“คุณหนูสามสกุลมู่ ท่าน้าพูดอะไรอีกหรือไม่”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เฉินพู่ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองทางมู่อวิ๋นจิ่น และรอประโยคต่อไป
ถึงเวลาแล้วที่เื่ตลกนี้จะจบลง!
ดวงตาของอัครเสนาบดีมู่เป็สีแดงเล็กน้อย เขาใมากและไม่คาดคิดมาก่อนว่า มู่อวิ๋นจิ่นจะโหดร้ายถึงขนาดทำการฆาตกรรม
นางห่างไกลจากคนนั้นแล้ว...
...
มู่อวิ๋นจิ่นลุกขึ้นเดินเข้าหาชายวัยกลางคนทีละก้าวก่อนจะหยุด และเหลือบมองปิ่นปักผม
“เ้าบอกว่าข้าจ้างวานเ้าฆ่าคน แล้วข้าตกลงกับเ้าวันไหน สถานที่ไหน และเวลาใด”
มู่อวิ๋นจิ่นพูดอย่างไม่เกรงกลัว นางเอามือไพล่หลังอีกทั้งยังยืนยืดอกด้วยความมั่นใจอยู่กลางห้องสอบสวน
“เมื่อคืน วานยามอู้สือ[1] ท่านสั่งให้สาวใช้ของท่านพาข้าไปที่เรือนบุปผาภิรมย์ทางประตูหลังของจวนอัครเสนาบดี จากนั้นท่านก็มอบปิ่นปักผมชิ้นนี้เป็ค่ามัดจำ และขอให้ข้าฆ่าคุณชายรอง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นมู่อวิ๋นจิ่นก็กอดอก และเดินออกไปหยิบปิ่นมุกออกจากมวยผมของซูปี้ชิงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แล้วถือชั่งมันในมือของนาง
“ตอนนี้ข้ามีปิ่นปักผมมุกของท่านแม่อยู่ในมือแล้ว บอกได้หรือไม่ว่าข้าทำตามคำสั่งของท่านแม่ให้ฆ่ามู่อี้หยาง”
คำพูดของมู่อวิ๋นจิ่นเหมือนสายฟ้าฟาดใส่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น
สำหรับหลาย ๆ คนแล้ว คำพูดของมู่อวิ๋นจิ่นมักจะสร้างปัญหาโดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ในเวลานี้ฉู่ชิงหยวนซึ่งถูกฉู่ชิงเฉียงองค์หญิงห้าห้ามปรามั้แ่นางเข้ามาครั้งแรก ทำได้เพียงมองไปที่เฉินพู่อย่างขุ่นเคือง
“เ้าแก่นี่ พี่สาวอวิ๋นจิ่นข้ามาหาท่านในวันนั้น เพื่อขอให้ท่านทำลายสมุดบันทึก ข้าคนนี้จำได้ราง ๆ ว่าสมุดบันทึกนั้นเกี่ยวกับตระกูลมู่ ไม่รู้ว่ายังมี คัดลอกเล่มสำรองอยู่หรือไม่?” ฉู่ชิงหยวนกล่าว
เมื่อได้ยินสิ่งที่ฉู่ชิงหยวนพูด ซูปี้ชิงและมู่หลิงจูซึ่งนั่งด้านล่างก็ผงะไปครู่หนึ่ง และรู้สึกลนลานอย่างอธิบายไม่ถูก
จำได้ชัดเจนว่าสมุดบันทึกฉบับนั้นถูกนางเผาไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะมีเล่มคัดลอกสำรองเอาไว้ด้วย?
“ชิงหยวน คดีอะไร?” เมื่อเห็นว่าฉู่ชิงหยวนออกมาขัดจังหวะ ฉู่ชิงเฉียงก็มองไปที่ฉู่ชิงหยวนผู้เป็น้องด้วยความไม่พอใจ
ฉู่ชิงหยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นมองไปที่เฉินพู่ “เ้าแก่นี่ สรุปมันคือสมุดบันทึกอะไร?”
