ผมครุ่นคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าแม่นางน้อยรั่วรั่วผู้นี้คงสังเกตเห็นผมอยู่นานแล้วเพราะดินแดนเหมันต์นั้นเป็อาณาเขตของภูตหิมะ พวกเขาย่อมมีวิธีซ่อนดินแดนทั้งหมดเอาไว้การที่จะซ่อนตัวเองไม่ให้ถูกกระแสจิตของผมตรวจพบได้นั้นก็เป็เื่ง่ายนิดเดียว
หรือผมมีเสน่ห์มากขนาดนั้นเลยหรือ?
ผมไม่กล้าอยู่ที่ดินแดนเหมันต์อีกต่อไปแล้วรั่วรั่วมอบบัวหิมาลัยสองหัวที่เป็สิ่งสำคัญขนาดนั้นให้กับผมก็หมายความว่าเธอตัดความสัมพันธ์กับคนในเผ่าของตนแล้วเช่นเดียวกันกับสี่เผ่าใหญ่ของสัตว์เทพ เผ่าภูตหิมะนั้นค่อนข้างจะต่อต้านคนภายนอกหากพ่อแม่ของเธอรู้เข้าจะต้องออกตามหาผมอย่างแน่นอน แม้ว่าพลังบำเพ็ญเพียรของผมจะแกร่งเพียงพอแต่ก็เป็การยากที่จะเอาชนะได้ด้วยตัวคนเดียว ทั้งยังจะทำให้อาจิ่วกับซ่งฉียวนตกอยู่ในอันตรายอีกด้วย
เมื่อหวนกลับมายังเส้นทางเดิมผมก็มุ่งหน้าไปที่ดินแดนซากกระดูกเพื่อ้าที่จะไปดูเสียหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในเมื่อผมหาเื่ตื่นเต้นให้ตัวเองโดยการโกหกกู้จิ่นเฉิงแล้ว ก็ต้องทำให้แเีอีกอย่างผมเองก็สงสัยเกี่ยวกับค่ายกลขนาดใหญ่นั่นจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจจะได้รู้สาเหตุบางอย่างที่เกี่ยวกับการข้ามมิติของผมจากในนั้นก็เป็ได้
ทว่าน่าเสียดายที่หลายสิ่งที่ผมคิดไว้นั้นกลับไม่เป็ดั่งหวังเพราะเมื่อผมมาถึงเมืองเอกของดินแดนซากกระดูกค่ายกลหมอกทมิฬที่ลอยอยู่บนนั้นก็ได้สลายหายไปหมดแล้ว เมื่อถามคนในเมือง พวกเขาต่างบอกว่าหมอกเหล่านี้สลายตัวไปได้อย่างน้อยสิบวันแล้ว
นั่นหมายความว่าตอนที่ผมเพิ่งเดินทางออกมาจากดินแดนเหมันต์สถานที่แห่งนี้ก็กลับมาเป็ปกติแล้ว...
โธ่เอ้ย ผมไม่ทันอะไรสักอย่างเลยจริงๆ ...
หลังจากปักหลักอยู่ที่ดินแดนซากกระดูกก็ให้อาจิ่วกับซ่งฉียวนพักผ่อนอยู่้า จากนั้นผมจึงเอาตัวเองไปแสร้งทำเป็นั่งอยู่ตรงมุมของชั้นหนึ่งในโรงเตี๊ยมสั่งสุรามาหนึ่งเหยือก แล้วฟังผู้คนรอบข้างพูดคุยกันอย่างใจจดจ่อเพื่ออยากจะได้ยินข่าวสารบางอย่างที่้า
