“เทียนเซี่ย............. นายได้ยินเสียงอะไรไหม? มันเหมือนเป็.......... เสียงเคาะประตู” ซูเฟยเฟยพูดออกมาอย่างกังวล กลางดึก มีพายุฝน ฟ้าร้อง และฟ้าผ่า.......... บ้านที่ไม่เคยมีแขกมาก่อนกลับมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาในเวลาอย่างนี้ทำให้หัวใจของเธอเต้นถี่แรงขึ้นมาอย่างชัดเจน
“ไม่ต้องสนใจ” เย่เทียนเซี่ยตอบกลับไปสบายๆ ตอนที่เขาอยู่บ้านคนเดียวก็เหมือนจะเคยได้ยินเสียงเคาะประตูอยู่บ้าง ปกติแล้วก็จะเป็พวกถามทาง มาหาผิดบ้าน หรือไม่ก็พวกขายของ...........เย่เทียนเซี่ยไม่เคยสนใจเสียงเคาะประตูทั้งหมดนั่น แม้แต่กริ่งหน้าบ้านของเขาก็ถูกเขาทำลายไปตั้งนานแล้วเหมือนกัน
“ดึกขนาดนี้จะเป็ใครกันนะ? อาจจะเป็...........” ร่างของซูเฟยเฟยขยับเข้าไปใกล้เย่เทียนเซี่ยโดยไม่รู้ตัว จนร่างของเธอแนบชิดไปกับร่างของเย่เทียนเซี่ยั้แ่เมื่อไรก็ไม่รู้ ความรู้สึกปั่นป่วนที่เกิดขึ้นในใจของเธอทำให้เธอมักจะปรารถนาให้เขาโอบกอดเธอไว้แน่นๆเสมอ
“คืนที่มีฝนตกแบบนี้ง่ายต่อการหลบหลีกการตรวจสอบและง่ายที่จะปกปิดเสียงหรือภาพต่างๆจากสายตาคนอื่น รวมทั้งยังสามารถกลบเกลื่อนร่องรอยได้อย่างหมดจดด้วยเหมือนกัน ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ที่มีปัจจัยอื่นๆเป็ตัวกำหนดอย่างนี้ คืนที่มีพายุฝนจึงเป็คืนที่เหมาะแก่การกำจัดคนที่สุด” ดวงตาของเย่เทียนเซี่ยสงบนิ่ง ก่อนที่เขาจะพูดออกมาเรียบๆ “แต่เธอวางใจเถอะ บ้านกลังนี้ค่อนข้างทนทาน ต่อให้มีคนอยากบุกเข้ามาจริงๆแค่เปิดประตูเข้ามาพวกมันก็ไม่มีปัญญาแล้วล่ะ”
คำพูดของเย่เทียนเซี่ยทำให้หัวใจของซูเฟยเฟยเต้นรัวไปอีกหลายเท่า แม้แต่ริมฝีปากของเธอก็ค่อยๆขาวซีดลงไปอย่างช้าๆ เธอค่อยๆสูดลมหายใจเข้าไปจากนั้นก็ยื่นมือทั้งสองข้างออกไปหาเย่เทียนเซี่ยแล้วััเข้ากับแขนของเขา เธอดึงแขนของเขาให้มาโอบกอดเธอเอาไว้ก่อนจะก้มหน้าลงต่ำแล้วซบลงบนไหล่ของเขา การทำอย่างนี้ทำให้เธอรู้สึกได้ว่าความปั่นป่วนของตัวเองสงบลงเล็กน้อย “สิบปีก่อน.............แม่ของฉันก็ตายในคืนที่มีพายุฝนและฟ้าผ่าแบบนี้แหละ...........”
หัวใจของเย่เทียนเซี่ยสั่นไหวเล็กน้อย มืออีกข้างของเขาเอื้อมออกไปอย่างห้ามไม่ได้แล้ววางลงบนไหล่เนียนกลมกลึงของเธอเพื่อปลอบโยนหัวใจที่ถูกปกคลุมไปด้วยเงาดำมืด
ก๊อก!
ก๊อก!
ก๊อก!
