“เฉียนต้าเพ่า เ้าอย่าพูดจาไร้สาระ หากเ้าอยู่เฉยๆ ไม่เป็ก็ออกไปซะ!” เดิมทีในใจพี่รองสกุลติงก็ไม่ชอบพ่อลูกสกุลเฉียนอยู่แล้ว พอได้ยินเขาพูดจาเช่นนี้จึงเอ่ยปากไล่ทันที
ทว่าพี่ใหญ่สกุลเฉียนกลับหน้าหนาไม่เบา เขาแอบมองไปที่ติงเหว่ยด้วยสายตาลามกสองสามที และพูดอย่างเหยียดหยามว่า “หากข้าไม่กลัวว่าหญิงสาวในหมู่บ้านจะพลอยติดร่างแหจนไม่อาจแต่งงานไปด้วย เ้าคิดว่าข้าอยากมาเหยียบบ้านเ้าหรือยังไง เลี้ยงบุตรได้ไร้จรรยาบรรณของสตรีเพศเช่นนี้ ลูกสาวแอบตั้งครรภ์เพราะแอบมีชู้ ตอนนี้เื่อื้อฉาวของครอบครัวสกุลติงดังไปไกลเป็สิบลี้แล้ว!”
“นั่นสิ เมื่อวานข้าเห็นว่าพวกเ้าเชิญหมอมาตรวจชีพจรให้ลูกสาวชัดๆ แล้วยังเอาลูกสะใภ้รองมาใช้เป็ข้ออ้างอีก คิดว่าคนในหมู่บ้านโง่เขลานักหรือ!” ผู้าุโเฉียนกลอกดวงตาสีเหลืองขุ่นไปมาแล้วตำหนิว่า “ในหมู่บ้านนี้มีหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานตั้งสิบกว่าคน ทั้งยังมีเด็กสาวอีกไม่น้อย พอถึงเวลานั้น หากเื่นี้กระจายออกไป ใครจะกล้ามาเป็แม่สื่อให้ พวกเ้าทั้งครอบครัวกำลังนำหายนะครั้งใหญ่มาให้คนทั้งหมู่บ้านเรา!”
ผู้าุโคนอื่นๆ ที่มีสีหน้าอ่อนโยนในคราแรก ต่างตระหนักว่าแม้คำพูดของพ่อลูกสกุลเฉียนจะไม่ค่อยน่าฟัง แต่พวกเขาก็พูดจามีเหตุผล ดังนั้นเหล่าผู้าุโจึงค่อยๆ พากันจ้องไปทางผู้าุโติงด้วยสายตาเ็า และบีบถามว่า “น้องชาย เ้าพูดอะไรบ้างสิ ข่าวลือของเ้าเด็กน้อยสรุปว่าจริงหรือไม่กันแน่?”
“นั่นสิ หมู่บ้านเราไม่มีเื่อื้อฉาวมาหลายปีแล้ว หากข่าวแพร่สะพัดออกไปจะทำให้เกิดความยุ่งยากครั้งใหญ่ เ้ารีบพูดออกมาเร็วๆ สิ!” พี่ใหญ่สกุลเฉียนเดินไปข้างหน้าสองก้าว แล้วบีบถามติงเหว่ยอย่างเดือดดาลว่า “นางผู้หญิงต่ำช้า ทำไมไม่ยอมพูดความจริงอีก เ้าอยากให้ทั้งหมู่บ้านกลายเป็ที่ไหว้บรรพชนหรือยังไง”
ขณะที่เขาพูดถ้อยคำเหล่านี้ มือขวาของเขาก็หยิบผงแป้งจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าและสาดไปที่ติงเหว่ย เดิมทีติงเหว่ยคิดจะตอบโต้สักประโยคสองประโยค ทว่าผงแป้งเ่าั้กลับมีกลิ่นประหลาดที่ฉุนมาก เมื่อััโดนร่างกาย นางก็อดไม่ได้ที่จะก้มตัวลงและอาเจียนออกมา ไม่นานใบหน้าของนางเริ่มซีดขาวอย่างทรมานและมีเหงื่อไหลไม่หยุด
แม่นางหลี่ว์กรีดร้อง รีบเข้าไปประคองลูกสาวของนางและถามซ้ำๆ ว่า "เหว่ยเอ๋อร์ เ้าเป็อะไรไป?"