เฉินพู่หยุดนิ่งไปชั่วครู่ก็หันมองไปที่อัครเสนาบดีมู่ และพูดด้วยความลำบากใจว่า “มันเกี่ยวกับคดีพิษที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ในจวนอัครเสนาบดีมู่ขอรับ”
ใต้เท้าเฉินบอกว่าไม่รู้จะเริ่มสืบสวนจากตรงไหนก็สรุปตัดสินไปแล้ว ทำไมจู่ ๆ ถึงมีเื่สมุดบันทึกโผล่ขึ้นมาอีกด้วยเล่า?” มู่อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์
“ดูท่าแล้วจวนอัครเสนาบดีมู่คงยุ่งวุ่นวายเหลือเกิน” เจิ้งไทเฮาถอดถอนใจ “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ใต้เท้าเฉินก็เอาสมุดบันทึกออกมาดูกันเถอะ”
เมื่อเห็นดังนั้นซูปี้ชิงรู้ว่าเจิ้งไทเฮาไม่รู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็แน่ นางจึงพูดอย่างกังวลว่า “ยังไม่สายเกินไปที่จะพูดถึงคดียาพิษ บัดนี้ร่างของอี้หยางยังไม่ได้เผา ดังนั้นเราควรช่วยทวงความยุติธรรมให้อี้หยางก่อน”
“สิ่งที่ท่านแม่พูดก็คือจูเอ๋อร์ก็เป็ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าทำผิดในครั้งนี้เช่นกัน ได้โปรดอาจารย์เฉินให้ความยุติธรรมกับจูเอ๋อร์โดยเร็วที่สุด” มู่หลิงจูพูดขึ้นมาในเวลานี้ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูนุ่มนวล
การตายของอี้หยางถูกดึงความสนใจกลับมา ความคิดของทุกคนก็มุ่งไปยังมู่อวิ๋นจิ่นอีกครั้ง
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นกำลังจะพูด เสียงอันดุดันดังมาจากด้านหนึ่ง ทั้งในน้ำเสียงนั้นยังมีนัยแอบแฝง
“เมื่อคืนยามอู้สือ มู่อวิ๋นจิ่นอยู่กับข้า ไม่ใช่ที่จวนอัครเสนาบดี”
ดวงตาของฉู่ลี่ไม่แยแส และเขาก็พูดอย่างเฉยเมย
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดนั้น ทั้งหมดก็มองไปที่ฉู่ลี่ด้วยความประหลาดใจ บางคนก็รู้ว่าสิ่งที่ฉู่ลี่พูดเป็เื่โกหก ทว่าพวกเขาไม่สามารถเปิดเผยสิ่งใดได้ในตอนนี้
เห็นได้ชัดว่าฉู่ลี่้าปกป้องมู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นยังมองฉูลี่ด้วยความประหลาดใจพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย ฉู่ลี่ทำเช่นนี้เพราะกลัวว่านางอาจจะรับมือไม่ไหวใช่หรือไม่?
ในเวลานี้ เมื่อชายวัยกลางคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นได้ยินคำพูดของฉู่ลี่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อยจากนั้นจึงคร่ำครวญอีกครั้ง “คุณหนูสาม ท่านต้องยอมรับมัน! ครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่ เหตุใดท่านถึงทำเสมือนเป็คนไม่รู้จักกันด้วย...”
หลังจากพูดจบก็เกิดแสงเย็นวาบขึ้นในห้องสอบสวน จากนั้นมู่อวิ๋นหานก็ดึงดาบที่พกอยู่ออกมา และเกือบจะฟันเข้าที่ลำคอของชายผู้นั้น
“บอกมา ใครสั่งให้เ้าใส่ร้ายอวิ๋นจิ่น”
“พี่อวิ๋นหาน ท่านกำลังพยายามบังคับให้สารภาพใช่หรือไม่?” ฉู่เย่พูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูราวกับว่าเื่นี้เป็เพียงเื่ตลก
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น มู่อวิ๋นหานก็ยิ้มอย่างเหยียดหยาม “บางคนไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ข้ามู่อวิ๋นหาน เฝ้าดูอวิ๋นจิ่นเติบโตมาั้แ่ยังเด็ก ข้ารู้จักนิสัยใจคอของนางเป็อย่างดี”
“วันนี้ ข้ามู่อวิ๋นหาน ขอรับรองด้วยหัวของข้า!ถ้ามู่อวิ๋นจิ่นเป็ฆาตกรจริง ๆ ก็จะขอรับโทษทัณฑ์พร้อมกับนาง!”
