ตอนที่เฉินชิ่งพาคนมาถึงนั้น โรงเก็บเสบียงฝั่งตะวันออกก็โกลาหลไปเรียบร้อยแล้ว แต่ความโกลาหลนี้ก็เป็แค่ภาพนิ่งเท่านั้น พื้นหิมะหนาถูกเหยียบจนเละเทะไปเป็แถบ ผสมปนเปไปด้วยเือุ่นๆ หิมะจึงละลายออกมาเป็น้ำสีสกปรก ดูน่าอเนจอนาถจนไม่กล้ามอง ศพที่ระเนระนาดกองเต็มพื้นก็ยังอุ่นอยู่
แต่รอบด้านเงียบสงัดเป็อย่างยิ่ง ไม่มีเสียงอะไรเลย
เฉินชิ่งมองภาพน่าอเนจอนาถตรงหน้าแล้วเอ็นเขียวบนขมับก็ปูดขึ้นมาทันที กำด้ามกระบี่ในมือ สั่งการว่า “ไปดูว่ายังมีคนรอดชีวิตหรือไม่? ต้องหาตัวคนร้ายมาให้ข้าให้ได้ ฆ่าคนไปได้มากถึงเพียงนี้ภายในระยะเวลาไม่นาน พวกนั้นคงเอาคนมาไม่น้อยแน่”
พูดจบก็หยุดไปเล็กน้อยแล้วพูดอีกว่า “เห็นความผิดปกติอะไร ไม่ต้องมารายงาน ฆ่าได้เลยไม่ต้องถาม”
แต่กลับไม่มีคนตอบกลับ
ทุกคนยังคงนิ่งอึ้งอยู่กับฉากตรงหน้า สายตามองเห็นแต่รอยเืที่เสียดแทงดวงตา ถึงไม่ต้องตรวจดูให้ละเอียดก็รู้ได้ทันทีว่าคนพวกนี้ตายด้วยวิธีเดียวกัน ล้วนถูกเชือดคอในทีเดียว เืทะลักออกมาจากคอหอย ส่วนอื่นบนร่างกายกลับไม่มีร่องรอยอะไรแม้แต่น้อยและไม่มีาแเพิ่มขึ้นมาสักจุดเดียว การฆ่าที่หมดจดเช่นนี้ ชัดเจนว่าอีกฝ่ายคงมีฝีมือดีเยี่ยมจึงกระทำการฆ่าได้อย่างง่ายดาย
ไม่รู้ว่าเป็เพราะอากาศหนาวเกินไปหรือไม่ คนตระกูลเฉินจึงรู้สึกว่าหลังเย็นเฉียบจนตัวสั่น
เนิ่นนานก็ยังไม่ได้รับการตอบกลับ เฉินชิ่งจึงหันศีรษะกลับไป เมื่อเห็นทุกคนยังนิ่งอยู่ที่เดิมก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันใด ตะคอกว่า “ได้ยินกันแล้วหรือยัง! ไปหาตัวมาเดี๋ยวนี้ ถ้าหาไม่เจอ พวกเ้าก็ไม่ต้องกลับมาแล้ว!”
ทุกคนจึงได้สติกลับมาทันทีแล้วรีบตอบรับ แยกย้ายกันไปหา
——
จิ่งเซียงหมอบอยู่ครึ่งตัวบนหลังคากระโจม มองดูคนตระกูลเฉินที่มือเท้าสับสนวุ่นวาย แล้วไล้เลียเกล็ดหิมะเย็นเฉียบที่ร่วงลงมา
เสื้อผ้าของคนทั้งสามถูกหิมะตกใส่จนชื้นแล้ว แต่หิมะก็ยังคงตกลงมาไม่หยุด จนย้อมคิ้วของพวกเขาเป็สีขาว
ปลายกระบี่ที่สะท้อนประกายเย็นะเืของจิ่งจื่อมีเืหยดลงมา แล้วหยดลงบนหลังคากระโจมผสมปนเปไปกับหิมะจนกลายเป็สีเข้มไปทั้งแถบ และดูเหมือนจะยังไหลไปเรื่อยๆ ภายใต้แสงจันทร์
จิ่งจื่อกดเสียงต่ำลงแล้วพูดว่า “เหตุใดมาแค่ไม่กี่คน? กระบี่ข้ายังเล่นไม่พอเลย”
จิ่งเซียงส่งเสียงดัง ‘เฮอะ’ ออกมาทีหนึ่ง “เลิกคุยโตได้แล้ว ส่วนใหญ่เป็พี่เหยียนจัดการทั้งนั้น เกี่ยวอะไรกับเ้า”
จิ่งจื่อบ่นอุบอิบเสียงอ่อย “ต้องโทษพี่เหยียน ลงมือเร็วเกินไปจนแย่งข้าหมด”
จิ่งเซียงกลอกตา “ตัวเองอ่อนแอเอง จะไปโทษผู้อื่นทำอะไร?”
