ระหว่างการเดินทางจากเมืองจ้าวโจวใช้เวลาถึงเจ็ดวัน กว่ารถม้าจะพาอวี้จิ่นมาถึงเมืองเฉียนโจวที่ดูจะคึกคักไม่น้อย มีผู้คนเดินสวนทางเข้าออกเมืองกันอย่างคับคั่ง ทั้งพ่อค้าแม่ค้าหรือนักเดินทางจากต่างแคว้น แต่ถึงบรรยากาศยามกลางวันดูผู้คนพลุกพล่าน ใช้ชีวิตกันอย่างปกติทั่วไปเหมือนเมืองอื่น ๆ หากเมื่อใดใกล้ถึงยามค่ำคืนในเมืองเฉียนโจวกลับเงียบสนิท และเป็ครั้งแรกที่อวี้จิ่นรู้สึกว่าที่เมืองเฉียนโจวมีเื่แปลก ๆ เกิดขึ้น
“แม่นางน้อยพวกเรามาถึงเมืองเฉียนโจวแล้วขอรับ ข้าคงส่งท่านถึงแค่หน้าประตูเมืองเท่านั้นหวังว่าท่านจะไม่โกรธนะขอรับ” คนบังคับรถม้าที่มาส่งอวี้จิ่นไม่อยากค้างคืนที่นี่ เพราะข่าวลือเกี่ยวกับยามค่ำคืนที่น่ากลัว
“ไม่เป็ไรเ้าค่ะท่านลุงขอบคุณท่านมากที่มาส่งข้า ว่าแต่ทำไมท่านลุงไม่พักเหนื่อยที่เมืองเฉียนโจวเสียก่อนล่ะเ้าคะ เดินทางมาตั้งไกลม้าเองก็น่าจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยนะเ้าคะ” อวี้จิ่นสงสัยกับสายตาที่ดูหวาดกลัวบางอย่าง
“เอ่อ ไฮ้! หากข้าพูดให้แม่นางน้อยฟังแล้วท่านต้องมีสติให้มาก ที่ข้าไม่อยากพักที่เมืองเฉียนโจวเป็เพราะว่ามีข่าวลือเกิดขึ้น ในยามกลางคืนมักจะมีผีสาวนางหนึ่งออกอาละวาด และสังหารบุรุษเพื่อดูดพลังดังนั้นคืนนี้ถ้าท่านรู้สึกถึงความเงียบสงัดก็อย่าได้แปลกใจไปล่ะ”
“ห๊ะ!! ผีสาวออกอาละวาดฆ่าบุรุษดูดพลังิญญา เอ่อ ฟังแล้วมันไม่น่าจะเป็ไปได้นะเ้าคะท่านลุง แล้วทางการว่าอย่างไรบ้างมีการตรวจสอบไหมเ้าคะ ว่าเป็ฝีมือผีหรือว่าฝีมือของคนที่อุปโลกน์ขึ้นมา เพื่อทำการบางอย่างโดยใช้สถานการณ์นี้บังหน้าก็ได้นี่เ้าคะ” อวี้จิ่นชอบดูหนังหรือซีรี่ย์แนวสืบสวนแบบมีกำลังภายในเหาะไปเหาะมามาก ๆ เพราะเธอรู้สึกว่ามันเป็อะไรที่ท้าทายดี
“แม่นางน้อยเ้าอย่าพูดเสียงดังไปมิเช่นนั้นจะถูกเพ่งเล็งเอาได้ ข้าจะบอกให้ว่าเื่นี้แม้แต่ทางการหรือเ้าเมืองยังไม่สนใจ ทำงานแค่สุกเอาเผากินไปวัน ๆ ยิ่งมีเื่น่ากลัวด้วยแล้ว ก็เอาแต่กลัวหัวหดนอนคลุมโปงอยู่ในจวนนั่นแหละ ชาวบ้านถึงไม่มีใครออกมาเดินในยามค่ำคืนอย่างไรเล่า หากท่านหาที่พักได้เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า อย่าออกมาข้างนอกเด็ดขาดข้าเตือนเพราะหวังดีกับท่านจริง ๆ ตอนนี้ก็ไม่เช้าแล้วข้าขอตัวเดินทางกลับก่อนล่ะนะแม่นางน้อย ขอให้เ้าโชคดีเดินทางถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัย”
“ขอบคุณท่านลุงมากเ้าค่ะ ขอให้ท่านลุงสุขภาพแข็งแรงอายุยืนยาวเช่นกันนะเ้าคะ” อวี้จิ่นไม่เชื่อว่าจะมีเื่ภูตผีิญญาอาละวาด แต่นางก็รับฟังเป็ความรู้เอาไว้เผื่อจะใช้ตีสนิทชาวบ้านได้
แต่คำพูดของอวี้จิ่นทำให้บุรุษที่อยู่ในชุดผ้าคลุมสีดำปกปิดใบหน้า และนั่งอยู่บนหลังม้าตัวใหญ่ที่หยุดอยู่ไม่ไกลกับนาง เขาได้ยินทุกคำพูดของนางและมันเป็สิ่งที่เขาเองก็คิดคล้าย ๆ กับนางเช่นกัน
“ตงลู่..”