ทันใดนั้น ติงเหว่ยก็เงยหน้าขึ้นและถามพี่ใหญ่สกุลเฉียนด้วยความโกรธว่า "เ้าสาดของประหลาดอะไรใส่ข้า?"
พี่ใหญ่สกุลเฉียนหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ ในขณะที่เขาปัดมืออยู่ก็พูดกับผู้ใหญ่บ้านและเหล่าผู้าุโไปด้วยว่า "นี่คือชิวหลายเซียงที่ข้าซื้อมาจากร้านขายยาในเมือง เมื่อใดก็ตามที่หญิงตั้งครรภ์ได้กลิ่นผงยานี้ก็จะกลายเป็แบบนางนี่แหละ” เดิมทีติงเหว่ยอยากจะเถียงข้างๆ คูๆ แต่ตอนนี้ความจริงถูกเปิดเผยไปเสียแล้ว!
เหล่าผู้าุโและผู้ใหญ่บ้านต่างมีสีหน้าไม่น่าดู พวกเขาสบตากัน จากนั้นผู้ใหญ่บ้านก็พูดว่า "น้องติง เ้ามีอะไรอยากพูดอีกหรือไม่"
ผู้าุโติงร้อนใจมากจนผมของเขาแทบจะลุกเป็ไฟ ขอเพียงมีวิธีที่สามารถช่วยลูกสาวของเขาได้แม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม แต่น่าเสียดายที่เื่นี้เกี่ยวข้องกับคนทั้งหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ คงไม่มีวันปล่อยเื่นี้ไปง่ายๆ แน่
ถึงแม้ว่าพี่รองสกุลติงจะเดินทางแทบตลอดทั้งปี มีประสบการณ์มากมาย ทว่าตอนนี้เขาก็คิดอะไรไม่ออกเช่นกัน
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอันน่าขนลุกครู่หนึ่ง ไม่มีฝ่ายใดพูดอะไรหรือยอมถอย ผู้าุโติงถอนหายใจยาว และสุดท้ายก็พูดเพียงว่า "ครอบครัวของข้าโชคไม่ดี พรุ่งนี้ข้าจะส่งบุตรสาวไปอยู่ที่อื่น เื่นี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อคนในหมู่บ้านแน่นอน"
พอได้ยินดังนั้น ผู้าุโเฉียนและบุตรชายกลับะโอย่างกัดไม่ปล่อยว่า "ไม่ได้ เ้าส่งคนออกไปซ่อนตัว แต่เด็กหญิงและชายในหมู่บ้านยังคงถูกร่างแหไปด้วย ครอบครัวสกุลติงวางแผนได้ดีจริงๆ !"
ผู้าุโติงโกรธมากจนตบไปที่โต๊ะ แล้วพูดด้วยความโมโหว่า "งั้นพวกเ้าพูดมาสิ ้าให้ทำยังไงกันแน่!"
“อันที่จริงเื่นี้ง่ายมาก” ผู้าุโเฉียนนั่งไขว้ขาทั้งสองข้าง ดวงตาสีเหลืองขุ่นของเขากลอกไปมาจนแทบจะถลน “ในเมื่อนางตั้งครรภ์ลูกของชายชู้ก็ให้ไปทำแท้งเสีย ส่วนเด็กน้อยเหว่ย ก็ให้นางไปบวชที่หนีกู่อัน [1] ทางทิศเหนือซะ นางจะได้สำนึกผิดบาปไม่มากก็น้อย ชาติหน้าจะได้ไปเกิดในครอบครัวดีๆ ไม่ต้องทำเื่อื้อฉาวเช่นนี้อีก!”