นางพูดออกมาเช่นนี้ทำเอาจิ่งจื่อโกรธจนพูดไม่ออก เมื่อเถียงสู้ไม่ได้จึงทำได้แค่ปลง เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่เป็นานแล้วจึงพูดกับเหยียนเฟิงเกอว่า “พี่เหยียน อีกเดี๋ยวท่านห้ามลงมือ คนพวกนี้ข้าจัดการเอง”
เหยียนเฟิงเกอนั้นจะอย่างไรก็ได้ พยักหน้าเงียบๆ กระบี่ยาวในมือก็เก็บเข้าไปในฝักอย่างเงียบเชียบ ท่าทางเรียบเฉยราวกับไม่คิดจะลงมืออีกแล้ว
พวกจิ่งเซียงสบตากันทีหนึ่งก็ต่างพากันยกริมฝีปากขึ้น สายตาท้าทายกันไปมา แลดูพลุ่งพล่านฮึกเหิมยิ่ง จากนั้นกระบี่ในมือก็ออกกระบวนท่าแล้วบินแยกกันออกไปสองทางอย่างเงียบเชียบ
คนตระกูลเฉินที่แยกกันออกไปทุกทิศทางราวกับแมลงวันไร้หัว พวกเขาไม่ใช่คนโง่งม ศพที่นอนอยู่บนพื้นพวกนั้นและกลิ่นคาวเืคลุ้งเต็มจมูกบอกได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาไม่ได้มาดี แถมวรยุทธ์ยังไม่ธรรมดาอีกด้วย ต่อให้ผู้เป็นายของตนอยู่ที่นี่ก็คงทำอะไรไม่ได้
ทุกคนค้อมเอว ย่องสืบหากันไปอย่างหวาดกลัว แล้วก็พยายามะโเพื่อเรียกความกล้าหาญฮึกเหิมอยู่บ่อยๆ
แต่สำหรับพวกจิ่งเซียงแล้ว คนพวกนี้ก็เหมือนลูกไก่ที่เพิ่งฟักออกจากไข่ ไม่มีแรงขัดขืนใดๆ รับรองว่าพวกเขาสามารถจัดการได้ในครั้งเดียว
จิ่งเซียงฝีเท้าเงียบเชียบ ะโผ่านกระโจมมาสองสามหลังก็เจอเข้ากับชายร่างกำยำผู้หนึ่งพอดี ในมือถือกระบี่กำลังเดินมองสำรวจไปรอบตัว จิ่งเซียงยิ้มน้อยๆ รอให้เขาเดินมาถึงตรงหน้าตนเองก็ถีบตัวบินขึ้นอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
นางทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างนิ่มนวล หลังจากนั้นก็พุ่งไปเตะบริเวณขาพับของชายร่างกำยำที่สูงกว่าตนมากกว่าครึ่ง ทำให้เขาล้มลงคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่บนพื้น ไม่รอให้เขาส่งเสียง มือหนึ่งก็อุดปากเขาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งถือกระบี่สั้นปาดไปบนจุดตายบนคอของคนผู้นี้อย่างแม่นยำและโหดร้าย ครู่เดียวเืก็ทะลักออกมาราวกับตาน้ำแล้ว ชายกำยำผู้นั้นยังไม่ทันมีโอกาสได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ ก็ตาเหลือก ใบหน้าแข็งเกร็งล้มลงไปบนพื้นแล้ว