“ขอรับนายน้อย”
“ตามนางไปรอดูจนแน่ใจว่านางมาคนเดียวหรือนัดพบใครหรือไม่ พักอยู่ที่ไหนแล้วกลับมารายงานข้าโดยเร็วที่สุด”
“รับทราบขอรับนายน้อย”
เมื่อตงลู่ได้รับคำสั่งจากเ้านายก็แยกตัวเดินตามอวี้จิ่นทันที และเ้านายที่ออกคำสั่งนี้มิใช่ใครที่ไหนเขาคือ ‘ฟู่หลงเหยียน’ หัวหน้าสำนักตรวจสอบของฮ่องเต้ บุตรชายคนโตทายาทจวนไคกั๋วกงที่มีบิดาเป็ถึงเสนาบดีกรมการยุติธรรม มารดาเป็บุตรสาวของนายท่านเซี่ยแห่งหนานเจียง เ้าของท่าเรือขนส่งสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นจ้าว ครั้งนี้ฟู่หลงเหยียนได้รับพระบัญชาจากฮ่องเต้ รับสั่งให้เขาเดินทางมาหาสาเหตุของข่าวลือเื่ผีสาวในเมืองเฉียนโจว
และที่สำคัญฟู่หลงเหยียนที่คิดว่าเื่นี้มีจุดน่าสงสัยอยู่แล้ว พอได้ยินสิ่งที่อวี้จิ่นพูดออกมายิ่งทำให้เขาสนใจมากกว่าเดิม แต่ที่แปลกไปกว่าทุกครั้งคือเขากลับรู้สึกใจสั่นอย่างแรง เมื่อเห็นใบหน้าพร้อมรอยยิ้มของสตรีร่างบางที่มีความคิดเหมือนกับเขาเสียอย่างนั้น ทั้งที่ความรู้สึกนี้หายไปเกือบสิบปีั้แ่สตรีที่เขาพึงใจ ยอมแต่งงานเพื่อเพิ่มอำนาจให้กับตระกูลของนาง ฟู่หลงเหยียนไม่อยากเชื่อว่ามันกำลังเกิดขึ้นกับเขาอีกครั้ง และยังเป็เด็กสาวหน้าตาธรรมดาแต่มีอำนาจต่อหัวใจของเขา หาก้าความแน่ใจเขาต้องพิสูจน์มันอีกครั้งเท่านั้น
ด้านอวี้จิ่นที่ไม่รู้ตัวว่ายามนี้มีคนกำลังติดตามตนเอง ก็เดินมาหาห้องพักที่โรงเตี๊ยมระดับกลางที่ราคาไม่แพงนัก ห้องพักส่วนตัวของอวี้จิ่นอยู่บนชั้นสองห้องริมสุดทางเดิน ตงลู่ที่ติดตามมาจึงเฝ้าสังเกตอยู่เงียบ ๆ รอดูว่าจะมีใครมาพบกับอวี้จิ่นหรือไม่ แต่ระหว่างที่เฝ้าดูตงลู่ได้ยินเสียงพึมพำพูดกับตนเองของสตรีในห้องอย่างชัดเจน
“เฮ้อ เหนื่อยใช่ย่อยเลยถึงจะนั่งรถม้าก็เมื่อยเอาเื่นะเนี่ย ถ้ามีรถม้าหรือขี่ม้าเองน่าจะถึงเมืองหลวงภายในสองเดือนก็ได้นะ แต่ไปถึงเร็วก็ยิ่งดีไม่ใช่หรือไรจะได้ตามหาครอบครัว จากนั้นก็จัดการสองผัวเมียชั่วช้านั่นให้ได้รับโทษอย่างสาสม ถ้าพวกเขายินดีต้อนรับก็ดีหากไม่ยอมรับก็ดีอีกเช่นกัน ถึงจะมีเ้าหยกชิ้นนี้ช่วยยืนยันตัวตนแต่ใช่ว่าคนที่เห็นจะเชื่อในทันที ไม่น่าจะเป็ไปได้ช่างเถิดถึงเวลาก็รู้เองว่าจะเป็อย่างไร