“เ้าอย่าพูดจาไร้สาระ!” ไม่รอให้ใครพูดอะไร แม่นางหลี่ว์เป็คนแรกที่ลุกขึ้นมาและคัดค้านว่าติงเหว่ยเพิ่งจะอายุได้ 16 ปี ไม่ต้องพูดถึงว่าการทำแท้งเป็อันตรายต่อร่างกายมากขนาดไหน แล้วยังให้นางไปบวชชีที่หนีกู่อันและชิงเติงกู่ฝัว [2] ตลอดชีวิตอีก คนเป็พ่อแม่ไหนเลยจะทนได้
“เมื่อปีก่อนครอบครัวสกุลเฉียนของเ้า้าซื้อที่เพาะปลูกของครอบครัวข้า แต่ครอบครัวข้าไม่เห็นด้วย พวกเ้าต่างก็พูดจาสาดเสียเทเสียใส่ครอบครัวของพวกข้าไปทั่วทั้งหมู่บ้าน อย่าคิดว่าพวกข้าไม่รู้นะ! พวกเ้าอิจฉาที่ครอบครัวข้ามีชีวิตความเป็อยู่ที่ดีใช่หรือไม่ เป็หมาป่าทั้งครอบครัว พอไม่ได้กินเนื้อจึงพากันออกมาสร้างปัญหาสินะ…” นางเหมือนจะพูดอะไรต่อ ทว่าจู่ๆ ติงเหว่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับพูดขึ้นว่า “ท่านแม่…ข้าปวดท้องจังเลย!”
……
“โธ่ เหว่ยเอ๋อร์!”
วันนี้เหว่ยเอ๋อร์สวมกระโปรงสีอ่อน ไม่รู้ว่ากระโปรงนางเต็มไปด้วยเืสีแดงฉานั้แ่เมื่อไร แม่นางหลี่ว์ใจนมือไม้อ่อนไปหมด แล้วร้องไห้เสียงดังว่า “เหว่ยเอ๋อร์ เ้าเป็อะไรไป เ้าอย่าทำให้แม่ใสิ!”
แม่นางหลิวรีบเข้าไปช่วยพยุงเหว่ยเอ๋อร์ให้นั่งบนเก้าอี้ เหว่ยเอ๋อร์กอดท้องของนางแน่น รู้สึกว่าภายในท้องกำลังบีบตัวจนทำให้นางเ็ปอย่างมาก ราวกับมีของสำคัญบางอย่างกำลังจะจากนางไป
“ท่านแม่ ท่านรีบไปตามท่านหมอมาที ข้า้าเก็บเด็กคนนี้ไว้”
“ได้ๆ! เหว่ยเอ๋อร์เ้าไม่ต้องกลัว แม่อยู่ตรงนี้!” แม่นางหลี่ว์ทำหน้าตาขึงขังพลางะโสั่งลูกชายคนรองว่า “เ้ารีบไปตามท่านหมอจางมา เหว่ยเอ๋อร์กำลังรอให้เขามาช่วยชีวิตอยู่”
พี่รองเตรียมจะวิ่งออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว ทว่าพริบตาเดียวพี่ใหญ่สกุลเฉียนกลับยืนขวางที่ประตู เขาทำหน้าขึงขังใส่แล้วพูดว่า “จะหาหมออะไรกัน ก็แค่ลูกกับชายชู้ ทำแท้งเสียก็จบ พวกเ้าลองคิดสิว่าจะอธิบายกับคนทั้งหมู่บ้านยังไง”
“ข้าไม่อธิบายอะไรทั้งนั้น!” พี่รองสกุลติงเพิ่งเห็นกับตาว่าอีกฝ่ายสาดผงยาทำร้ายน้องสาว แล้วตอนนี้ยังมาพูดจาประชดประชันใส่อีก เขาระงับความโกรธไม่ไหวอีกต่อไป พลันลุกขึ้นและชกไปที่พี่ใหญ่สกุลเฉียนหนึ่งหมัด อีกฝ่ายเ็ปไม่น้อยและตอบโต้กลับทันที
เวลาพี่น้องทะเลาะกัน พี่ชายคนโตสกุลติงจะเคารพกฎกติกาเสมอ แต่เวลานี้เมื่อเห็นน้องชายแท้ๆ ของตนเองตีกับคนอื่นจนยุ่งเหยิงไปหมด กลับโยนเสื้อคลุมทิ้งและเข้าไปตะลุมบอนด้วย ไม่ทันไรสองพี่น้องก็สามารถจับพี่ใหญ่สกุลเฉียนตรึงไว้บนพื้นได้ พี่ใหญ่สกุลเฉียนเองก็ไม่ยอมเสียเปรียบ กลิ้งหลุนๆ ไปมาบนพื้นทั้งเตะทั้งต่อย โต๊ะและเก้าอี้ในบ้านล้มระเนระนาด ฝุ่นคละคลุ้งเต็มห้องไปหมด
เมื่อผู้าุโเฉียนเห็นกับตาว่าลูกชายกำลังเสียเปรียบ จึงรีบะโขึ้นแล้วะโว่า “สกุลติงอับอายกลายโทสะ [3] จนจะฆ่าคนแล้ว! รีบมาดูความไร้ยางอายของสกุลติงเร็วเข้า!”
