จางเจียิเหนื่อยจนผล็อยหลับไปบนเตียง แต่ฮั่วเสี่ยวเหวินกลับนอนไปหลับ เธอเปิดประตูออกไปนอกบ้าน
อุณหภูมิระหว่างตอนกลางวันและตอนกลางคืนในฤดูใบไม้ผลินั้นแตกต่างกันมาก ฮั่วเสี่ยวเหวินหนาวจนขาสั่น ขนาดปิดประตูแล้วขายังสั่นอยู่เลย
เธอห่อตัวเองในผ้าห่ม บิดี้เีอย่างสบายตัว อบอุ่นมากจริงๆ
วันรุ่งขึ้นยังคงเหมือนเดิม จางเจียิกินข้าวแล้วออกไปทำงาน ส่วนฮั่วเสี่ยวเหวินนำผักดองไปขายที่ตลาด
มีฝนตกตอนกลับบ้าน่บ่าย ฮั่วเสี่ยวเหวินเพิ่งเดินไปได้ครึ่งทางเธอก็ต้องออกวิ่งสุดชีวิต เพราะฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาฮั่วเสี่ยวเหวินมีน้ำตาคลอเบ้า
เธอย่อตัวนั่งลงอย่างหมดแรง น้ำฝนเย็นยะเยียบไหลผ่านคอเข้ามาในเสื้อ เธอหนาวจนตัวสั่น ไม่มีแรงจะวิ่งแล้ว
ไม่ว่าอย่างไรก็ช่วยผักกาดขาวที่วางตากไว้พวกนั้นไม่ทันแล้ว
เธอกอดเข่าแน่น ขดตัวกลมเป็ลูกบอล จางอิ่นเซิงเคยเล่าว่าวันที่เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ผ่านก็มีฝนตกลงมาเช่นกัน เขาเคยนั่งกลางสายฝนแบบเธอ ปล่อยให้ตัวเองได้ัักับความเย็นของน้ำฝนที่ซึมผ่านเสื้อผ้า
“นังหนู มานั่งทำอะไรตรงนี้?” ร่มคันหนึ่งยื่นเข้ามาช่วยบังฝน
ฮั่วเสี่ยวเหวินเงยหน้าขึ้น คนที่ถือร่มคือหญิงชราคนหนึ่ง ใบหน้าของอีกฝ่ายมีแต่รอยย่น ท่าทางใจดีมีเมตตา
เธออดนึกถึงยายแก่ฮั่วขึ้นมาไม่ได้ ย่าในนามของตัวเองที่เคยหยิบไม้ฟาดเธอแบบไม่ลังเลคนนั้นมีรอยย่นเต็มหน้าเช่นกัน
ฮั่วเสี่ยวเหวินถูกหญิงชราประคองลุกขึ้น ทว่าเธอกลับร้องไห้หนักกว่าเดิม ราวกับจะระบายความอัดอั้นน้อยใจทั้งหมดไปกับสายฝน และขอหยิบยืมความอบอุ่นชั่วขณะนี้เพื่อระบายความในใจออกมา
หญิงชราพาเธอมาส่งถึงบ้านแล้วก็กลับ ฮั่วเสี่ยวเหวินลืมถามชื่อของอีกฝ่าย
ขณะที่เธอกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในห้อง ที่ประตูบ้านพลันมีเสียงคนเคาะอย่างเร่งรีบและรุนแรง
เธอถาม “พี่เจียิหรือ?”