จิ่งเซียงหลบอย่างว่องไว แต่ก็ยังมีเืกระเด็นมาโดนโหนกแก้มของนางทำให้ใบหน้าขาวเล็กนั้นดูงดงามราวกับปีศาจขึ้นมาอย่างประหลาด ทั้งไร้เดียงสาและเย้ายวน ที่แท้สีแดงเข้มและสีขาวบริสุทธิ์เมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้วก็กลายเป็ความงดงามเช่นนี้เอง
ส่วนจิ่งจื่อะโข้ามกระโจมหลายอันติดต่อกัน หาได้สนใจผู้อื่นไม่ เป้าหมายมีเพียงเฉินชิ่งเท่านั้น ดังคำกล่าวที่ว่าคิดจับโจรให้จับหัวหน้า เมื่อจัดการตัวหัวหน้าได้แล้ว พวกลูกกระจ๊อกที่เหลือก็ย่อมทำอะไรไม่ได้อีก
เฉินชิ่งสามารถเป็ผู้ควบคุมกำลังพลส่วนหนึ่งได้ ตำแหน่งต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แถมยังฉลาดอีกด้วย ถึงแม้จะสั่งให้ทุกคนออกไปตามหาคนร้าย แต่คนที่มีฝีมือค่อนข้างดีก็ล้วนเก็บไว้ข้างตัว แค่มองดูก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้อ่อนแอ ขอแค่ไม่ใช่คนโง่งมก็คงไม่คิดลงมือคนเดียว มิเช่นนั้นอาจเป็การรนหาที่ตายได้
พวกเขายังเดินไปได้ไม่ไกล จิ่งจื่อเพียงไม่นานก็หาพวกเขาเจอ เฉินชิ่งถูกชายร่างกำยำห้าคนปกป้องไว้ตรงกลาง
หกคน
ปลายนิ้วของจิ่งจื่อลูบคลำด้ามกระบี่ ดูท่าแล้วคงไม่อาจฆ่าพวกเขาโดยไม่แหวกหญ้าให้งูตื่นได้
เมื่อหันซ้ายแลขวาแล้วจิ่งจื่อก็ร่อนลงสู่พื้นอย่างนุ่มนวล หยิบหินมาก้อนหนึ่งแล้วซัดไปยังที่ไกลๆ จนทำให้เกิดเสียงดังขึ้น แม้อยู่ท่ามกลางเสียงพูดคุยอันดังลั่นเป็พักๆ ของคนตระกูลเฉิน เสียงนั้นก็ยังค่อนข้างดังจนโดดเด่นขึ้นมา
“ผู้ใด?” พวกเฉินชิ่งมองไปยังที่ไกลๆ อย่างหวาดหวั่น ไม่มีผู้ใดตอบและไม่มีเสียงอะไรอีก
“หรือว่าจะเป็นักฆ่าพวกนั้น? ถ้าเป็พวกเดียวกับเราต้องตอบแน่”
เฉินชิ่งขมวดคิ้ว ชี้นิ้วไปยังคนที่เพิ่งพูดขึ้นเมื่อครู่ “เ้าไปดูซิ”
คนผู้นั้นแววตาอึ้งค้างไป ท่าทางราวกับจะบอกว่ารู้อย่างนี้เมื่อครู่ไม่พูดเสียก็ดี เฉินชิ่งเริ่มรำคาญขึ้นมา “กลัวอันใด มีคนของเราเต็มไปหมด หากมีอะไรเกิดขึ้น เ้าร้องะโขึ้นมาก็พอแล้ว”