เมื่อผู้าุโติงเห็นแบบนี้ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว ยกหม้อยาสูบขึ้นแล้วสูบลงบนหัวของผู้าุโเฉียน "ข้าปล่อยให้เ้าวิ่งไปวิ่งมา [4] ข้าปล่อยให้เ้าอิจฉาตาร้อน และข้ายังปล่อยให้เ้าทำร้ายลูกสาวของข้าอีก!”
ผู้าุโเฉียนไม่ได้แข็งแรงเท่าผู้าุโติง เขากุมหัวแล้วะโด้วยเสียงที่ดังขึ้นว่า “ไอ้หยา เขาจะฆ่าข้าแล้ว ท่านผู้ใหญ่บ้าน พี่ชายทั้งหลาย พวกท่านรีบมาช่วยข้าเร็ว!”
แม้ว่าผู้ใหญ่บ้านจะไม่ชอบวิธีการของสองพ่อลูก แต่อย่างไรพวกเขาก็มาที่บ้านสกุลติงด้วยกัน จึงรีบเข้าไปช่วยกันดึงผู้าุโติงออกมาแล้วพูดจาเกลี้ยกล่อมว่า “ยังไงก็รีบไปเชิญท่านหมอจางมาก่อนเถิด อย่าเพิ่งทะเลาะกันเลย!”
เมื่อพี่ใหญ่และพี่รองได้ยินดังนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าน้องสาวของพวกเขากำลังต่อสู้ดิ้นรนอยู่ พี่รองสกุลติงรีบออกไปเชิญท่านหมอจาง ส่วนพี่ใหญ่ทำหน้าราวกับราชสีห์ [5] และรีบไปยืนปกป้องอยู่ด้านหน้าน้องสาว
……
ผ่านไปไม่นาน ท่านหมอจางก็มาถึงพร้อมกับสะพายกล่องยามาด้วย ไม่จำเป็ต้องพูดอะไรให้มากความ การเคลื่อนไหวของสกุลติงตอนนี้ล้วนทำให้ทั้งหมู่บ้านตื่นตระหนก ด้านหลังของเขามีบุรุษ สตรี คนแก่และเด็กกว่าร้อยคน
แต่แม่นางหลี่ว์ไม่ได้สนใจ นางร้องไห้และอ้อนวอนขอให้ท่านหมอจางช่วยตรวจชีพจรของเหว่ยเอ๋อร์ ท่านหมอขมวดคิ้วและตรวจชีพจร ในที่สุดเขาก็กวาดตามองใบหน้าอมทุกข์ของคนทั้งภายในและภายนอกห้อง แล้วถามด้วยน้ำเสียงแ่เบาว่า "จะเก็บเด็กคนนี้ไว้ไหม?"
ก่อนที่แม่นางหลี่ว์จะทันตอบ เหว่ยเอ๋อร์ที่ยังพอมีสติหลงเหลืออยู่กึ่งหนึ่งก็รีบพูดว่า “เก็บเด็กคนนี้ไว้ ถ้าหากเด็กคนนี้ไม่รอด ข้าก็ไม่อยู่แล้วเช่นกัน!”
เดิมทีแม่นางหลี่ว์ยังคงมีท่าทีสับสน แต่เมื่อได้ฟังเช่นนี้ก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้น “เ้าเด็กอยากมีภาระคนนี้นี่ ทำไมเ้าต้องดื้อรั้นถึงเพียงนี้!”
