เฮ่อโย่วจ้างถามขึ้น “คุณเรียนการพนันหินหยกจากใครหรือ?” คำถามนี้ติดค้างอยู่ในใจของเฮ่อโย่วจ้างมานานแล้ว เพราะหากเป็คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางจะสอนลูกศิษย์ออกมาได้สุดยอดแบบนี้ เส้นลากบนหินหยกเส้นนั้นกับคำบอกเล่าจากคนอื่นที่บอกว่าหลินเยว่เพิ่งตัดพบหยกจากการตัดหินหยกก้อนที่หน้าตาดูไม่ได้เลยก้อนหนึ่ง คนที่มีสายตาเฉียบคมเช่นนี้ยอมไม่ธรรมดา และคนที่สอนเขาย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“เรียนกับใคร?” หลินยังตั้งตัวไม่ทัน เขาฟังไม่เข้าใจว่าเฮ่อโย่วจ้างหมายถึงอะไร “ผมไม่ได้เรียนกับใครเลย ผมก็แค่เคยฟังจากคำพูดของคนอื่นๆ ก็เลยมีความรู้เล็กน้อยเท่านั้นน่ะ รู้ไม่เยอะจริงๆ”
“ไม่ได้เรียนกับใครอย่างนั้นหรือ?” เฮ่อโย่วจ้างขมวดคิ้วทันที แต่หลังจากนั้นก็คลายลงกลับมาเป็ปกติ “ต่อไปพวกเราก็ลองพูดคุยแลกเปลี่ยนกันหน่อยดีไหม ผมเริ่มสนใจคุณมากแล้วสิ”
ประโยคนี้ของเฮ่อโย่วจ้างทำให้หลินเยว่รู้สึกใจนขนลุก ผู้ชายด้านหน้าคนนี้คงไม่ได้มีรสนิยมอย่างนั้นหรอกนะ... ความชอบของผมยังปกติอยู่ คุณอย่ามารู้สึกสนใจผมเลย... ผมไม่สนใจคุณหรอก!
แต่หลินเยว่ก็ต้องพยักหน้าและพูดตอบมารยาท “อืม ผมก็อยากศึกษาจากคุณเหมือนกัน”
ศึกษาบ้าบออะไรล่ะ! เดี๋ยวต้องหนีให้ไกลที่สุดเลยเหอะ!
****************
ณ ห้องเรียนในมหาวิทยาลัยคุนิห้องหนึ่ง มีนักศึกษานั่งกระจายอยู่ไม่น้อย ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเรียน จึงมีนักศึกษาจับกลุ่มคุยกันเป็กลุ่มเล็กๆ มากมาย และมีนักศึกษาชายที่คอยขยับมือและแขนขวาของตัวเองอยู่เป็ระยะๆ ใบหน้าของพวกเขาแสดงอาการปวดเมื่อยและเหน็ดเหนื่อย แล้วยังมองไปทางนักศึกษาหญิงด้วยสายตาอิจฉา
“ไม่รู้ว่าตาเฮ่อคนนั้นคิดยังไง การแกะสลักกับการผ่าธูปมันเกี่ยวข้องตรงไหนกันล่ะ? เพราะการกระทำของเขาทำให้อุปกรณ์พวกมีดของร้านเล็กๆ แถวๆ นี้ขายดิบขายดีเลย แล้วไม่รู้ว่าทางมหา’ลัยคิดยังไง ถึงได้อนุญาตให้เขาทำอย่างนี้ได้อีก นี่มันเป็การเปิดโอกาสให้นักศึกษาพกอาวุธไว้กับตัวเลยนะ?” มีนักศึกษาชายผู้หนึ่งกำลังสะบัดแขนขวาของตนแล้วก็โวยวายออกมา ชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นปี 1 ทำให้ใบหน้าของเขาเริ่มเป็หนุ่มมากขึ้น แต่ทว่าก็ยังหลงเหลือความเป็เด็กอยู่บ้าง