เสียงเคาะประตูยังคงดังอย่างต่อเนื่อง เสียงนั้นไม่เบาไม่หนัก........... พวกเขาฟังเสียงนั้นดังต่อไปอยู่พักใหญ่ คิ้วของเย่เทียนเซี่ยยิ่งขมวดเข้าหากันแน่นขึ้น เพราะความถี่ของเสียงเคาะประตูค่อนข้างสม่ำเสมอ มันสม่ำเสมอจนแทบจะอยู่ในระดับที่ไม่น่าเป็ไปได้ ระยะเวลาระหว่างการเคาะก่อนหลังสองครั้งก็เท่ากันเป๊ะๆ.......... เหมือนกับเครื่องจักรที่มีการคำนวณไว้อย่างแม่นยำและนำมาซึ่งเสียงเคาะแบบนั้น
เย่เทียนเซี่ยเริ่มคิดว่าเสียงเคาะประตูนั้นคงไม่ได้เป็เสียงเคาะธรรมดาเหมือนกับที่เขาคิดไว้ สัญชาติญาณที่รุนแรงยิ่งขึ้นเริ่มก่อตัวขึ้นภายในใจของเขา
“กลัวไหม?” เย่เทียนเซี่ยถามออกไปเสียงเบา
“อืม............” ซูเฟยเฟยก็ตอบกลับมาเสียงเบาเช่นกัน ร่างกายของเธอยังคงแนบชิดไปกับร่างของเย่เทียนเซี่ย
เย่เทียนเซี่ยลุกขึ้นจากที่นอนแล้วหยิบเสื้อคลุมของตัวเองขึ้นมาสวมใส่ตามด้วยเอื้อมมือไปเปิดไฟ เมื่อห้องนอนอันเงียบสงัดมีแสงไฟสว่างขึ้นมาเย่เทียนเซี่ยก็พูดออกมาเสียงต่ำ “เฟยเฟย ฉันจะออกไปดูหน่อย”
ซูเฟยเฟยเปิดผ้าห่มที่ห่อหุ้มร่างกายออกไปโดยไม่สนใจร่างกายของตนเองที่โผล่ออกมาแล้วรีบดึงแขนของเขาเอาไว้ “อย่าไปนะ........ ฉัน ฉันอยากอยู่กับนาย ถ้าอยู่คนเดียวฉันกลัว”
ชุดนอนบริเวณหน้าอกของซูเฟยเฟยถูกเนินเนื้อนูนของเธอดันขึ้นมาโดยมีจุกนูนสีชมพูสองข้างดันขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด คอของเย่เทียนเซี่ยแห้งผาก สายตาที่เขามองไปที่ซูเฟยเฟยเต็มไปด้วยอารมณ์เครียดขึง เขาพยักหน้าจากนั้นก็หาชุดคลุมที่ค่อยข้างใหญ่มาสวมให้ซูเฟยเฟยชุดหนึ่งแล้วดึงมือของเธอขึ้นมาก่อนจะเดินไปยังห้องรับแขก
ก๊อก!
ก๊อก!
ก๊อก!
เสียงเคาะประตูยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ความถี่ของมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย เท้าของเย่เทียนเซี่ยก้าวเข้าไปใกล้อย่างแ่เบาและไร้เสียง แต่แม้ว่าซูเฟยเฟยจะพยายามก้าวไปอย่างแ่เบาแค่ไหน แต่รองเท้าแตะของเธอก็ยังคงส่งเสียงดังออกมาขณะที่เธอกำลังเดินอยู่ดี และเมื่อพวกเขาเดินไปจนถึงห้องรับแขกเสียงเคาะประตูนั้นก็พลับหยุดลงดื้อๆ
สองมือของซูเฟยเฟยกอบกุมแขนซ้ายของเย่เทียนเซี่ยเอาไว้อย่างแ่า ไม่ใช่เพราะเธอขี้ขลาด แต่ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้ก็ต้องเกิดความกลัวและความตื่นเต้นขึ้นมาโดยธรรมชาติทั้งนั้น เย่เทียนเซี่ยลูบหลังมือของเธอแล้วพูดออกมาเบาๆ “วางใจเถอะ ต่อให้คนที่ยืนอยู่ข้างนอกเป็สไปเดอร์แมนฉันก็สามารถจัดการให้เขากลายเป็แมงมุมที่ตายแล้วได้ภายในเวลา 10 วินาที”