อืม แต่เื่ผีสาวในข่าวลือที่ว่านี่มันไม่แปลกไปหน่อยหรือไงนะ มีคนถูกฆ่าตายแต่เ้าเมืองกลับเพิกเฉยไม่สืบหาความจริง แล้วยังจะทำตัวขี้ขลาดตาขาวหลบอยู่แต่ในจวนเช่นนั้นอีก ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเื่นี้จะไม่มีคนชักใยอยู่เื้ั ตอนนี้นอนพักเอาแรงสักหน่อยน่าจะดีกลางดึกจะได้พิสูจน์ความจริงกันว่าเป็ฝีมือผีหรือคน ฮ่า ๆ ๆ” พอคิดได้ดังนั้นอวี้จิ่นเช็ดหน้าเช็ดตาก่อนจะนอนพักผ่อนและหลับไปอย่างรวดเร็ว
ตงลู่จดจำสิ่งที่อวี้จิ่นพูดไว้ทุกคำเขาเฝ้าดูจนแน่ใจแล้วว่า คนที่เ้านายให้ติดตามมามิได้นัดพบผู้ใดและนางก็เดินทางตัวคนเดียวเท่านั้น
‘นางจะไปเมืองหลวงตัวคนเดียวเชียวรึแล้วยังจะไปพิสูจน์เื่ผีสาวกลางดึกอีก ใจกล้าไม่เบาหากนายน้อยรู้ว่านางจะออกไปข้างนอกยามดึก จะยังให้ข้าติดตามนางไปอีกครั้งหรือไม่นะ’
แน่นอนว่าฟู่หลงเหยียนเข้าพักที่โรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งของเมือง เนื่องจากมีความเป็ส่วนตัวสูงแขกของที่นี่ล้วนมีฐานะร่ำรวยทั้งสิ้น อู๋จิ้งที่สังเกตเห็นอาการผิดปกติของเ้านายจึงเอ่ยถามด้วยความเป็ห่วง
“นายน้อยตอนนี้ไม่ทราบว่าท่านยังรู้สึกใจเต้นแรงอยู่หรือไม่ขอรับ หากยังไม่หายบ่าวจะได้ไปตามท่านหมอมาตรวจดูอาการให้ขอรับ”
“ข้าไม่ได้เป็อะไรเ้าอย่าได้กังวลจนเกินไปนัก ยามนี้ควรมุ่งไปที่ข่าวลือของเมืองเฉียนโจวมากกว่าสิ่งใด” ฟู่หลงเหยียนบอกปัดและพูดถึงเื่งานแทน
“อ่อ แล้วที่นายน้อยให้ตงลู่ติดตามคุณหนูคนนั้นไปเพราะเหตุใดหรือขอรับ บ่าวดูท่าทางของนางไม่น่าจะเป็พวกมีแผนการร้ายอันใด”
“เพราะนางมีความคิดคล้าย ๆ กับข้าเกี่ยวกับเื่ข่าวลือนั่น บางทีที่นี่มิได้มีภูตผีั้แ่แรกแต่เป็ฝีมือของคนร้าย ที่้าใช้เื่นี้บังหน้าและทำเื่ผิดกฎหมายลับหลังมากกว่า” ฟู่หลงเหยียนไม่เชื่อว่าจะมีภูตผีอยู่จริง
“บ่าวเข้าใจแล้วขอรับ” อู๋จิ้งเพิ่งจะนึกออกว่าคำพูดของอวี้จิ่น ที่พวกเขาได้ยินทำให้ทุกคนมั่นใจเกี่ยวกับข่าวลือมากขึ้นไปอีก ว่าเป็น้ำมือของคนที่้าอำพรางบางสิ่งไว้เื้ั