“อวิ๋นหาน ทำไมเ้าต้องลำบากขนาดนี้ด้วย ในระหว่างที่เ้าออกไปทำศึก นางก็ไม่ใช่อวิ๋นจิ่นคนเดิมที่เ้ารู้จักอีกต่อไป” ซูปี้ชิงรู้สึกเศร้าเล็กน้อย และหันกลับมามองที่มู่อวิ๋นจิ่น โดยไม่รู้ว่านางใช้อุบายแบบไหนหลอกล่อลวงใจบุตรชายของตนได้
เดิมทีมู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกหมดหนทาง ทว่าหลังจากที่ฉู่ลี่และมู่อวิ๋นหาน ก้าวออกมาช่วยให้นางหลุดพ้น แม้นางต้องตายก็สามารถตายตาหลับได้...
หลังจากคิดเกี่ยวกับเื่นี้ มู่อวิ๋นจิ่นใเล็กน้อยกับความคิดของนางเอง ทั้งยังแอบต่อว่าตนเองในใจว่าเป็คนประสาทจนต้องยกมือขึ้นบีบนวดขมับ ราวกับว่าความอดทนอดกลั้นเลยจากขีดที่ตั้งไว้ จนต้องยกขาขึ้นมาถีบชายวัยกลางคนกลิ้งไปกับพื้น
“รีบพูดความจริงออกมาเร็วเข้า มิอย่างนั้นไม่ว่าใครก็ช่วยเ้าไม่ได้ทั้งนั้น!” มู่อวิ๋นจิ่นะโใส่ชายวัยกลางคนตรงหน้า
หลังจากถูกมู่อวิ๋นจิ่นเตะเข้าอย่างแรงจนนอนกองอยู่บนพื้น เขาก็รู้สึกว่าตนเองเหมือนจะกระดูกหักหลายท่อนอยู่พักหนึ่ง
“มู่อวิ๋นจิ่น! ศาลต้าหลี่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่เ้าจะอวดดี! ั้แ่ที่ลี่เอ๋อร์บอกว่าเ้าอยู่ด้วยกันใน ยามอู้สือเมื่อคืน แล้วทำไมปิ่นปักผมหยกถึงอยู่ในมือชายผู้นั้นได้?” เจิ้งไทเฮาพูดอย่างเฉียบขาด
ซูปี้ชิงได้สั่งให้คนแจ้งนางเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนี้ และนางก็ตกลงอย่างง่ายดายที่จะเข้าร่วม
อย่างไรเสียเื่นี้เกี่ยวพันไปถึงมู่อวิ๋นจิ่นและฐานะของนาง การที่ฉินไท่เฟยกับฉู่ลี่อยู่ ในเื่นี้มู่อวิ๋นจิ่นไม่มีทางเสียเปรียบอย่างแน่นอน อีกทั้งฝ่ายของฉินไท่เฟยกับฉู่ลี่ยังเป็กลุ่มใหญ่ที่มีอำนาจอีก
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มู่อวิ๋นจิ่นก็กะพริบตามองไปยังเจิ้งไทเฮาก่อนจะพูดกับนางว่า “ไทเฮา หากจำเป็ต้องจ้างฆาตกรไปฆ่าใครสักคน ท่านจะทรงมอบทรัพย์สินส่วนตัวให้คนผู้นั้น เพื่อให้มาเป็หลักฐานมัดตัวในภายหลังหรือไม่เพคะ?”
“ปิ่นปักผมนี้เป็ของขวัญจากฉินไท่เฟย และจักรพรรดิองค์ก่อนก็มอบมันให้กับฉินไท่เฟยด้วยพระองค์เอง มันมีค่ายิ่งนัก ความหมายและคุณค่าของมันนั้นเงินไม่สามารถเทียบได้เลยแม้แต่น้อย”
“แม้ว่าข้ามู่อวิ๋นจิ่นจะไม่ได้รับการศึกษาที่ดีและไม่ฉลาดนัก แต่ข้ายังสามารถเข้าใจสิ่งพื้นฐานเหล่านี้ได้”
หลังจากได้ยินคำพูดเ่าั้ ในที่สุดฉินไท่เฟยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และพยักหน้าตอบรับ ความตึงเครียดในใจของนางก็รู้สึกผ่อนคลายลง
...
