“เื่นี้เจอกับจุดบอดทางสติปัญญาของฉันเข้าแล้วละ” ซือจวิ้นไม่ได้นึกถึงขั้นนี้เลยแม้แต่น้อย เมื่อได้เผชิญกับสายตาอันแน่วแน่เด็ดเดี่ยวของชวีเสี่ยวปอ ซือจวิ้นก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาแล้วว่า สิ่งที่เขาพูดไปก่อนหน้านี้ยังนับว่ามีประโยชน์อยู่หรือเปล่า เพราะถึงยังไงในแง่ของการรู้จักและเข้าใจเซี่ยเจิงเป็อย่างดี ชวีเสี่ยวปอถึงจะเป็คนที่มีสิทธิ์พูดได้มากที่สุด
“ไม่ว่าตรงไหนของสติปัญญานายก็เป็จุดบอดหมดนั่นแหละ” ชวีเสี่ยวปอขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกไม่สบายใจสุดๆ
“เฮ้ อย่ามาบูลลี่กันดิ” ซือจวิ้นพูดขึ้น “ปอเอ๋อร์ เพราะงั้นความหมายของนายก็คือ เซี่ยเจิงอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่รู้ทั้งรู้ว่าคนคนนั้นสนใจเขา แต่ก็ยังไปดื่มเหล้าด้วย? ”
“ประมาณนั้นแหละ” เสียงของชวีเสี่ยวปอสั่นขึ้นมา “ฉันกับเซี่ยเจิงไม่เหมือนกัน”
“ฮะ? ” ซือจวิ้นไม่เข้าใจอีกแล้ว ความรัก สิ่งโชคร้ายแบบนี้มักจะทำให้เขารู้สับสนงุนงงอยู่เรื่อยเลย
“เขามีตัวเลือกอื่นได้ แต่ฉันไม่มี” ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกบีบหัวใจขึ้นมาทันที ความรู้สึกสับสนซึ่งเป็เหมือนเดจาวูที่ได้ห่างหายไปนานได้กลับมาอีกครั้ง “เป็ไปไม่ได้เลยที่ฉันจะชอบ...ผู้ชายคนอื่น” สองคำสุดท้ายนี้เขาเอ่ยเน้นเสียงหนักออกมา อันที่จริงชวีเสี่ยวปอยังอยากเสริมอีกประโยคหนึ่งด้วยว่า บางทีตอนนี้เขาอาจจะไม่สามารถชอบผู้หญิงได้แล้วเหมือนกัน
“ปอเอ๋อร์ อย่าเป็แบบนี้สิ” หลังจากที่ซือจวิ้นฟังจบ เขาก็รู้สึกไม่สบายใจตามไปด้วยแล้ว ถึงแม้ว่าเื่แบบนี้จะพบเห็นได้ทั่วไป แต่เมื่อเกิดขึ้นกับคนอื่นเขากลับไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ทว่าคนอย่างชวีเสี่ยวปอถ้าหากสามารถทำความเข้าใจคร่าวๆ ด้วยตัวเองได้แล้ว เขาก็จะไม่มีทางเปิดปากพูดกับคนอื่นเลยสักคำเดียว จากที่ซือจวิ้นรู้จักเขามาก็รับรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่เขาพูดมันมีความหมายอะไรแฝงอยู่ในนั้น
“ไม่เป็ไร อย่างมากก็แค่...ทำแบบนั้นละมั้ง” ชวีเสี่ยวปอกัดริมฝีปาก สะบัดมือลงอย่างแสร้งทำเป็ผ่อนคลาย แต่คำพูดที่กำกวมนั้นกลับเผยความคิดที่แท้จริงของเขาออกมาเป็ที่เรียบร้อย ในตอนที่เขาคบกับเซี่ยเจิงก็เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนมากมาย ทว่า “ความชอบ” มันไม่ใช่ผลผลิตของความไร้เดียงสาและความวู่วาม ไม่เช่นนั้นตอนแรกที่เขายังไม่รู้ใจตัวเอง ก็คงจะไม่ต้องมานั่งกลัดกลุ้มถึงเพียงนั้น
แน่นอนว่าเขาไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องเลิกกับเซี่ยเจิง