“หากเื้ัเื่นี้เกี่ยวกับการลักลอบค้าเกลือเถื่อน ที่สายของเรารายงานมาแต่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด ว่าผู้บงการตัวจริงคือผู้ใดเพราะพวกลูกน้องที่จับตัวได้ไม่ยอมรับสารภาพ ครั้งนี้นายน้อยอาจต้องใช้เวลาสืบหาที่ซ่อนของหลักฐานนานกว่างานอื่นนะขอรับ” เฉินอิ่นเห็นด้วยกับเ้านายว่าเื่นี้มีเบื้องลึกไม่ธรรมดา
“อืม ที่น่าสงสัยในตอนนี้คงไม่พ้นเ้าเมืองที่ไม่ทำการทำงาน นั่งกินนอนกินเงินเบี้ยหวัดไปวัน ๆ ดูท่าแล้วคงรับสินบนใต้โต๊ะบ่อยจนเคยตัวกระมัง” งานของเขาที่เมืองเฉียนโจวคงได้กำจัดขุนนางกังฉินหลายคนพร้อมกันเป็แน่
ขณะที่ฟู่หลงเหยียนกำลังพูดคุยเื่ข่าวลืออยู่นั้น ตงลู่ก็กลับมาเพื่อรายงานเื่เกี่ยวกับอวี้จิ่นให้เ้านายได้ทราบ
“ก๊อก ๆ ๆ นายน้อยยบ่าวตงลู่ขอรับ”
“เข้ามาเถิด”
“แอ๊ดดด ปึก”
“ได้อะไรกลับมาบ้างเล่าออกมาให้หมด”
“เรียนนายน้อยคุณหนูผู้นั้นมิได้นัดพบกับใครที่นี่ นางแค่แวะพักเพื่อจะเดินทางเข้าเมืองหลวงไปตามหาครอบครัวขอรับ บ่าวได้ยินนางพูดอีกว่าถึงมีหลักฐานใช้ยืนยันตัวตนของนางได้ แต่ถ้าครอบครัวไม่ยอมรับว่านางเป็บุตรสาวก็จะไม่ร้องขอความเห็นใจแต่จะออกเดินทางไปท่องเที่ยวทั่วแคว้นจ้าวแทนขอรับ” ตงลู่รายงานสิ่งที่ได้ยินให้เ้านายฟัง
“หืม ตามหาครอบครัวที่เมืองหลวงด้วยตัวคนเดียวน่ะหรือ นางมีหลักฐานอันใดในมือที่สามารถใช้ยืนยันการบุตรสาวของครอบครัวได้งั้นรึต่งลู่” ฟู่หลงเหยียนยิ่งแปลกใจที่รู้ว่าสตรีที่เพิ่งเจอจะเดินทางคนเดียวเพราะอะไร
“เรียนนายน้อยนางมีกุญแจหยกอายุยืนเป็หลักฐาน และบ่าวคิดว่าสิ่งนี้น่าจะใช้ในหมู่บุตรหลานขุนนางชั้นสูงขอรับ” ตงลู่เคยเห็นพิธีการรับขวัญบุตรหลานของตระกูลขุนนางมาหลายครั้ง
“กุญแจหยกอายุยืนงั้นหรือในเมืองหลวงมีไม่กี่ตระกูล ที่มักจะใช้หยกแทนทองคำมอบให้บุตรหลานที่เพิ่งเกิด เฉินอิ่นส่งจดหมายบอกจิ้งโม่ไปสืบเื่นี้มาให้ข้าว่ามีตระกูลใดบ้างมอบกุญแจหยกอายุยืนกับคนในตระกูล ที่สำคัญมีตระกูลไหนบุตรหลานหายตัวไปบ้างสืบมาอย่างละเอียดอย่าได้ตกหล่นแม้แต่เื่เดียว” ฟู่หลงเหยียนอยากรู้ว่าสตรีที่ทำให้หัวใจของเขากลับมาเต้นแรงอีกครั้ง จะเป็บุตรหลานของตระกูลขุนนางกังฉินหรือไม่
“ขอรับนายน้อย”
