือ”
นางยืนอยู่บนเวทีหยกขาวสายตากวาดมองบริเวณโดยรอบนิ่งๆ ก่อนจะยกมือขึ้นและฝนหมึกให้กับตนเอง เมื่อยามที่นางพักอาศัยอยู่ที่จวนสกุลซูข้างกายของนางไม่มีแม้แต่สาวใช้มาคอยดูแล เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้นางล้วนสามารถลงมือจัดการได้เอง
แต่ที่ทำให้ผู้คนโดยรอบตื่นในั้นคือการที่นางหยิบพู่กันขึ้นมาสองด้ามและบนใบหน้าของนางยังคงนิ่งสงบ มุมปากเหมือนจะมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นแต่บางครั้งก็ดูเหมือนจะไม่มีทำให้นางมิได้ดูเ็าเท่าใดนัก
ฮวาเชียนเย่ ป๋ายหลี่ม่อ หนานกงม่อสวี่เว่ยหราน รวมไปถึงเหลยอวี๊เฟิงก็ล้วนจับจ้องสายตาไปมองทุกอิริยาบถของเซียวซู่ซู่ไม่ปล่อยให้คลาดสายตาแม้แต่นิดเดียว
บรรยากาศโดยรอบสงบเงียบขึ้นมาอย่างกะทันหัน และในขณะที่เซียวซู่ซู่หมุนตัวไปเผชิญหน้ากับป้ายกระดาษฮวาหรูเสวี่ยเองก็จ้องไปทางนางเช่นกัน
ฝีมือพู่กันเป็วัฒนธรรมที่ทางหนานเจียงให้ความสำคัญมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นการแข่งขันในวันนี้สำคัญมากกว่าปกติ
อีกทั้งคนทั้งหลายก็ล้วนอยากจะรู้ว่าเซียวซู่ซู่จะเอาชนะการแข่งขันครั้งนี้ไปได้อย่างไรต้องรู้กันว่าทางหนานเจียง ไม่ว่าจะเป็แคว้นไหนฝีมือทางด้านพู่กันก็ล้วนมียอดฝีมือกันอย่างหนาแน่น
ถ้าหากจะพูดว่าพิณและหมากเซียวซู่ซู่ล้วนคว้าชัยชนะไปแล้วก็สามารถถือได้ว่าเป็เพียงเพราะนางมีความพยายามมากกว่าคนอื่นเท่านั้น
มือทั้งสองข้างของนางจับพู่กันไว้อย่างละข้าง ก่อนจะเริ่มสะบัดไปพร้อมกัน
ทว่ามือซ้ายของนางกลับเขียนตัวอักษรแบบ ‘สิงชู’หรือก็คือการเขียนตัวหนังสือแบบบรรจง ขีดเส้นชัดเจนดูผ่านตัวอักษรด้านซ้ายของนางจะเห็นว่านางกำลังเขียนบทประพันธ์ของหวังซีจือที่มีชื่อว่า ''หลานทิงสวี่'' บทประพันธ์เล่มนั้นเป็หนึ่งในผลงานที่เป็ที่โด่งดังและไพเราะงดงามยิ่งเมื่อเทียบตัวอักษรพู่กันของบทประพันธ์นี้กับผลงานบทประพันธ์ด้วยตัวอักษรพู่กันของราชวงศ์จิ้นตะวันตกแล้วตัวอักษรของมันจะเรียวบาง อีกทั้งปลายตวัดจะคมสวยแรงของการลากพู่กันนั้นจะลื่นไหลไม่มีสะดุดซึ่งเซียวซู่ซู่ก็ได้จับจุดสำคัญเ่าั้ได้อย่างดีและแสดงผลงานออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
วิธีการเขียนเช่นนี้มิได้เน้นไปที่ความละเอียดตั้งใจแต่คือความเอนอ่อนไปตามธรรมชาติโบกสะบัดพลิ้วไหวอย่างอิสระ เป็การนำความเรียบง่ายของ ''ความเป็ธรรมชาติความเสรี ความพลิ้วไหว'' ของรูปแบบการเขียนของคนก่อนๆ มารวมเข้าด้วยกันอีกทั้งยังนำ ''ความเป็ธรรมชาติ ความเสรี ความพลิ้วไหว'' ของงานเขียนรุ่นก่อนดึงไปสู่ขั้นเหนือกว่าของ ''ฝีมือการสะบัดพู่กันพร้อมน้ำหมึกที่ทั้งคมชัดงดงาม ซ้ำยังเน้นไปที่รายละเอียดของตัวอักษร'' อีกด้วย
แต่มือขวาของนางกับเขียนตัวอักษรแบบ ''ช่าวชู'' หรือก็คือการเขียนตัวหนังสือแบบตวัดพลิ้วไหวตามอารมณ์
แผ่นดินงดงามถึงเพียงนี้ ปลุกปรารถนาในใจวีรบุรุษทั่วหล้า