ผู้าุโติงก้าวไปด้านหน้าสองก้าวด้วยสีหน้ามืดมน พูดเสียงทุ้มว่า “จะต้องเก็บเด็กคนนี้ไว้! วันนี้ข้าติงเหล่าฉือขอประกาศตรงนี้เลยว่า หากใครกล้าแตะต้องลูกสาวข้าและลูกของนางแม้เพียงปลายนิ้ว ครอบครัวสกุลติงจะตามราวีคนผู้นั้นไม่หยุดจนกว่าชีวิตข้าจะหาไม่!”
เมื่อแม่นางหลี่ว์เห็นสามีพูดเช่นนี้ นางจึงปาดน้ำตาและะโด้วยเสียงอันแหบแห้งว่า “พวกเ้าคอยดูเถอะ! เหว่ยเอ๋อร์ของพวกเราเป็ลูกศิษย์ของท่านย่าเทวาูเา นางมักเรียนงานฝีมือต่างๆ กับท่านในความฝัน พวกเ้าทำร้ายนาง จะต้องถูกลงทัณฑ์อย่างแน่นอน!”
ไม่รู้ว่าเป็เื่บังเอิญหรือท่านย่าเทวาูเามีอยู่จริงกันแน่ ทันทีที่แม่นางหลี่ว์พูดจบ ก็เกิดเสียงดังราวฟ้าผ่ามาจากเชิงเขาซีชานด้านนอกหมู่บ้าน
ทั้งชาวบ้านที่ยืนอยู่ในลานบ้านเพื่อรอดูเื่สนุกๆ หรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่บ้านและเหล่าผู้าุโที่อยู่ในบ้านต่างพากันตกตะลึง ในไม่ช้าชายหนุ่มที่ฝีเท้าเร็ววิ่งออกจากหมู่บ้านไปสำรวจดู หลังจากนั้นเขาก็รีบวิ่งกลับมารายงานด้วยเสียงอันดังว่า “แย่แล้ว วัดฉานเชินทีู่เาซีชานถล่มลงมาแล้ว! ท่านย่าเทวาูเาต้องทรงพิโรธเป็แน่!”
ทุกคนต่างมีสีหน้าซีดเผือด และหันไปมองติงเหว่ยที่พิงอยู่ในอ้อมแขนของแม่นางหลี่ว์ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเคารพและหวาดกลัวภายในใจ
……
ปกติแล้วครอบครัวชาวนามีการศึกษาค่อนข้างน้อยและไม่ค่อยรู้เหตุรู้ผลอะไรมากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงให้ความเคารพนับถือต่อภูตผีและเทพเ้ามากที่สุด วัดฉานเชินที่ตั้งอยู่เชิงเขาซีชาน ทั้งหมู่บ้านต่างจุดธูปกราบไหว้มาตลอดหลายปี ไม่ว่าครอบครัวมีเื่ทุกข์ร้อนอะไรก็พากันไปกราบไหว้สักหน่อย แม้ว่าคำขอจะไม่สำเร็จทุกประการแต่ก็ยังมีร่องรอยของปาฏิหาริย์อยู่บ้าง ทว่าวันนี้จู่ๆ วัดฉานเชินกลับถล่มลงมา ต้องเป็เพราะท่านย่าเทวาูเาทรงพิโรธเป็แน่ ส่วนสาเหตุก็คงไม่พ้นเื่ที่ลูกศิษย์ของนางได้รับาเ็
ชาวบ้านบางคนที่ขี้ขลาดถึงกับใจนแข้งขาอ่อน ส่วนผู้าุโต่างพากันพนมมือไปทางทิศตะวันตกและในปากก็พึมพำไปมาว่า “ท่านย่าเทวาูเา ขอให้ท่านอย่าเข้าใจผิด เื่นี้เป็เพราะสกุลเฉียนที่ไปล่วงเกินท่าน ไม่เกี่ยวกับพวกเราเลย”
พ่อลูกสกุลเฉียนยืนใบหน้าเขียวคล้ำอยู่ที่ประตูโดยไม่รู้จะทำอย่างไร พี่รองสกุลติงเล็งไปที่บั้นท้ายของพวกเขาทั้งสอง และถีบพวกเขาไปคนละทีพลางะโด่าว่า “ยังไม่รีบออกไปอีก เ้าระวังไว้เถอะ น้องสาวข้าจะไปรายงานต่อท่านย่าเทวาูเา และให้ท่านจัดการพวกเ้าทั้งครอบครัวให้สิ้นซาก!”