ซูเฟยเฟยยิ้มขึ้นมาน้อยๆ สองมือของเธอดูผ่อนคลายมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเดินไปถึงด้านหน้าประตูเย่เทียนเซี่ยไม่ได้รีบเปิดมันออกทันที แต่เขากลับมองผ่านตาแมวที่อยู่บนประตูบานนั้นออกไปด้านนอก........แม้ว่าด้านนอกจะมีพายุฝนซัดสาดแต่ดวงไฟที่ส่องสว่างเป็บริเวณเล็กๆก็ยังคงแจ่มชัดมากพอจะทำให้เขาเห็นว่าด้านหน้าประตูของเขาไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียว
เย่เทียนเซี่ยขมวดคิ้วแน่น เขายืดตัวขึ้นโดยไม่พูดอะไรจากนั้นก็ทำท่าให้ซูเฟยเฟยเงียบเข้าไว้ ดวงตาทั้งสองข้างของเขาปิดลงและขยายประสาทการรับรู้เพื่อััทุกสิ่งทุกอย่างด้านหน้าประตูอย่างเงียบๆ......... เสียงฝนตกซู่ซ่าและเสียงฟ้าผ่าที่ดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่องไม่อาจรบกวนความสามารถในการรับรู้ของเขาได้ แต่ผ่านไปครึ่งนาทีเขากลับไม่อาจััได้ถึงความเคลื่อนไหวอันผิดปกติใดๆทั้งสิ้น
ความรู้สึกไม่มั่นใจทำให้เย่เทียนเซี่ยยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น เย่เทียนเซี่ยเอื้อมไปเปิดไฟห้องรับแขกที่อยู่ข้างๆประตู แล้วเขาก็เงียบไปสักพักท่ามกลางแสงสว่างจ้า จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับซูเฟยเฟย “คนๆนั้นน่าจะไปแล้วล่ะ พวกเรากลับไปนอนเถอะ”
ซูเฟยเฟยที่หัวใจเต้นแรงและแทบจะแนบร่างติดไปกับร่างของเย่เทียนเซี่ยเดินกลับไปพร้อมกับเย่เทียนเซี่ย แต่เมื่อพวกเขาเดินกลับมาถึงประตูห้องนอนเสียงเคาะประตูแปลกๆนั่นก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง ความแรงของการเคาะยังคงเหมือนก่อนหน้านี้ทุกอย่าง ความถี่ของการเคาะก็ไม่แตกต่างไปเลยแม้แต่น้อย ฝีเท้าของเย่เทียนเซี่ยหยุดชะงักลง
ราวกับว่า.........มีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองทุกการกระทำของพวกเขา เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้เสียงเคาะประตูนั้นก็จะหยุดลง แต่เมื่อพวกเขาออกห่างเสียงนั่นก็จะดังขึ้นอีกครั้ง
“เทียนเซี่ย........” ซูเฟยเฟยเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปที่เย่เทียนเซี่ยที่มีท่าทีเคร่งขรึมขึ้นมา เธอแทบไม่เคยเห็นสีหน้าสีหน้าแบบนี้ของเย่เทียนเซี่ยเลยสักครั้ง
รอยยิ้มเย็นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเย่เทียนเซี่ย เขาส่ายหน้าช้าๆแล้วพูดขึ้นมา “เป็การเล่นเกมที่ฉลาดมาก.........แต่คนที่กล้าเล่นเกมกับฉันแบบนี้คงจะรู้ถึงผลที่จะตามมาสินะ”