“ถ้างั้นตอนนี้จะทำยังไงต่อไปดี” ซือจวิ้นถอนหายใจ เขาอยากที่จะพูดปลอบใจชวีเสี่ยวปอสักหน่อย แต่ก็รู้สึกว่าจริงๆ แล้วคำพูดเหล่านี้มันล้วนแต่ไร้ประโยชน์ “อันที่จริง ฉันแนะนำให้นายไปคุยต่อหน้ากับเซี่ยเจิงจะดีที่สุด จริงสิ วันนั้นตอนที่นายเดินจากไป เซี่ยเจิงไม่มีท่าทีตอบโต้อะไรเลยเหรอ? ”
“มี” ใบหน้าของชวีเสี่ยวปอเต็มไปด้วยสีหน้าที่ว่า “ฉันรำคาญสุดๆ แต่ในเมื่อนายถามขึ้นมาฉันก็จะเล่าให้นายฟัง” ความจริงแล้วเขาไม่ได้อยากที่จะนึกย้อนกลับไปในส่วนนี้เลยแม้แต่น้อย “เขาตามฉันมาจนถึงหมู่บ้าน น่าจะ...รออยู่นานมากเลยละ”
“นานมากนี่นานแค่ไหน? ” ซือจวิ้นรู้สึกว่าคำที่คลุมเครือนี้มันช่างล้ำลึกไปหน่อยเสียจริงๆ “ชั่วโมงหนึ่งกับทั้งคืนมันต่างกันมากเลยนะ”
“เขาไม่ได้โง่สักหน่อย !” ชวีเสี่ยวปอเถียงขึ้นมา “น่าจะไปประมาณตีหนึ่งกว่าละมั้ง” เพราะว่าตอนตีหนึ่งครึ่งเซี่ยเจิงส่งข้อความมาหาเขา บอกว่า “ฉันกลับก่อนนะ”
“ตีหนึ่ง? บ้าไปแล้ว” ซือจวิ้นนับดูคร่าวๆ ว่าประมาณกี่ชั่วโมง “แล้วนายไม่ได้ออกไปเลย? ให้เซี่ยเจิงรออยู่ตรงนั้นตลอด? ”
“อืม” ชวีเสี่ยวปอจ้องเขาตาเขม็ง “ก็ฉันกำลังโมโหอยู่”
“ให้ตายเถอะ สี่ชั่วโมงเลยนะพี่ชาย !” ซือจวิ้นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถ้าหากเขาต้องยืนอยู่ท่ามกลางลมแรงตั้งสี่ชั่วโมงเพื่อผู้หญิงคนไหนสักคน เกรงว่าตอนที่กลับไปเขาต้องกลายเป็ไส้กรอกตากแห้งแน่ๆ “ปอเอ๋อร์นายใจร้ายมากเลยนะ”
“ตอนนี้ฉันก็รู้สึกเสียใจอยู่เหมือนกัน” ชวีเสี่ยวปอพูดออกมาตามตรง ในตอนนั้นเขาควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เขารู้เพียงแค่ต้องแสดงความโกรธของตัวเองออกมา เซี่ยเจิงโทรศัพท์มาเขาก็ไม่รับเลยสักสาย ทั้งตัวของเขาเต็มไปด้วยพลังของการต่อต้าน
“หรือว่าตอนนี้ให้ฉันลองโทรหาเซี่ยเจิงดู? ” ซือจวิ้นสังเกตสายตาของชวีเสี่ยวปอ ขณะนั้นก็ถามหยั่งเชิงขึ้นมาว่า : “ยังไงก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว โทรเรียกเขาออกมา แล้วนายสองคนก็คุยกันดีๆ ไหม มีเื่อะไรก็ต้องพูดกันสิ ถ้าไม่พูดออก ยิ่งยื้อออกไปเื่หนักใจนี้ก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นะ”
“ไม่โทร” ชวีเสี่ยวปอไม่ทันได้คิดเลยด้วยซ้ำ “เขาสอนพิเศษอยู่”
“ให้ตายเถอะ ฉันจะพูดยังไงกับนายสองคนดีเนี่ย !” ซือจวิ้นยัดโทรศัพท์มือถือที่หยิบออกมาได้เพียงครึ่งเดียวกลับเข้าไปในกระเป๋าเช่นเดิม “งั้นก็ไม่เป็ไร เหลืออีกแค่วันเดียวเอง ยังไงวันจันทร์นายสองคนก็ต้องเจอกันอยู่แล้ว ค่อยไปพูดที่โรงเรียนก็แล้วกัน !”