“เสี่ยวเหวิน รีบเปิดประตูเร็วเข้า หนาวจะตายอยู่แล้ว” นี่คือเสียงของจางเจียิ เธอคุ้นเคยยิ่งกว่าสิ่งใด
เธอติดกระดุมพร้อมกับเดินไปเปิดประตู เธอรู้ว่าจางเจียิต้องเปียกโชกเช่นกัน
และก็เป็ดังที่คาด จางเจียิยืนอยู่ด้านนอก เนื้อตัวเปียกจนบิดน้ำออกมาได้ เขาลูบหน้าแบบลวกๆ เส้นผมมีแต่น้ำ
สมาชิกสองคนในบ้านออกไปทำงานกันหมด ฮั่วเสี่ยวเหวินทนไม่ไหวแล้ว เปิดอกคุยกับจางเจียิในคืนวันนั้น
“พี่ไม่ต้องไปทำงานที่โรงงานอิฐแล้ว ฉันทำเองคนเดียวไม่ไหว”
จางเจียิยังคงมีท่าทีเช่นเดิม ยกเหตุผลกองโตออกมาพูด
ฮั่วเสี่ยวเหวินไม่อยากเถียงเื่พวกนั้นต่อ เธอยื่นคำขาดว่า “ได้ ถ้าอย่างนั้นพี่ทำเถอะ ฉันไม่ขายของแล้ว”
จางเจียิหันไปทางอื่น เป็อันจบบทสนทนานี้ พวกเขาก็เป็เช่นนี้ เวลาเจอปัญหามักดึงดันในความคิดของตัวเอง ต่างฝ่ายต่างดื้อดึง ไม่มีใครยอมใครทั้งนั้น
ฮั่วเสี่ยวเหวินจนปัญญา เธอจับมือจางเจียิ พูดเหมือนระบายความทุกข์ว่า “พี่เจียิ วันนี้ผักกาดขาวจำนวนมากเปียกเสียหายเพราะฉันไปขายผักดองในตำบล หากไม่มีพี่ช่วย ฉันเหนื่อยมากจริงๆ นะ”
ผู้ชายชอบให้ใช้ไม้อ่อนมากกว่าไม้แข็ง วิธีนี้ได้ผลดีมาก แม้ตอนแรกจางเจียิจะไม่ค่อยสนใจนัก แต่สุดท้ายเขาก็ยอมเมื่อถูกพูดนานเข้า
“ก็ได้ รอพี่รับเงินเดือนของเดือนนี้แล้วจะลาออก”
เื่ราวเป็อันตกลงตามนี้ ฮั่วเสี่ยวเหวินถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องไปทำงานในที่สกปรกแบบนั้นทุกวันแล้ว และในที่สุดเธอก็จะได้ถูกเขาตามติดไม่ห่างเป็เงาตามตัวอีกครั้ง
วันรับเงินเดือนที่จางเจียิพูดถึงอยู่ห่างออกไปอีกแค่สามวัน ทั้งที่นานกว่านี้ยังผ่านมาได้ แต่ฮั่วเสี่ยวเหวินกลับรู้สึกว่าสามวันนี้ช่างยาวนานเหลือเกิน
วันที่สามมีฝนตก ผักกาดขาวหมดแล้ว ส่วนเต้าหู้มีการทำสะสมไว้ชุดหนึ่ง สองสิ่งนี้ไม่จำเป็ต้องทำเพิ่มอีก
ฮั่วเสี่ยวเหวินทำงานฝีมืออย่างเบื่อหน่าย งานจำพวกเย็บผ้าเอย กวาดพื้นเอย
ไม่รู้ว่ามีผู้ชายมายืนหลบฝนนอกบ้านั้แ่เมื่อไร ท่าทางอายุประมาณสามสิบ ฮั่วเสี่ยวเหวินเห็นเขาหนาวจนตัวสั่นก็ไม่สบายใจ เปิดประตูเชิญเขาเข้าบ้านอย่างใจดี
ชายคนนี้คุยเก่งมาก เรียกได้ว่าั้แ่เข้าบ้านมาก็คุยไม่หยุด หากอยู่ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด เขาต้องได้ทำงานเป็พนักงานฝ่ายขายแน่นอน
เขาบอกว่าตัวเองชื่อโจวเหอ เป็ลูกคนที่สองของบ้าน คนอื่นเรียกเขาว่าโจวคนรองกันหมด ฮั่วเสี่ยวเหวินนึกถึงคำด่าคำหนึ่งขึ้นมา คำว่า ‘แกนี่มันโง่[1]จริงๆ’
แต่ฟังจากที่เขาพูดมา เขาไม่โง่เลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังประสบความสำเร็จในการทำงานในเมืองและเคยไปเที่ยวซ่องโสเภณีหลายครั้ง
ฮั่วเสี่ยวเหวินถามด้วยความสงสัย “สมัยนี้ยังมีซ่องโสเภณีอีกหรือ?” ฮั่วเสี่ยวเหวินจำประวัติศาสตร์เกี่ยวกับ่เวลานี้ได้ไม่น้อย ประเทศจีนมีการปฏิรูปมานานแล้ว เหตุใดยังมีสถานที่จำพวกซ่องโสเภณีอยู่อีก?