นักศึกษาชายอีกคนก็พยักหน้าเห็นด้วยแล้วพูดต่อ “นั่นสิ นี่มันเป็การทรมานกันชัดๆ เมื่อวานผมคุยกับเพื่อนตอน ม.ปลาย ถามพวกเขาว่ามีวิธีการฝึกที่พิสดารทรมานคนแบบนี้หรือเปล่า ถ้าไม่ถามก็ไม่รู้หรอกนะ แต่พอถามปุ๊บก็เลยรู้มาว่าอาจารย์ของพวกเขาสอนแต่ความรู้ทฤษฎีต่างๆ ในชั้นเรียนเท่านั้นแหละ พอเลิกเรียนก็สั่งให้ไปค้นหาข้อมูลก็จบเื่แล้ว ไม่เห็นมีใครจะต้องทรมานแบบพวกเราเลย”
“แล้วที่มันน่าโมโหที่สุดก็คืออาจารย์สั่งแต่พวกเรานักศึกษาชายเท่านั้นที่ให้ฝึกผ่าธูป ส่วนพวกผู้หญิงกลับให้เรียนการออกแบบพวกนั้นก็พอ นี่มันเป็การดูถูกกันชัดๆ ว่าพวกเราผู้ชายไม่ค่อยมีสมอง มีแต่ความถึกแรงควายเท่านั้นแหละ!” นักศึกษาชายคนที่สามก็พูดอย่างโมโหเช่นกัน บนหน้าของเขากลับแสดงอาการโวยวายอย่างเห็นได้ชัด
ขณะที่พวกนักศึกษาชายทั้งหลายกำลังโอดครวญไม่หยุดนั้น ก็มีร่างงามของหญิงสาวผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้องเรียน หญิงสาวผู้นี้ทำให้พวกผู้ชายที่กำลังบ่นพึมพำเมื่อสักครู่และบรรดานักศึกษาหญิงคนอื่นๆ ที่กำลังหยอกล้อพูดคุยกันอยู่นั้นต้องสะกดสายตาไว้บนตัวเธอ เพราะเธอมีรูปร่างสวยงามสมบูรณ์แบบและมีใบหน้าที่งดงามเหมือนนางฟ้านาง์จริงๆ
สีหน้าของนักศึกษาชายเต็มไปด้วยความรักใคร่ชื่นชม ส่วนนักศึกษาหญิงจะรู้สึกอิจฉาเธอกันอย่างมากมาย
หญิงสาวที่เดินเข้ามาในห้องคือหลี่ชิงเมิ่ง
การมาถึงของหลี่ชิงเมิ่งทำให้นักศึกษาทุกคนต่างหันกลับมานั่งกันอย่างเรียบร้อย เนื่องจากการมาถึงของเธอแสดงว่าอาจารย์ฉางไท่ที่เป็ผู้สอนในวิชานี้กำลังจะมาถึง
หลี่ชิงเมิ่งโค้งตัวให้กับนักศึกษาทั้งชั้น ซึ่งถือเป็การทักทายพวกเขา หลังจากนั้นเธอจึงลงนั่งบนเก้าอี้แถวแรก
สำหรับนักศึกษาชายในห้องนี้แล้ว การมาทุกครั้งของหลี่ชิงเมิ่งเป็สิ่งเดียวที่สามารถสร้างความสนใจให้กับพวกเขา และนี่ก็เป็สาเหตุหนึ่งเดียวที่ทำให้พวกเขาไม่โดดเรียนในวิชานี้
เสียงกริ่งเริ่มเรียนดังขึ้นอย่างรวดเร็ว และท่านฉางไท่ก็เดินเข้ามาในห้องเรียน
เมื่อท่านฉางไท่เดินมายังหน้าชั้นเรียนแล้ว เขาจึงพูดกับนักศึกษาทุกคนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ผมมีข่าวดีและข่าวร้ายอย่างละเื่จะบอกกับทุกคน พวกคุณอยากฟังเื่ไหนก่อนดี”
รอยยิ้มบนใบหน้าของท่านฉางไท่ทำให้นักศึกษาทุกคนตกตะลึง พวกเขาต่างรู้สึกได้ทันทีว่ารอยยิ้มนี้เกิดจากความรู้สึกข้างในจิตใจของอาจารย์ฉางไท่จริงๆ และนี่เป็สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะพวกเขาคิดมาตลอดว่า ถึงแม้ว่าอาจารย์ผู้นี้จะไม่ได้ดูเข้มงวดมากขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้เป็คนสบายๆ เหมือนในตอนนี้เลยสักนิด หรือว่าวันนี้จะมีข่าวดีจริงๆ?