พี่ใหญ่สกุลเฉียนล้มลงเหมือนสุนัขที่นอนกินอึอยู่บนพื้น เขาะโขึ้นมาและอยากตอบโต้ ทว่าผู้าุโเฉียนกลับดึงเขาและวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเหล่าผู้าุโที่อยู่ภายในบ้านต่างก็ค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วพูดอย่างคลุมเครือว่า “น้องติง เ้ารีบไปดูแลเ้าเด็กน้อยเหว่ยเอ๋อร์เสียก่อนเถิด เื่อื่นค่อยว่ากันในภายหลัง”
มีเพียงผู้ใหญ่บ้านเท่านั้นที่ไม่มีความหวาดกลัวปรากฏในแววตา เขาก้มหน้าเล็กน้อยให้ครอบครัวสกุลติงเป็เชิงบอกขอตัวกลับก่อน
ในไม่ช้าลานบ้านสกุลติงที่แต่เดิมเต็มไปด้วยผู้คนยืนแน่นเบียดเสียดจนแม้แต่น้ำก็ไหลผ่านออกมาไม่ได้ [6] บัดนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของใครสักคน เงียบสงบราวสุสาน
……
ท่านหมอจางฝังเข็มให้ติงเหว่ยอย่างรวดเร็ว จากนั้นหยิบขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมาจากกล่องยา เทยาเม็ดหนึ่งละลายกับน้ำในชาม แล้วให้แม่นางหลี่ว์ป้อนเหว่ยเอ๋อร์ หลังผ่านไปครู่หนึ่งจึงตรวจชีพจรของนาง เขาถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ท่านหมอจางลุกขึ้นพลางเก็บกล่องยาและพูดว่า “ภายในหนึ่งเดือนนี้อย่าลุกขึ้นจากเตียง บำรุงร่างกายเยอะๆ เด็กคนนี้ก็ถือว่ารอดแล้ว”
ผู้าุโติงรีบขอบคุณ "ต้องขอบคุณเ้าแล้ว น้องจาง"
ท่านหมอจางกลับโบกมือและหยิบเงินตำลึงออกมากำหนึ่งจากในเสื้อ คืนให้ผู้าุโติง “หากพูดกันแล้ว เื่นี้ก็นับว่าเป็ความผิดของข้า วันนั้นข้ารับปากพี่ติงแล้วว่าจะเก็บเป็ความลับ ไม่นึกเลยว่าฮูหยินข้าจะ…”
เขาพูดได้เพียงครึ่งทางก็ถอนหายใจ แล้วพูดต่อว่า “อย่างไรก็ตาม ข้าทำผิดต่อพี่ติง จากนี้หากเหว่ยเอ๋อร์ไม่สบายที่ใด แค่ตามข้ามาก็พอ”
-----------------------------------------
[1] หนีกู่อัน 尼姑庵 หมายถึง อาราม สำนักชี
[2] ชิงเติงกู่ฝัว 青灯古佛 หมายถึง ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวเหมือนในพุทธศาสนา
[3] อับอายกลายโทสะ 恼羞成怒 หมายถึง โกรธเนื่องจากความละอายและขุ่นเคือง
[4] วิ่งไปวิ่งมา 上蹿下跳 หมายถึง หาเื่ไปทั่ว
[5] ทำหน้าราวกับราชสีห์ 虎着脸 หมายถึง มีสีหน้าจริงจัง ไม่ยิ้มแย้ม แสดงท่าทีขึงขัง มีที่มาจาก "เสือ" มักใช้เป็คำกริยา บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันบนใบหน้า เผยให้เห็นสีหน้าดุร้าย เช่น เสือมองนกอินทรี (虎视鹰瞵)
[6] แม้แต่น้ำก็ไหลผ่านออกมาไม่ได้ 水泄不通 หมายถึง คนหนาแน่น หรือถูกล้อมอย่างแ่า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้