น่าเสียดายจักรพรรดิเฉกเช่นจิ๋นซีและฮั่นอู่ตี้ ล้วนมิชำนาญด้านกาพย์กลอนงานอักษร
รัชสมัยของฮ่องเต้อย่างถังไท่จงและซ่งไท่จู่ ก็ล้วนขาดสติปัญญาปกครองแผ่นดิน
กระทั่งผู้ที่ถูกขนานนามว่ายอดวีรบุรุษดั่งเจงกีสข่าน เชี่ยวชาญแต่เพียงการยิงศรล่าเหยี่ยว
ถึงกระนั้นพวกเขาตอนนี้ก็เป็เพียงอดีต อนาคตแผ่นดินจะดีหรือร้ายขึ้นอยู่กับเรา
ความงามผลงานดุจภาพวาด พู่กันพลิ้วไหวดุจราชันั
เส้นตรงคมชัดดุจกระบี่ เส้นโค้งพันเกี่ยวดุจเถาวัลย์
จุดตวัดห้อยย้อยดุจปลายยอดเหว เส้นเอียงเอนอ่อนดุจกล้วยไม้รับแรงลม
กลอนสองบทนี้เขียนโดยรูปแบบอักษรพู่กันที่ต่างกัน แต่ก็ล้วนถูกเขียนร่ายออกมาต่อเนื่องกันอย่างไม่มีหยุดพัก
เหล่าผู้ทรงอำนาจที่อยู่ด้านล่างนั้นมิเคยเห็นรูปแบบการแสดงเขียนพู่กันเช่นนี้มาก่อนชั่วขณะหนึ่ง บริเวณโดยรอบเงียบสนิท ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา
จนกระทั่งเซียวซู่ซู่วางพู่กันลงและเดินลงจากเวทีนั่งกลับไปที่ประจำตำแหน่งของสกุลเซียว ฮ่องเต้หญิงฮวาหรูเสวี่ยถึงได้เอ่ยนำออกมาคนแรกว่า “ดี”
จากนั้นผู้คนด้านล่างก็ส่งเสียงโห่ร้องกันอย่างตื่นเต้นเสียงปรบมือดังสนั่น อีกทั้งยังมีเสียงคนะโออกมาว่าดีและเสียงะโออกมาอย่างดีใจ
เสียงเ่าั้ดังสนั่นไม่หยุด กระทั่งคนสกุลเซียวต่างก็ะโออกมาว่าดีกันอย่างไม่สนใจสิ่งใด
เซียวซู่ซู่มิทำให้คนผิดหวังจริงๆการปรากฏตัวของนาง ทุกครั้งล้วนเต็มไปด้วยประกายเจิดจรัสเสมือนว่านางควรที่จะอยู่ในตำแหน่งสูงเหนือผู้คนมาแต่แรกแล้ว
แต่เซียวซู่ซู่ที่นั่งอยู่ตรงนั้นมิได้มีท่าทางหยิ่งทะนงแม้แต่น้อยนางมีสีหน้าราบเรียบไร้อารมณ์แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีท่าทีถ่อมตนที่เสแสร้งออกมา นางยังคงวางตัวถูกระเบียบเรียบร้อยมีมารยาท
เหลยอวี๊เฟิงอดมิได้ที่จะมองไปทางเซียวซู่ซู่ สตรีนางนี้เก่งกาจมีความสามารถมากกว่าทุกคนที่เขารู้จัก
คิดไปถึงซูฉีฉีในอดีตเกรงว่าจะยังเทียบกับนางไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
คว้าชัยในการเขียนอักษรพู่กันถึงจะถือว่าเป็ชัยชนะที่ทรงเกียรติที่สุดของหนานเจียงเพราะฉะนั้นวันนี้ที่เซียวซู่ซู่ชนะมิได้แค่เพียงเสียงปรบมือแต่รวมไปถึงเกียรติยศอีกด้วยทำให้ชื่อของนางอาบย้อมไปด้วยแสงรัศมีของหนานเจียงอีกครั้งให้ชื่อของนางกลายไปเป็ตำนานที่น่าอัศจรรย์
“น้องเล็กในฝันเ้าก็สามารถเรียนรู้การเขียนพู่กันด้วยงั้นหรือ...” เซียวฉีก็ชะเง้อหน้าเข้ามาใกล้เซียวซู่ซู่ก่อนจะมองนางอย่างเหลือเชื่อพลางเอ่ยออกมาโดยมิได้แฝงด้วยเจตนาร้ายบนใบหน้ามีความตื่นเต้นที่ยากจะปิดให้มิดได้ปรากฏอยู่
ความเป็ปรปักษ์ในตอนแรกได้แปรเปลี่ยนเป็ความเอ็นดูแล้ว
แต่ว่าประโยคนี้กลับทำให้สีหน้าของเซียวซู่ซู่ขาวซีดลงแต่ไม่นานก็กลับไปเป็ปกติดั่งเดิม อยู่ๆนางก็กลัวว่าคนเหล่านี้จะเริ่มสงสัยในสถานะของนางแล้ว
ถ้าหากพวกเขารู้ว่านางหาใช่เซียวซู่ซู่แต่เป็ิญญาของตนหนึ่ง พวกเขายังจะปกป้องคุ้มครองและสนับสนุนนางเช่นนี้หรือไม่?