พอบอกเช่นนี้ คนผู้นั้นก็สงบนิ่งขึ้นมาก จากนั้นพยักหน้าแล้วจึงเดินไป ตอนนี้ถึงแม้จะดึกสงัด แต่ก็มีคบไฟจุดอยู่ทั่วจนส่องสว่างไปทั่วบริเวณ ส่วนที่ยังมืดอยู่ก็กลับมืดสนิท พอเข้าไปในบริเวณส่วนลึกของกระโจมทั้งหลายแล้วก็จะเหลือแค่แสงเพียงน้อยนิดเท่านั้น จิ่งจื่อตามเ้าคนโง่งมที่หลุดออกจากฝูงมาผู้นี้ไป แค่เพียงก้าวเข้าสู่มุมที่พวกเฉินชิ่งมองไม่เห็นแล้วก็ลงมือทันที เมื่อเทียบกับความรวดเร็วหมดจดของจิ่งเซียงแล้ว จิ่งจื่อนั้นยิ่งเรียกได้ว่าเป็จุดสูงสุดของความสมบูรณ์แบบเลยก็ว่าได้ หลายวันมานี้ที่ตามเหยียนเฟิงเกออยู่ตลอดเรียกได้ว่าไม่เสียเปล่า แค่ชั่วพริบตาคนผู้นั้นก็ถูกวางลงบนพื้นโดยไร้สุ้มเสียงแล้ว มีเพียงเืที่ทะลักออกมาไม่ยอมหยุดและหิมะที่ตกลงมาเรื่อยๆ เท่านั้น จึงทำให้ฉากที่เงียบสงัดไร้เสียงและการเคลื่อนไหวใดๆ นี้ดูมีมิติมากขึ้น
จิ่งจื่อบินขึ้นไปอยู่บนกระโจมแล้วซัดหินอีกก้อนไปยังฝั่งตรงข้ามกับคนที่นอนอยู่บนพื้น
เมื่อก้อนหินพุ่งทะยานออกไป จิ่งจื่อก็หายวับ ตอนที่มีเสียงดังขึ้นนั้นเขาก็บินข้ามกระโจมไปหลายหลังแล้ว
เฉินชิ่งยังไม่รู้ว่าฝั่งนี้เกิดอะไรขึ้น แล้วฝั่งนั้นก็ดันมีเสียงขึ้นมาอีก รอบนี้ทุกคนจึงเริ่มหวาดกลัวมากขึ้นกว่าเดิม
แต่ก็มีคนที่ใจเย็นอยู่ เขายิ้มอย่างได้ใจ “เกรงว่าคงเป็เพราะเรามีคนมาก เมื่อส่งคนไปสืบค้นอย่างเต็มที่ พวกเขาคงซ่อนตัวไม่ไหว แต่ละคนจึงเริ่มเผยไต๋ออกมาบ้างแล้ว”
ทุกคนพากันพยักหน้า
แล้วหนึ่งในนั้นก็พูดขึ้นอีกว่า “หัวหน้าหน่วยน้อย ให้ข้าไปดูเถอะ”
บิดาของเฉินชิ่งซึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้าหน่วยมีแซ่เดียวกับตระกูลเฉิน แสดงว่ามีความสัมพันธ์ทางสายเือยู่บ้างไม่มากก็น้อย ในตระกูลเฉินก็นับว่าพอจะมีหน้ามีตาอยู่บ้าง เขามีเฉินชิ่งเป็ลูกชายคนเดียว ตำแหน่งหัวหน้าหน่วยในอนาคตจึงมีแต่เฉินชิ่งที่จะได้รับสืบทอด ดังนั้นพวกลูกน้องก็เลยเรียกเฉินชิ่งว่า ‘หัวหน้าหน่วยน้อย’ ไปโดยปริยาย
“ไปเถอะ”
“รอเดี๋ยว…” เฉินชิ่งเพิ่งจะพยักหน้าตกลง แต่กลับไม่รอให้คนผู้นั้นเดินออกไปมากกว่าสองก้าวก็รีบเรียกไว้ คิ้วขมวดน้อยๆ ทำท่าคิดหนัก “รอก่อน”
ทุกคนเห็นสีหน้าเช่นนี้ของเขาก็พูดอย่างกังวลว่า “หัวหน้าหน่วยน้อย หรือว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล?”