สถานการณ์พลิกผันอีกครั้ง และคราวนี้เป็ตาของมู่อวิ๋นจิ่นที่จะตอบโต้ชายวัยกลางคนผู้นี้บ้างแล้ว
“คนอย่างเ้าไม่เพียงถูกคนเสี้ยมให้ฆ่าคน ทั้งยังจงใจใส่ร้ายป้ายสีอีก ครานี้ไม่เพียงเ้าเพียงคนเดียวที่จะถูกตัดหัว แม้แต่ตระกูลเ้าอีกเจ็ดชั่วโคตรยังต้องพลอยติดร่างแหไปด้วย”
เมื่อชายวัยกลางคนได้ยินสิ่งนี้ เขาก็ตระหนักว่าตนเองได้กระทำบางอย่างผิดไปโดยสิ้นเชิง
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชะตากรรมของเขาก็มีแต่จะแย่ลง ทั้งยังส่งผลกระทบต่อครัวครอบของเขาอย่างที่มู่อวิ๋นจิ่นพูด
ในเวลานี้มู่อวิ๋นจิ่นพูดขึ้นอีกครั้ง “ข้าเพิ่งเรียนรู้คำศัพท์เมื่อไม่นานมานี้ นั่นก็คือความไร้มนุษยธรรมและความอยุติธรรม”
“ตอนนี้ให้ข้าแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘ความไร้มนุษยธรรม’ ให้ดูก่อนเถิด” หลังจากพูดแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นก็หันไปมองซู่ปี้ชิงและมู่หลิงจู่
ความเย็นะเืในดวงตาของมู่อวิ๋นจิ่น ทำให้ซูปี้ชิงและมู่หลิงจูใ ทั้งสองเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นในทันที
“ใต้เท้าเฉิน ในเมื่อคดีฆาตกรรมนี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้อีกระยะหนึ่ง เหตุใดท่านจึงไม่ประกาศผลการสอบสวนคดียาพิษ ที่สืบจากจวนอัครเสนาบดีมู่ได้ออกมาเล่า ท่านพ่อของข้าจะได้ฟังไปพร้อมกัน” มู่อวิ๋นจิ่นกล่าว
หลังจากนั้นเฉินพู่ก็ถอนหายใจ และโบกมือให้ผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆ ตน “ไปเอาสมุดคดีเล่มนั้นมา”
หลังจากนั้นไม่นาน ผู้ช่วยก็ยื่นหนังสือคดีให้เฉินพู่ เขาพลิกดูและเงยหน้าขึ้นพร้อมขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะรู้สึกละอายเล็กน้อยที่จะพูด
เมื่ออัครเสนาบดีมู่เห็นท่าทีเช่นนั้นของเฉินพู่ ก็เกิดความรู้สึกไม่ดีในใจ แต่เขายังคงพูดอย่างอดทนว่า “ใต้เท้าเฉินบอกข้าที”
เฉินพู่พยักหน้า
“วันนั้นที่ลานของคุณหนูสี่สกุลมู่ ในจวนอัครเสนาบดีมู่มีศพชายที่อยู่ในชุดดำถูกพบในตอนเช้า หลังคอถูกแทงด้วยมีดสั้นสองคม และเขาถูกฆ่าตายในที่เกิดเหตุ ส่วนสวนคุณหนูสามเต็มไปด้วยยาพิษ และแมวของฮูหยินก็ตายกลางลานเพราะกินยาพิษโดยไม่ได้ตั้งใจ”
หลังจากอธิบายเื่ราวทั้งหมดสั้นๆ เฉินพู่ก็เลียริมฝีปากของตนก่อนจะพูดต่อด้วยความกังวลใจ