เขาพาซูเฟยเฟยหมุนตัวเดินกลับไปทางประตูอย่างรวดเร็ว ขณะที่พวกเขากำลังเดินไปที่ห้องรับแขกเสียงเคาะประตูนั้นก็หยุดลงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เย่เทียนเซี่ยรีบปล่อยมือซูเฟยเฟยแล้วรีบพุ่งตัวไปด้านหน้าท่ามกลางเสียงกรีดร้องด้วยความใของเธอ พลังที่ะเิขึ้นอย่างฉับพลันทำให้ร่างของเขาพุ่งออกไปเหมือนลูกศรลูกหนึ่ง และความเร็วของเขาก็อยู่ในระดับที่น่ากลัวจนคนธรรมดาไม่อาจเข้าใจได้
เย่เทียนเซี่ยไม่ได้เปิดประตูเพราะการเปิดประตูอาจจะทำให้เวลาคลาดเคลื่อนไป ดวงตาของเย่เทียนเซี่ยที่พุ่งมาถึงหน้าประตูค้างอยู่ที่ตาแมวที่อยู่บนประตู............ สิ่งที่เขามองเห็นก็คือแสงไฟสีเหลืองอ่อนและพื้นดินที่ชุ่มไปด้วยน้ำฝน
ยังคงไม่มีใครอยู่ตรงนั้น
ซูเฟยเฟยที่กำลังตื่นตระหนกรีบวิ่งเข้ามาหาเย่เทียนเซี่ยอย่างรวดเร็วแล้วกอดเย่เทียนเซี่ยเข้าไปเต็มๆพร้อมกับอาการหอบน้อยๆ ตอนนี้มีแค่การอยู่ข้างกายเขาเท่านั้นถึงจะทำให้เธอหายกลัว
เย่เทียนเซี่ยคว้ามือซูเฟยเฟยเอาไว้แล้วถอยหลังไปไม่กี่ก้าวทำให้ซูเฟยเฟยขยับเข้ามาใกล้ด้านหลังของเขาทีละนิด ส่วนอีกมือนึงของเขาก็ยังคงจับอยู่บนประตูบานนั้นแล้วเปิดออกไปโดยไร้เสียง เขาค่อยๆเปิดมันออกอย่างช้าๆจนมันกลายเป็ช่องว่างเล็กๆ
ลูกบินประตูที่ถูกจับและประตูที่เปิดออกไม่ได้ส่งเสียงใดๆออกมาเลยแม้แต่น้อย เย่เทียนเซี่ยมีความเชื่อมั่นมากพอที่จะไม่หวาดกลัวศัตรูคนไหนทั้งสิ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาเย่อหยิ่งจนหลงลืมความระมัดระวังที่ไม่ควรลืม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเป็ปัจจัยที่ไม่แน่นอนครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นยิ่งทำให้เขาต้องระมัดระวังมาขึ้นกว่าเดิม
สายลมเย็นะเืพัดเข้ามาตามรอยแยกของประตูทำให้เส้นผมของเย่เทียนเซี่ยถูกพัดไปทางด้านหลัง ดวงตาแข็งกร้าวของเย่เทียนเซี่ยมองผ่านช่องว่างเล็กๆของประตูออกไปด้านนอก.......... ส่วนซูเฟยเฟยที่แนบชิดและถูกเขาปกป้องเอาไว้ด้านหลังก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าทันทีที่เย่เทียนเซี่ยเปิดประตูแล้วมองผ่านช่องว่างออกไปด้านนอกร่างของเขาก็แข็งค้างไปอย่างเห็นได้ชัด แม้กระทั่งใบหน้าของเขาก็แสดงความตกตะลึงออกมาอย่างชัดเจน
“เทียน.......... เทียนเซี่ย............” สองมือของซูเฟยเฟยกำแน่น ความตึงเครียดแปลกๆทำให้เธอส่งเสียงออกไปแ่เบา
จากนั้นใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงเมื่อประตูบานใหญ่ถูกเย่เทียนเซี่ยเปิดออกกว้าง
สายลมที่คละเคล้าไปกับสายฝนและเสียงฟ้าผ่าดังชัดเจนยิ่งขึ้น ช่องว่างระหว่างประตูที่ถูกเปิดออกทำให้ซูเฟยเฟยมองเห็นเพียงบันไดของวิลล่าที่อยู่ด้านหน้า แต่แล้วสายตาของเธอก็ขยับมองต่ำลงไป.........