แต่ทว่าวันจันทร์เซี่ยเจิงไม่มา
ตอนแรกชวีเสี่ยวปอคิดว่าเซี่ยเจิงมาสาย ทว่าในตอนที่เขาหลับไปจนเลยครึ่งคาบของคาบเรียนด้วยตัวเองภาคเช้า และหลังจากที่ถูกคุณครูภาษาอังกฤษใช้หนังสือตีปลุกให้ตื่น เขาก็พบว่าที่นั่งด้านข้างยังคงว่างอยู่เช่นเดิม
คนรอบข้างเขาเองก็ล้วนดูออกแล้วว่า วันนี้ชวีเสี่ยวปออารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่ซือจวิ้นซึ่งเป็คนเดียวที่รู้สาเหตุ หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอตื่นเขาจึงรีบส่งข้อความไปหาทันที
“ไม่ใช่มั้ง ถึงขนาดที่จะหลบหน้านายจนไม่เข้าเรียนเลยเหรอเนี่ย? ”
“ใครจะไปรู้” ชวีเสี่ยวปอเหลือบมองไปยังโต๊ะเรียนของเซี่ยเจิงอย่างหงุดหงิด ซึ่งมันไม่เหมือนโต๊ะตัวเองเลยสักนิด โต๊ะเรียนทางฝั่งที่เป็ของเซี่ยเจิงถูกเก็บกวาดจนสะอาดอยู่ตลอด ข้อสอบต้องแบ่งประเภท สมุดแบบฝึกหัดต้องวางซ้อนกันอย่างเป็ระเบียบ หนังสือเรียนที่ต้องใช้ในวิชาถัดไปก็จะวางอยู่มุมขวาของโต๊ะเสมอ
เมื่อหันมาดูทางฝั่งของตัวเอง
อืม เป็เหมือนรังที่เพิ่งจะสร้างเสร็จดีๆ นี่เอง
ถ้าวันไหนเซี่ยเจิงมาเร็ว เขาสองคนก็จะทำความสะอาดด้วยกัน
การคิดถึงเซี่ยเจิงในเื่เล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ สำหรับชวีเสี่ยวปอในตอนนี้แล้วดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็เื่ดีสักเท่าไหร่
มันช่างทำให้รู้สึกเศร้าเสียจริงๆ
“แบบนี้เซี่ยเจิงก็ถือว่าขาดเรียนน่ะสิ” ซือจวิ้นตอบกลับมาอีกประโยคหนึ่ง
“น่าจะมีธุระมั้ง” ชวีเสี่ยวปอจ้องมองโทรศัพท์มือถือ ปัดหน้าจอไปมาสองครั้ง เพื่อออกจากหน้าจอสนทนาของซือจวิ้น จากนั้นก็เลื่อนไป้า
กล่องข้อความของเซี่ยเจิง ชวีเสี่ยวปอปักหมุดเอาไว้้าสุดเสมอ
ตอนนี้รูปโปรไฟล์ของเซี่ยเจิงไม่ใช่สี่เหลี่ยมขนาดเล็กสีดำมืดอีกแล้ว ชวีเสี่ยวปอมองดูรูปภาพที่เขาเป็คนถ่าย ลังเลอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถพิมพ์ประโยคที่สมบูรณ์ออกมาได้
เป็อะไร
ทำไมถึงไม่มาโรงเรียน
หลังจากคาบเรียนด้วยตัวเองภาคเช้าจบลง ซือจวิ้นก็รีบขยับเข้ามาใกล้เขาทันที สะกิดชวีเสี่ยวปอที่ไร้ซึ่งชีวิตชีวาไปทีหนึ่ง พลางถามขึ้นว่า : “หรือไม่ไปถามโหยวเจียไหม? ไม่แน่เซี่ยเจิงอาจจะลาหยุดก็ได้นะ !”
“ไม่มาก็ไม่ต้องมา เกี่ยวอะไรกับฉันด้วย” ชวีเสี่ยวปอดึงหนังสือออกมาสองสามเล่มมาวางหนุนไว้ที่ใต้แขน “ฉันจะนอนแล้ว”
“นายจะยังปากแข็งอยู่แบบนี้ใช่ไหม! ให้ตายเถอะ คาบแรกวิชาภาษาอังกฤษ นายไม่อยากสอบเข้ามหาลัยแล้วเหรอ? ” หลังจากที่ซือจวิ้นพูดจบ เขาก็เพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตัวเองโพล่งอะไรออกไป และคำพูดนั้นก็ไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้แน่นอน ขณะนั้นชวีเสี่ยวปอที่เพิ่งจะฟุบลงไปได้ยินประโยคนี้ของซือจวิ้น เขาก็ตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที คำพูดนี้มันช่างเป็เหมือนการแทงเขาด้วยมืดล่องหน
แทงเข้ามาจนเขาไม่มีที่ให้หลบซ่อนได้เลย
“สอบบ้านนายสิ !”
ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกว่าตัวเองดูไร้สาระมากเลยทีเดียว เพราะเขาอยากจะไปถามโหยวเจียจริงๆ แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองดูเหมือนคนโง่อย่างไรอย่างนั้น คนที่ไล่ให้เซี่ยเจิงไปก็คือตัวเอง คนที่ทำเป็ไม่สนใจก็คือตัวเองอีก แต่เมื่อไม่เห็นเขาในตอนนี้ คนที่ไม่สบายใจก็ยังคงเป็ตัวเองอีกเช่นกัน
ในเื่ของการฝืนพยายามเช่นนี้คนเราล้วนชำนาญโดยที่ไม่ต้องมีใครมาสอนเลยใช่หรือเปล่า?
ซือจวิ้นพูดบ่นอีกสองสามประโยคจากนั้นจึงเดินออกไป ส่วนชวีเสี่ยวปอก็นอนฟุบลงไปบนโต๊ะ และแน่นอนว่าเขานอนไม่หลับ ประเด็นหลักเลยคือนึกไปถึงว่าถ้ามีเื่อะไรเกิดขึ้นจริง จะเป็เื่ที่แม่ของเซี่ยเจิงอาการป่วยกำเริบขึ้นมาอีกหรือเปล่า? หรือว่าเซี่ยรุ่ยเซินไปหาเขาอีกแล้ว?
เมื่อเื่ทำนองนี้ถูกเปิดประเด็นขึ้นมา ชวีเสี่ยวปอเองก็ร้อนใจจนนั่งไม่ติดเข้าไปใหญ่ จนกระทั่งเมื่อถึงเวลาที่ใกล้จะเลิกเรียน โหยวเจียจึงเรียกเขาเอาไว้