“รอให้ต้าเฉิงกลับมาก่อน” ต้าเฉิงก็คือคนที่จิ่งจื่อเพิ่งวางลงบนพื้นหิมะผู้นั้น “หากเขาไม่กลับมา เช่นนั้นก็ไม่ต้องไปแล้ว”
ทุกคนเข้าใจในทันทีจึงพากันหยุดอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
จิ่งจื่อที่หมอบอยู่บนกระโจมก็อดส่งเสียงดัง ‘เฮอะ’ ออกมาทีหนึ่งไม่ได้ ฉลาดเหมือนกันนี่ ดูท่าว่าคงหลอกไม่ได้เสียแล้ว
เช่นนั้นก็เข้าไปตรงๆ เลยแล้วกัน
ไม่รอให้พวกเขารู้ผลเื่ต้าเฉิง จิ่งจื่อก็รีบลงมืออย่างรวดเร็ว เฉินชิ่งถูกคุ้มครองอยู่ตรงกลาง จิ่งจื่อจึงเลือกคนที่อยู่รอบนอกที่หันหลังให้เขาซึ่งเป็ช่องโหว่ที่ลงมือได้ง่ายที่สุด คนพวกนี้ล้วนมีรูปร่างสูง ในหมู่คนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันจิ่งจื่อก็นับได้ว่าสูงมากแล้ว แต่ก็ยังเทียบคนพวกนี้ไม่ได้
เขาพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว อีกสองคนที่หันหน้ามาทางเขาเห็นแล้วว่ามีเงาสายหนึ่งพุ่งเข้ามาจึงรีบส่งเสียงอย่างตกตะลึงว่า “ระวัง…”
น่าเสียดายที่สายไปเสียแล้ว...
จิ่งจื่อเหยียบไปตรงน่องของคนผู้นั้นด้วยขาข้างเดียวและใช้เป็หลักออกแรง หยัดตัวขึ้นสูงกว่าคนผู้นี้ไปถึงหนึ่งศีรษะในทันที คนผู้นั้นรู้สึกเจ็บที่น่อง ยังไม่ทันได้ส่งเสียงกลับมองเห็นแสงสะท้อนไอเย็นะเือยู่ตรงหน้าหนึ่งสาย แล้วที่คอก็มีสิ่งอุ่นร้อนพุ่งทะลักออกมา เขาไม่รู้สึกเ็ป ทำแค่เพียงเบิกตาทั้งคู่ออกกว้าง แล้วร่างก็ค่อยๆ ล้มลงบนพื้น จิ่งจื่อถีบหลังเขา คนผู้นั้นล้มลงไปทางพวกเฉินชิ่ง เฉินชิ่งยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบกลับ ได้ยินแค่ ‘ระวัง’ สองคำนี้เท่านั้น เพิ่งหันกายมาก็เห็นว่าคนด้านหลังของเขาร่างนองเืล้มมาทางเขาแล้ว ทำเอาเขาตกตะลึงจนถอยหลังไปหลายก้าว ส่วนคนที่เหลือก็อึ้งไปตามกัน
จิ่งจื่อยืมแรงจากการเตะเมื่อครู่ เพียงครู่เดียวก็สามารถเว้นระยะห่างจากพวกเขาได้แล้ว เขาร่อนลงพื้นห่างออกไปหนึ่งจั้ง1 อย่างมั่นคง ปลายกระบี่ยังคงมีเืหยดลงมา
ร่างผอมแข็งแรงที่ถูกคลุมด้วยชุดสีดำเข้ารูปยิ่งทำให้ดูสูงโปร่ง ปิดบังใบหน้าไว้เพียงครึ่งเดียว มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่โผล่ออกมาซึ่งวาววับอย่างประหลาด งดงามแต่ก็ทำให้ผู้คนถึงกับสั่นสะท้านได้
หนึ่งจั้ง1 (丈)เท่ากับ 10 ฟุตหรือประมาณ 3.3 เมตร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้