แล้วในตอนนั้นสายฟ้าเส้นหนึ่งก็ผ่าลงมาจนเกิดแสงสว่างจ้าสะท้อนให้เห็นถึงเงาร่างเล็กๆและงดงามของเด็กหญิงคนหนึ่ง เธอยืนนิ่งงันอยู่ท่ามกลายสายฝน ปล่อยให้น้ำฝนชโลมไปทั่วเส้นผมและชุดกระโปรงสีม่วงของเธอ เธอดูนิ่งเงียบจนเกินไป แม้ว่าประตูจะถูกเปิดออกมาและมีคนสองคนปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของเธอแล้วก็ตามแต่เธอก็ยังคงยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น
ในเวลานั้นไม่ต้องพูดถึงซูเฟยเฟยเลย แม้แต่เย่เทียนเซี่ยเองก็ค่อนข้างสับสนเช่นเดียวกัน
“เทียนเซี่ย เธอ...........” เมื่อมองเด็กสาวแปลกๆที่นิ่งเงียบคนนั้นซูเฟยเฟยก็มองไปที่เย่เทียนเซี่ย ในคืนที่เต็มไปด้วยสายฝน ฟ้าร้องและฟ้าผ่า เด็กผู้หญิงคนนี้คือคนที่เพิ่งจะเคาะประตูหรอกเหรอ? มิน่าล่ะตอนที่มองออกมาจากตาแมวถึงมองไม่เห็นอะไรเลย เพราะร่างของเธอนั้นเล็กมากๆ ส่วนสูงของเธอนั้นต่ำว่าความสูงของตาแมวซะอีก
บางทีอาจเป็เพราะเสียงของซูเฟยเฟย ในที่สุดเด็กสาวคนนั้นก็มีปฏิกิริยาขึ้นมา เธอเงยหน้าขึ้นมาเผยให้เห็นใบหน้าเล็กๆอันงดงามที่มีสีขาวนวลเหมือนน้ำนม เสื้อผ้าทั่วทั้งร่างของเธอถูกน้ำฝนสาดใส่จนเปียกชุ่มแนบสนิทไปกับร่างกายสมส่วนของเธอ ร่างเล็กๆนั้นบอบบางจนเหมือนขาดสารอาหาร กระโปรงลายลูกไม้สีม่วงที่เธอสวมอยู่เผยให้เห็นแขนทั้งสองข้างและไหล่นวลเนียนของเธอ แม้ว่าเส้นผมอันอ่อนนุ่มยาวสลวยของเธอจะเปียกน้ำฝน แต่มันกลับไม่ยุ่งเหยิงเลยสักนิด มันยังคงงดงามจนน่าหลงใหล.......... ลักษณะภายนอกของเด็กสาวคนนั้นดูงดงามละเอียดอ่อนมากจนเกินไป เมื่อมองดูแล้วเธอเหมือนตุ๊กตาที่แสนจะน่ารัก แต่ก็เหมือนกุหลาบงามที่แสนละเอียดอ่อน เพียงแต่ตุ๊กตาที่แสนงามตัวนี้กลับขาดการตกแต่งด้วยคริสตัลที่งดงามที่สุดสองเม็ด............
ดวงตาของเธอ........... ดวงตาของเธอที่อยู่บนใบหน้าที่แหงนเงยขึ้นมาปิดสนิท มันไม่มีดวงตาที่เปิดลืมอย่างที่ควรจะมีแต่กลับมีเพียงแพขนตายาวสองแถวเท่านั้น
เย่เทียนเซี่ยหันไปสนใจความเงียบงันโดยรอบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่อีกแล้วจริงๆ ความสงสัยกดทับลงบนหัวใจส่วนลึกของเขา เขาทรุดกายลงแล้วถามออกไปเบาๆ “น้องสาว เธอชื่ออะไรเหรอ? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ........ หลงทางเหรอ?”
...........ไม่มีเสียงตอบกลับ แต่เมื่อเสียงของเย่เทียนเซี่ยดังขึ้นมาเขาก็มองเห็นว่าร่างของเด็กสาวคนนั้นสั่นสะท้านขึ้นมาเล็กน้อย............ดูเหมือนจะเป็เพราะการต่อสู้กับความหนาวเย็นที่พัดเข้ามา
เด็กหญิงที่เปียกปอนท่ามกลางสายฝนทำให้ซูเฟยเฟยเ็ปหัวใจ เธอขยับเข้าไปด้านหน้าแล้วเอื้อมมือไปดึงมือของเด็กหญิงคนนั้นขึ้นมา “เทียนเซี่ย ให้เธอเข้ามาก่อนเถอะ เด็กตัวเล็กขนาดนี้เดี๋ยวจะเปียกฝนจนไม่สบายไปซะก่อน”