“หลังจากนักชันสูตรศพและท่านหมอที่เชี่ยวชาญในเื่นี้ ให้ข้อสรุปว่าพิษนี้ชื่อว่า ‘ไป่เซียนเจ๋อ’ คือยาพิษที่ทานลงไปแล้วร่างกายจะเปลี่ยนเป็สีเขียวอมม่วง อวัยวะภายในเปื่อยยุ่ย ด้วยพิษมีความร้ายแรงที่สุด”
“ต่อมาข้าแอบตรวจสอบตามร้านยาในเมืองเตี๋ยฮวา ทั้งหมอและเ้าของร้านยาหลายคนอธิบายให้ข้าฟังว่า มีแม่นมชราคนหนึ่งในจวนอัครเสนาบดีมู่ได้ซื้อส่วนผสมของ ยาพิษไป่เซียนเจ๋อ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ป้าหลี่ที่ยืนอยู่ข้างหลังซูปี้ชิงก็สั่นสะท้าน เหงื่อเม็ดเย็นผุดพรายบนหลัง แข้งขาก็ล้วนอ่อนแรงเล็กน้อย แต่โชคดีที่นางประคองเก้าอี้ไว้ได้
ในเวลานี้เฉินพู่กล่าวต่อว่า “ชายที่ตายในชุดดำ โชคดีที่ยังมีรูปร่างหน้าตาที่เห็นชัดได้อยู่ หลังจากที่ติดประกาศรางวัล มีคนบอกข้าว่าชายชุดดำชื่อเฉาผาน อาศัยอยู่นอกเมือง และยังเป็อันธพาลชื่อกระฉ่อน”
“จากนั้นศาลต้าหลี่ได้เดินทางไปนอกเมืองที่พักของเฉาพาน พบว่าแม้เขาจะเป็คนอันธพาลในท้องถิ่น แต่บ้านที่เขาอาศัยอยู่นอกเมืองกลับหรูหราโอ่อ่า ที่บ้านนอกเมืองมีพี่น้องอาศัยอยู่ที่นั่น หลังจากที่สังเกตและสอบถาม ก็พบว่าพวกเขาได้รับข้อเสนอเป็ตั๋วเงิน
"ตั๋วเงินเป็สถานแลกเปลี่ยนเงินตราอิ่นหลูในเมือง หลังจากที่เราพบสถานแลกเปลี่ยนเงินตราอิ่นหลู คนที่นั่นได้มอบเงินฝากทั้งหมดของเฉาผานให้กับทางเรา หลังจากทางเราหยิบตั๋วเงินมาเทียบทีละใบ ถึงได้รู้ว่ามาจากจวนอัครเสนาบดีมู่ทั้งหมด
“ต่อมาเราสอบปากคำพี่น้องของเฉาผานหลายคน และพวกเขาทั้งหมดยอมรับว่าในคืนก่อนการตายของเฉาผาน เขาได้รับคำสั่งจากคุณหนูสี่ให้ไป ทำงานตามที่ตกลงกันไว้...”
“ที่แท้เื่ราวก็เป็เช่นนี้”
หลังจากคำพูดของเฉินพู่จบลง ใบหน้าของซูปี้ชิงและมู่หลิงจูก็ซีดเซียว โดยไม่รู้ตัวเลยว่าผลประโยชน์ของตัวเองถูกคนอื่นฉกฉวยไปเสียแล้ว
“ตามที่ใต้เท้าเฉินพูด คุณหนูสี่สกุลมู่เป็คนอยู่เื้ัคดียาพิษ แล้วทำไมชิงหยวนถึงบอกว่ามู่อวิ๋นจิ่นพานางไปทำลายมัน” ฉู่ชิงเฉียงถามขึ้น
เมื่อพูดจบมู่อวิ๋นจิ่นเม้มริมฝีปากของนาง และพูดด้วยแววตาที่เศร้าโศก “ท่านแม่ลอบกักขังป้าจาง โดยข่มขู่ลูกว่าหากไม่ทำเื่ต่าง ๆ แทนนางให้เรียบร้อย ก็จะไม่ไว้ชีวิตป้าจางเ้าค่ะ!”
“นั่นเป็เหตุผลที่ข้าขอร้ององค์ชายหกและองค์หญิงเก้า...”
—----------------
[1] ยามอู้สือ คือเวลาประมาณ 19:00 – 21:00