“น้องเล็กนั้นเป็เซียนหญิงมาจุติบนโลกมนุษย์แน่นอนว่าไม่ต้องทำการร่ำเรียน”เซียวเอินยกมือขึ้นตบหัวของเซียวฉีครั้งหนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาน้ำเสียงแฝงด้วยความหยอกล้ออยู่บ้าง
ไม่ว่าใครก็ล้วนต้องแปลกใจกับความเปลี่ยนแปลงของเซียวซู่ซู่
แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยถามนางตรงๆกระทั่งฮูหยินเฒ่า เซียวมี่ยังเลือกที่จะเก็บเงียบเอาไว้ไม่ถามไถ่ นางรู้แต่เพียงว่าเซียวซู่ซู่เป็หลานสาวของตน เป็ความหวังของพวกนางสกุลเซียว
เซียวฉียกมือขึ้นลูบศีรษะของตนก่อนจะพยักหน้าแรงๆ “ใช่แล้วๆ...”
คนอื่นๆในสกุลเซียวก็รีบเอ่ยเห็นคำพูดสนับสนุนกันยกใหญ่
การดีดพิณเพียงเพลงเดียวก็แสดงถึงความสามารถที่โดดเด่นของเซียวซู่ซู่การเดินหมากเพียงครั้งหนึ่งก็ทำให้ชื่อเสียงของนางเลื่องลือไปทั่วและภาพอักษรพู่กันเพียงภาพหนึ่งก็ทำให้นางกลายเป็ตำนานที่น่าอัศจรรย์ของหนานเจียง
เซียวซู่ซู่สามคำนี้กลายเป็หัวข้อสนทนาของผู้คนในยามพบปะสังสรรค์กันในทันที และยิ่งกลายเป็หัวข้อถกเถียงกันของเหล่าขุนนางนับร้อย
“ข้า้านาง” ทันใดนั้นเหลยอวี๊เฟิงก็หันไปเอ่ยกับฮวาหรูเสวี่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ในดวงตาของเขากลับเด็ดเดี่ยวและมั่นคง
ในแววตาของฮวาหรูเสวี่ยกลับปรากฏความเ็าออกมาแวบหนึ่งโดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นก่อนที่มันจะจางหายไปแทบจะในทันที “ตอนนี้ยังตัดสินอนาคตของนางมิได้”
“ท่านเป็ฮ่องเต้หญิงนะ”เหลยอวี๊เฟิงไม่มีท่าทียอมถอยแม้แต่น้อยเขาไม่อยากให้บุคคลผู้มีฝีมือเช่นนี้ต้องตกอยู่ในมือของม่อเวิ่นเสวียนนางสามารถแก้หมากสิบกระดานได้ก็แสดงว่านางมีความสามารถทางด้านการทหารเป็อย่างมากแน่นอนว่าเขา้าเซียวซู่ซู่แค่เพียงเพราะอยากจะเอานางไว้ในสำนักเหลยเท่านั้น
“มิผิด” ฮวาหรูเสวี่ยพยักหน้า แต่กลับไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนแก่เขาและในขณะเดียวกันเขาก็เลิกตาขึ้นมองไปทางบุตรชายของตนแวบหนึ่งและก็ฉีกยิ้มออกมาโดยมิได้เอ่ยอะไรต่อ