“เอ่อ นายน้อยบ่าวได้ยินนางพูดก่อนจะนอนหลับอีกเื่หนึ่ง นางพูดว่าคืนนี้จะออกไปดูหน้าผีสาวตนนั้นเสียหน่อย ว่าคือผีจริง ๆ หรือคือคนแต่งเป็ผีเพื่อสร้างข่าวลือด้วยขอรับ” ตงลู่นึกถึงคำพูดนี้ของอวี้จิ่นก็นับถือในความใจกล้าของนาง
“โอ้ ช่างเป็สตรีใจกล้าเสียด้วย” อู๋จิ้งแปลกใจที่มีคนไม่กลัวตาย
“หึ ตัวรึก็เล็กแค่นั้นแต่ใจกล้ายิ่งกว่าบุรุษใจเสาะอย่างเ้าเมืองเสียอีก ในเมื่อนางจะออกไปพิสูจน์เื่นี้ด้วยตนเอง พวกเ้าสามคนเตรียมตัวไว้ข้าจะตามนางไปพิสูจน์ความจริงเช่นกัน แยกย้ายกลับไปพักผ่อนได้แล้วยามห้ายค่อยพบกันด้านหน้าโรงเตี๊ยม” ฟู่หลงเหยียนนึกเป็ห่วงสตรีแปลกหน้า แต่เขาเองก็อยากรู้ความจริงเหมือนกันกับนาง
“ขอรับนายน้อย!”
ผู้ติดตามคนสนิททั้งสามออกจากห้องพักของฟู่หลงเหยียนไป พร้อมกับความสงสัยที่พวกเขาเห็นสายตาที่อ่านไม่ออกของเ้านาย ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในตอนนี้กันแน่ ไหนจะอยากรู้เื่ของสตรีแปลกหน้าที่เพิ่งจะได้พบเพียงครั้งเดียวนั่นอีก
“หรือว่า!” เฉินอิ่นพูดออกมาก่อนอย่างใ
“ข้าก็คิดเหมือนเ้า!” ตงลู่รู้ทันทีว่าสหายคิดอะไรอยู่
“ใช่! ว่าแต่พวกเ้าสองคนคิดเื่อะไรกัน?” อู๋จิ้งทำทีตามน้ำไปกับสหายแต่กลับไม่รู้ว่าสิ่งที่ทั้งสองคนคิดคือเื่อะไร
“ป้าบ! โอ๊ย”
“เฉินอิ่นเ้าตบหัวข้าทำไมมันเจ็บนะ อูย ไม่คิดจะยั้งแรงให้กันบ้างเลย” อู๋จิ้งลูบท้ายทอยไปมา
“เ้านี่น้าไม่เคยรู้ทันอะไรกับคนอื่นบ้างเลยถ้าเ้าอยากรู้ก็รอดูเอาเองแล้วค่อย ๆ คิดตาม อีกไม่นานจะเข้าใจว่าพวกข้าสองคนเออออเื่อะไรไปพักผ่อนกันได้แล้ว” เฉินอิ่นส่ายหน้ากับความซื่อของสหาย
ทางด้านอวี้จิ่นที่ตื่นนอนและจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ จึงสั่งอาหารมื้อเย็นขึ้นไปทานบนห้องพักของตน และนั่งคิดเื่ผีสาวถ้านั่นเป็คนปลอมตัวมาอาจจะมีอันตราย นางจึงเข้ามิติเดินหาร้านค้าขายอุปกรณ์เดินป่าจนได้มีดพกที่เหมาะมือมาหนึ่งเล่ม เพราะเป็เด็กกำพร้าใช้ชีวิตลำบากหากไม่อยากถูกคนอื่นรังแก จำเป็ต้องเรียนรู้วิธีป้องกันตัวเพื่อเอาชีวิตรอดจากพวกอันธพาล ทักษะการใช้มีดอวี้จิ่นฝึกด้วยตนเองผ่านการดูตัวอย่างจากโลกโซเซี่ยลจนชำนาญ หมัดมวย
ไม่ถึงกับเก่งกาจแต่เอาตัวรอดได้ทุกสถานการณ์