คนส่วนมากมักจะพูดคุยเื่ซุบซิบกันอย่างผ่อนคลายขณะกินข้าวและดื่มเหล้าเสียงผู้ฝึกวิชามารที่อยู่ทางขวาด้านหลังของผมค่อนข้างดังทีเดียว ราวกับหัวข้อการสนทนาที่ตัวเองพูดอยู่ไม่ใช่สิ่งต้องห้ามด้วยซ้ำได้ยินเพียงคนคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “ท่านเ้าดินแดนเจียงกุ่ยนี่ช่างโชคร้ายเสียจริงไม่ได้รับาเ็จากการต่อสู้อันดุเดือดที่แม่น้ำแห่ง์นั่นแม้แต่น้อยแต่ระหว่างทางกลับดันถูกคุณชายรองฉวี่เหยี่ยนจากตระกูลฉวี่นั่นเอาชีวิตไปบ้านเมืองในตอนนี้ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย เ้าฉวี่เหยี่ยนนั่นลักลอบเข้ามาในโลกปีศาจแต่กลับไม่มีใครรู้เลยหรือทั้งๆ ที่เป็เพียงแค่ทายาทของหกตระกูลใหญ่แต่กลับสามารถสังหารเ้าดินแดนของพวกเราได้อย่างง่ายดาย”
“ใช่แล้วต่อไปพวกพี่น้องเราเมื่อออกไปข้างนอกก็ต้องระวังตัวหน่อยแล้ว”
ดูเหมือนว่าข่าวที่กู้จิ่นเฉิงปล่อยออกมา จะทำให้ฉวี่เหยี่ยนคนนั้นเป็แพะรับบาปแทนผมผมกำลังจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่สถานการณ์ของคนที่อยู่ทางนั้นกลับเปลี่ยนไป
เมื่อได้ยินคำพูดของสองคนนั้นผู้คนที่อยู่รอบโต๊ะพวกเขาก็ดูเหมือนจะอดใจไม่ไหว จึงขยับเข้ามาใกล้แม้จะลดเสียงลง แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นหูของผมไปได้ “พวกท่านไม่รู้สึกว่ามันแปลกหรือ? พวกท่านคิดจริงๆหรือว่าข่าวนี้เป็เื่จริง? ”
“เ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?ข่าวที่ส่งออกมาจากวังปีศาจเป็เท็จได้ด้วยหรือ? ” คำถามสองประโยคของเขาทำให้สองคนทางด้านนี้รู้สึกสนใจจึงถามอย่างกระตือรือร้น
“พวกท่านลองคิดดูสิพลังของเ้าดินแดนเจียงกุ่ยนั้นเป็ที่ประจักษ์ไปทั่วทั้งดินแดนซากกระดูกของพวกเราแต่ฉวี่เหยี่ยนตัวเล็กๆ เพียงคนเดียวจะสามารถสังหารเ้าดินแดนได้จริงหรือ? อีกอย่างฉวี่เหยี่ยนนั่นไม่มีความแค้นใดๆต่อเ้าดินแดนของเรา เหตุใดจึงกล้าเอาตัวเองมาเสี่ยงหาเื่ใส่ตัวเล่า? ”
“นี่ก็จริงทั้งสองคนนี้ไม่เคยมีความแค้นใหญ่หลวงอะไรต่อกันเลย...”
ทั้งสองคนเกิดความสงสัยในคำพูดนี้ของเขาขึ้นมา จึงถามว่า“เช่นนั้นหรือว่าน้องชายผู้นี้อาจจะรู้สาเหตุการตายที่แท้จริงของเ้าดินแดน? ”
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน แต่สำหรับเื่นี้ข้าคิดว่าเป็ไปได้สูงที่เ้าดินแดนจะถูกท่านจอมปีศาจสังหาร! เท่าที่ข้ารู้เมื่อาที่แม่น้ำแห่ง์สิ้นสุดลง ท่านจอมปีศาจก็ปล่อยให้เ้าดินแดนพักอยู่ที่วังปีศาจและหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันก็มีข่าวออกมาว่าเ้าดินแดนถูกสังหารผู้ใดกล้าพูดได้บ้างว่าเื่นี้ไม่เกี่ยวอะไรกับท่านจอมปีศาจ? อีกอย่าง พวกท่านไม่คิดว่าตอนนี้พลังของท่านจอมปีศาจแข็งแกร่งเกินไปหรือ?หากเขาเอื๊อก...”