“ฟังข่าวดี!”
“ฟังข่าวร้าย!”
……
ทันใดนั้น ห้องเรียนแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยเสียงพูดจ้อกแจ้กจอแจ มีคำพูดทุกรูปแบบเกินขึ้น หรือแม้กระทั่งมีคนพูดว่าให้พูดทั้งสองเื่ในเวลาเดียวกัน ไม่รู้ว่าพวกเขาคิดได้อย่างไรจริงๆ
ท่านฉางไท่ฟังเสียงรอบๆ ที่ดังขึ้น มุมปากยังคงมีรอยยิ้มจางๆ ค้างไว้อยู่ตลอด ถึงแม้ว่าจะดูมีเมตตาปรานี แต่ภายในนั้นยังแฝงไปด้วยความรู้สึกเห็นอกเห็นใจและความเศร้าสลดอยู่ด้วย ในที่สุดเสียงจ้อกแจ้กจอแจก็ค่อยๆ หยุดลง ท่านฉางไท่พูดขึ้น “ผมได้ยินคนพูดว่าข่าวดีเยอะกว่า ถ้าอย่างนั้นผมก็จะพูดข่าวดีก่อนละกัน”
เมื่อได้ยินท่านฉางไท่พูดเช่นนี้ นักศึกษาที่พูดว่าอยากฟังข่าวร้ายก่อนก็ทำปากเบะทันที แล้วพูดพึมพำเบาๆ “หากอาจารย์บอกข่าวดีว่าไม่ต้องผ่าธูปอีกแล้ว ผมถึงอยากจะฟังข่าวดีก่อน!”
เขาเพิ่งพึมพำจบ เสียงของท่านฉางไท่ก็ดังขึ้น
“ข่าวดีก็คือ......” เมื่อถึงตรงนี้เขาก็จงใจหยุดชะงักชั่วครู่ แล้วกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง “นับั้แ่วันนี้เป็ต้นไป พวกคุณไม่ต้องถือมีดผ่าธูปเหมือนกับคนบ้าอีกแล้ว หากใช้ภาษาของพวกคุณก็คือ... พวกคุณได้รับการปลดปล่อยแล้ว!”
เมื่อท่านฉางไท่พูดจบ นักศึกษาทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ต่างตกตะลึงไปตามๆ กัน หลังจากนั้นภายในห้องเรียนก็เกิดเสียงอื้ออึงดังสนั่นออกมาทันที
นักศึกษาชายทุกคนต่างมีสีหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขที่เสมือนเพิ่งผ่านมรสุมมาอย่างหมาดๆ พวกเขารู้สึกราวกับเพิ่งหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส
นักศึกษาชายที่เพิ่งพึมพำเมื่อสักครู่ก็ตกตะลึงไปนาน เขาคาดไม่ถึงว่าตนเองจะทายถูกต้องจริงๆ หลังจากนั้นเขาก็อุทานด้วยเสียงดังกังวานที่สุดออกมา
ท่านฉางไท่มองสีหน้าของนักศึกษาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ ในใจของเขาก็เกิดความรู้สึกอ่อนใจจนต้องถอนหายใจยาวออกมา เด็กพวกนี้เมื่อเทียบกับหลินเยว่ลูกศิษย์ของเขาแล้วช่างแตกต่างกันราวกับ์และชั้นบาดาล เมื่อคิดถึงหลินเยว่ มุมปากของท่านฉางไท่ก็ยกยิ้มด้วยความพอใจและมีความสุขอย่างที่สุด
เมื่อหลี่ชิงเมิ่งที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดได้ยินเสียงรุ่นน้องของตนเองพูดคุยกันอย่างคึกคัก ใบหน้าของเธอก็ยังคงเต็มไปด้วยความเ็าเหมือนเดิม แต่ทว่าสายตาของเธอสะท้อนความเศร้าสลดออกมาอยู่ชั่วครู่