“หนูน้อย เธอไม่รู้อะไรเสียแล้ว” โจวเหอพูดเจื้อยแจ้ว ต้องเปิดซ่องโสเภณีไม่ได้อยู่แล้ว แต่มีคนแอบเปิดอยู่
อย่างเช่นพวกบ่อนไพ่นกกระจอก ภายนอกเป็บ่อน แต่เถ้าแก่เนี้ยจะเสนอบริการบางอย่างให้แบบลับๆ
โจวเหอเชี่ยวชาญในด้านนี้มาก เล่าว่าตัวเองเคยนอนกับผู้หญิงแบบใดมาบ้างอย่างตื่นเต้น
ฮั่วเสี่ยวเหวินเริ่มระวังตัว แต่สีหน้ายังเป็ปกติอยู่ แสร้งทำเป็ถามเหมือนไม่ใส่ใจว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณลุงมาหมู่บ้านของพวกเราเพื่ออะไร?”
“ยังจะเพื่ออะไรได้อีก ก็ต้องเพื่อแนะนำเด็กสาวไปทำงานอยู่แล้ว พื้นที่ทุรกันดารแบบนี้จะมีงานอะไรให้ทำกัน?”
ทำงาน? ดูจากพฤติกรรมของชายคนนี้ ฮั่วเสี่ยวเหวินไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเขาจะแนะนำให้ไปทำงานอะไร
แม้ในหมู่บ้านจะเคยเกิดกระแสการเข้าไปทำงานในเมือง แต่ในนั้นมีคนงานที่เป็ผู้หญิงไม่มากนัก อย่างน้อยฮั่วเสี่ยวเหวินก็ยังไม่เคยได้ยินว่ามีลูกสาวบ้านใดในหมู่บ้านออกไปทำงานที่อื่น
ตอนแรกที่เจอโจวเหอ ฮั่วเสี่ยวเหวินไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็คนแบบนี้ การที่ผู้ชายแบบเขาพาผู้หญิงออกไปทำงาน พ่อแม่ที่พอจะให้ความใส่ใจในตัวลูกย่อมไม่ยอมให้เขาพาไป
“เธอจะไปกับฉันไหม? ฉันจะบอกอะไรให้นะ ชีวิตที่นั่น…”
โจวเหอพูดร่ายยาวไม่หยุด ฮั่วเสี่ยวเหวินเข้าใจแล้ว เขาหลอกคนออกไปทำงานได้เพราะมีฝีปากแบบนี้นี่เอง
หลังจากฝนหยุดตก โจวเหอยังไม่มีทีท่าว่าจะจากไป ฮั่วเสี่ยวเหวินจึงต้องเอ่ยปากเชิญเขากลับ “ฉันยังมีธุระ”
เป็ความจริงที่เธอมีธุระ ตอนแรกเธอตั้งใจจะตรงไปสถานีตำรวจ แต่คิดไปคิดมาแล้วไปแจ้งข่าวกับหัวหน้าหมู่บ้านก่อนดีกว่า คนในหมู่บ้านจะได้เพิ่มการป้องกัน
ท่าทีที่หัวหน้าหมู่บ้านมีต่อฮั่วเสี่ยวเหวินดูดีขึ้นมาก ไม่รู้ว่าใช่เพราะวันนั้นเฉินเทียนเหลยกำชับให้เขาดูแลเธอเป็พิเศษหรือไม่
“มา ลองกินนี่สิ” หัวหน้าหมู่บ้านดันขนมมาให้ฮั่วเสี่ยวเหวิน ทั้งยังถามเธอเื่กิจการเต้าหู้ และถามว่ายังรับซื้อผักกาดขาวอีกหรือไม่
รอจนหัวหน้าหมู่บ้านพูดจบ ฮั่วเสี่ยวเหวินจึงจะมีโอกาสพูดบ้าง
“หัวหน้าหมู่บ้าน คุณรู้เื่ที่มีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาพาผู้หญิงในหมู่บ้านออกไปทำงานโดยเฉพาะหรือไม่คะ?”
หัวหน้าหมู่บ้านส่ายหน้า ถามเธอว่าชายคนนี้มีปัญหาใช่หรือไม่
“คนที่เขาพาไปมีแต่ไปทำงาน…แบบนั้นค่ะ” ฮั่วเสี่ยวเหวินไม่อาจพูดถึงอาชีพนี้ได้ตรงๆ เหมือนโจวเหอ
หัวหน้าหมู่บ้านรับปากว่าจะช่วยแจ้งชาวบ้านให้ ในตอนที่ฮั่วเสี่ยวเหวินกลับบ้าน เธอเห็นโจวเหอะโเรียกชื่อจางหวาอยู่หน้าบ้านของจางต้ากั๋ว
เชิงอรรถ
[1] เอ้อร์(二) ในภาษาจีน คำว่าสองหรือเอ้อร์มีความหมายอีกนัยหนึ่งว่าโง่ มาจากคำว่า 二百五 ที่แปลว่าโง่หรือปัญญาอ่อนนั่นเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้