ผมที่กำลังตั้งใจฟังอยู่ทางนี้รู้สึกเสียวสันหลังวาบทว่าการถกเถียงของทางฝั่งนั้นกลับหยุดลงอย่างกะทันหันตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนหลายเสียงที่ดังขึ้นมา เมื่อหันไปมองกลับไม่คิดว่าจะเป็คนรู้จัก
ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าอวบอิ่มหนวดเคราใต้ปีกจมูกทั้งสองข้างหายไปไม่มีเหลือขับเน้นให้ทั้งใบหน้ายิ่งดูขาวเกลี้ยงเกลาราวกับคุณชายน้อยที่ไม่กินดอกไม้ไฟในโลกมนุษย์ [1] เพียงแค่ว่าคนที่เติบโตมาในรูปลักษณ์เช่นนี้เมื่อครู่กลับใช้พัดที่ซ่อนเอาไว้ในมือตัดศีรษะของผู้ที่กำลังพูดเ่าั้ทิ้ง
แล้วก็เห็นหวังตัวจวี๋สะบัดเืออกจากพัดจนหมดจดอย่างไม่สะทกสะท้านจากนั้นก็โน้มตัวลงและยิ้มให้อีกสองคนที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างน่ารัก “เ้าต้องรู้ว่าสิ่งใดควรพูดหรือสิ่งใดไม่ควรพูดหากพูดผิดไป ก็จะมีจุดจบเช่นนี้แหละ~”
เดิมทีพื้นของโรงเตี๊ยมไม่เสมอกันอยู่แล้วมีความลาดชันอยู่บ้าง ซึ่งทางฝั่งที่ผมนั่งอยู่เป็ทางลาดลงมาพอดีศีรษะของผู้นั้นที่ถูกหวังตัวจวี๋ตัดทิ้งจึงกลิ้งสะบัดเสียงดังกึกกักไปพร้อมกับเืที่ไหลเป็ทางก่อนจะมาหยุดอยู่แทบเท้าของผมอย่างประจวบเหมาะ แล้วแววตาที่แสดงความหวาดกลัวที่ไม่อาจหาสิ่งใดเปรียบก็กระทบเข้าเบ้าตาของผมจนเจ็บแสบ
หวังตัวจวี๋! เ้าคนบัดซบ!!!
ความรู้สึกของผมในตอนนี้ราวกับกินหนูตายเข้าไป ไม่ต้องบอกว่าน่าสะอิดสะเอียนมากแค่ไหนที่จริงนอกจากความขยะแขยงแล้ว สิ่งที่มีมากกว่าคือความกลัว ั้แ่ผมมาถึงโลกนี้ก็ยังไม่เคยเห็นการฆ่าคนจริงๆเลย หนำซ้ำยังเป็การฆ่าที่นองไปด้วยเืแบบนี้อีกฉากที่เคยเห็นในหนังสยองขวัญก่อนหน้านี้ได้ฉายด้วยความคมชัดระดับสามร้อยหกสิบองศาต่อหน้าผมโดยไม่มีMA [2] นึกภาพออกไหมว่าผมมีจิตตานุภาพที่แข็งแกร่งแค่ไหนถึงไม่ได้กรีดร้องออกมา
ผมค่อยๆ ลุกขึ้นยืน พยายามควบคุมสีหน้าที่ใกล้จะเกร็งกระตุกให้ดูขรึมเข้าไว้ก่อนจะปัดมือนำศีรษะนั้นกลับคืนไปยังทางเดิม จากนั้นก็หันหลังเดินขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ววินาทีที่ปิดประตูลงนั่นผมแทบจะหมดแรง แล้วทรุดตัวลงนั่งกับพื้นเสียงดังปัง
ห้องของซ่งฉียวนอยู่ถัดออกไปผมจึงไม่กล้าส่งเสียงดังมาก เพียงแค่ขดตัวเข้าหากันเท่านั้น แล้วหายใจเข้าลึกๆอยู่หลายครั้งกว่าจะทำให้อารมณ์ค่อยๆ สงบลงได้
ที่ผ่านมาผมประเมินตัวเองสูงเกินไปมาโดยตลอดสุดท้ายแล้วผมก็เป็เพียงโอตาคุชาย[3] ในโลกสมัยใหม่ที่แม้แต่ไก่ตัวเดียวก็ยังไม่กล้าฆ่าในโลกใบนี้ไม่ว่าจะเป็หวังตัวจวี๋ กู้จิ่นเฉิง หรือซ่งฉียวนจากในอนาคต ก็ล้วนเป็คนที่ฆ่าคนได้โดยไม่แม้แต่จะกะพริบตาส่วนผมหรือ? ผมคืออวี๋เคอ แต่ก็เก่งไม่เท่าอวี๋เคออยู่ดี
......
เชิงอรรถ
[1] ไม่กินดอกไม้ไฟบนโลกมนุษย์หมายถึง สูงส่งและไม่ธรรมดา
[2] MA เป็วิธีการวิเคราะห์ทางสถิติ
[3] โอตาคุชาย คือ ผู้ชายที่ชอบหมกตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ชอบเข้าสังคม