เมื่อรอจนกระทั่งเสียงอื้ออึงเหล่านี้ค่อยๆ หายไป ท่านฉางไท่จึงหัวเราะ “เหอๆ” และพูดต่อ “ดีใจกันล่ะสิ ต่อไปวันๆ ก็ไม่ต้องทนเหนื่อยกันอีกแล้ว เหอๆ ตอนนี้เรามาฟังข่าวร้ายกันเถอะ”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ สีหน้าของท่านฉางไท่ก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที สายตาเฉียบคมของท่านกวาดตามองรอบๆ ห้องอีกครั้ง เมื่อเห็นสายตาของท่านฉางไท่กวาดตามองมา นักศึกษาทั้งหลายต่างก้มศีรษะลงอย่างไม่รู้ตัว
“พวกคุณน่าจะเคยได้ยินถึงชื่อเสียงของผมด้านนอกอยู่บ้าง คนอย่างผมไม่ชอบชมตัวเอง ถึงแม้ว่าผมจะเป็ศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้คนหนึ่ง และผมก็เป็หนึ่งในปรมาจารย์แห่งการแกะสลักที่ทั้งประเทศมีเพียงไม่กี่คน แต่ผมก็ไม่เคยยอมรับว่าตนเองเป็ปรมาจารย์แห่งการแกะสลักจริงๆ นั่นเป็เพราะถึงผมจะเห็นด้วยว่าตนเองเป็บุคคลส่วนน้อยที่ได้รับการคัดสรรมาแล้ว แต่ทว่าผมไม่ได้รู้สึกยอมรับในตัวปรมาจารย์แห่งการแกะสลักที่มีอยู่ในตอนนี้เลยสักคน ไม่ยอมรับสักคนเดียว แม้กระทั่งตัวผมเองผมยังไม่ยอมรับเลย”
“ผมรู้สึกว่าเทคนิควิชาการแกะสลักของบรรพบุรุษของพวกเราได้สาบสูญไปแล้ว ตอนนี้ศาสตร์วิชานี้มันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ผมรู้สึกเสียใจและก็รู้สึกเสียดาย ทั้งๆ ที่สิ่งที่มีในตอนนี้ไม่ใช่การแกะสลักแต่กลับพูดกันว่าเป็การแกะสลัก ไม่สมควรจะเป็ปรมาจารย์แห่งการแกะสลักเลยสักนิด”
“พวกคุณได้ชื่อว่าเป็นักศึกษามหาวิทยาลัยก็แสดงว่าพวกคุณมีความดีเลิศ พวกคุณเลือกสาขาวิชานี้ก็แสดงว่าพวกคุณชอบการแกะสลัก ตอนแรกผมวางแผนไว้ว่าจะเลือกพวกคุณที่มีแววดีและยอมอดทนฝึกฝนอย่างหนักออกมาสักสองสามคนเพื่อมาเป็ลูกศิษย์ของผม แต่พวกคุณทำให้ผมรู้สึกผิดหวังจริงๆ พวกคุณกลัวความลำบาก กลัวความทรมาน อันที่จริงการแกะสลักเป็สิ่งที่น่าเบื่อมากอย่างหนึ่ง และจุดนี้ก็เป็สิ่งที่พวกคุณต้องรู้มาั้แ่แรกอยู่แล้วและควรจะเตรียมใจรับมันไว้อย่างดี แต่ทว่าจนถึงตอนนี้พวกคุณกลับยังไม่พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ วันๆ คิดแต่จะเรียนทฤษฎี เรียนแต่ทฤษฎีมันจะมีประโยชน์ตรงไหนล่ะ!”
ท่านฉางไท่ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจลง และพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “และข่าวร้ายที่จะบอกพวกคุณในวันนี้ก็คือ หนึ่งในพวกคุณไม่มีใครมีคุณสมบัติเหมาะสมเพียงพอที่จะเป็ลูกศิษย์ของผมเลยสักคน ไม่มีใครผ่านเลยสักคนเดียว!”
ประโยคสุดท้ายประโยคเดียวนี้ก็ทำให้ทุกคนตกตะลึงจนนิ่งงันไปในทันที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้