หมี่หลันเยว่ตื่นเพราะความหิวโหย หลังจากทำงานหนักเกินกำลังไปตลอด่เช้า ถ้าไม่เป็เพราะความเหนื่อยล้าจนเผลอหลับไป สิ่งแรกที่เธอจะทำคือซัดข้าวให้พุงกาง เธอขยี้ตาให้คลายความงัวเงีย ความอุ่นสบายจากพื้นเตียงที่ปูด้วยแผ่นความร้อนนั้นทำให้รู้สึกดีจริงๆ ถ้าท้องไม่ร้องประท้วง เธอคงไม่อยากลุกจากที่นอนเลย
"ไอ๊หยา หลันเยว่ของแม่ตื่นแล้วเหรอ มาดูสิว่าพ่อทำอะไรให้ลูก"
หวังหย่วนฉิงที่แวะมาดูลูกสาวในห้อง เมื่อเห็นว่าเธอตื่นแล้วก็รีบหันหลังกลับไปยังห้องครัว ครู่ต่อมา เธอก็ถือชามใบโตเข้ามาในห้อง โดยมีผ้าขนหนูรองกันความร้อนไว้
"ไข่ตุ๋นสูตรพิเศษสำหรับหลันเยว่น้อยของพวกเรา กลิ่นหอมจนอดใจแทบไม่ไหวเลยล่ะ"
เมื่อวางชามลงข้างเตียง กลิ่นหอมฉุยของต้นหอมก็ลอยมาแตะจมูก หมี่หลันเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอรู้ดีว่าฝีมือทำไข่ตุ๋นของพ่อนั้นไม่เป็สองรองใคร
"เอาไปให้น้องเถอะค่ะ"
หมี่หลันเยว่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก แม้ว่าพ่อกับแม่จะทำงานทั้งคู่ แต่อาหารจำพวกเนื้อ ปลา ไก่ หรือไข่ ก็ยังถือเป็ของฟุ่มเฟือยสำหรับครอบครัว ั้แ่ได้กลับมาเกิดใหม่ เธอแทบไม่ได้ลิ้มรสอาหารคาวเลย
ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ไม่ยอมซื้อให้ แต่เป็เพราะสิ่งของในยุคนี้ค่อนข้างขาดแคลน หลายอย่างต้องใช้คูปองในการซื้อ ไม่ว่าจะเป็เนื้อ ไข่ ผ้า หรือแม้กระทั่งข้าวสาร เส้นบะหมี่ และน้ำมัน ทุกครอบครัวจะมีสมุดปันส่วน ซึ่งกำหนดปริมาณที่แต่ละคนสามารถซื้อได้
ทุกครั้งที่ไปซื้อของ เ้าหน้าที่จะทำเครื่องหมายกำกับในสมุดว่าซื้ออะไรไปเท่าไร แม้ว่าจะมีเงินมากแค่ไหน ถ้าซื้อเกินจำนวนที่กำหนดในเดือนนั้นแล้ว ก็จะไม่สามารถซื้อเพิ่มได้อีก หมี่หลันเยว่ยังจำภาพสมุดปันส่วนของครอบครัวในชาติที่แล้วได้ดี รอยนิ้วหัวแม่มือเปื้อนน้ำมันของป้าคนขายน้ำมันยังติดตา
ด้วยเหตุนี้ เมื่อหมี่หลันเยว่เห็นไข่ตุ๋น เธอจึงเอ่ยปากให้แม่ยกสิ่งนั้นให้น้องชายทันที
"หลันซิงยังเล็กเกินไป ยังกินแบบนี้ไม่ได้หรอก"
หวังหย่วนฉิงลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกสาว ช่างน่าเอ็นดูที่เด็กน้อยรู้จักรักน้องชาย เด็กคนอื่นๆ ในวัยนี้กำลังตะกละตะกลาม ถ้ามีของอร่อย อย่าว่าแต่แบ่งปันเลย แค่แย่งกันก็แทบจะตีกันตาย เธอมองเห็นมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
"งั้นก็ให้พี่ชายมากินด้วยกันสิคะ"
หมี่หลันเยว่ไม่อยากกินอยู่คนเดียว เธอจะรู้สึกผิด เธอเป็ผู้ใหญ่แล้ว จะไปแย่งของกินกับพี่น้องได้ยังไง
"พี่ชายกินข้าวไปแล้ว อย่าห่วงเลย มาๆ กินเถอะ"
แม่วางโต๊ะเตี้ยลงบนเตียง จากนั้นก็วางไข่ตุ๋นลงบนโต๊ะให้หลันเยว่กิน เธอเห็นว่าลูกสาวตัวเล็ก เอื้อมไม่ถนัด จึงนำหมอนมารองก้นให้
หมี่หลันเยว่กำช้อนไว้ในมือ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ ทันใดนั้นเธอก็หันไปะโเสียงดังไปทางประตูห้อง
"พี่คะ!"
"ว่าไงน้องสาว มีอะไรเหรอ?"
หมี่หลันหยางนึกว่าน้องสาวมีเื่ให้ช่วย จึงรีบวิ่งเข้ามา เมื่อเข้ามาในห้องก็ได้กลิ่นหอมของไข่ตุ๋น
"พี่คะ มากินไข่ตุ๋นด้วยกันนะ"
หมี่หลันเยว่นั่งอยู่ข้างโต๊ะ โบกมือเรียกพี่ชาย แต่หลันหยางกลับไม่ยอมขึ้นมาบนเตียง เขารู้ว่าน้องสาวช่วยพ่อแม่ทำงานหนักมาตลอด่เช้า นี่เป็อาหารที่พ่อทำให้น้องสาวเพื่อบำรุงร่างกาย
"พี่กินข้าวแล้ว เธอกินเองเถอะ พี่ไปดูน้องชายก่อนนะ"
หลันหยางพูดจบก็หันหลังเตรียมเดินออกไป หวังหย่วนฉิงรีบคว้าตัวไว้แล้วอุ้มขึ้นมาบนเตียง ลูกชายคนโตก็แค่ห้าขวบ แม้ว่าที่บ้านจะมีของน้อย แต่ถ้าลูกคนไหนอดอยาก คนเป็แม่ก็คงไม่สบายใจ
"ไหนๆ น้องสาวก็เรียกมาแล้ว กินด้วยกันหน่อยเถอะ"
เธอถอดรองเท้าให้ลูกชายคนโต แล้ววางเขาลงข้างๆ รองเท้าของน้องสาว
"พี่คะ พี่เป็พี่ชาย พี่กินก่อนเลย" หมี่หลันเยว่ตักไข่ตุ๋นขึ้นมาเล็กน้อย จ่อไปที่ปากของพี่ชาย
"เธอเป็น้องสาว กินก่อนเถอะ"
เมื่อเห็นร่องรอยช้อนในชาม ก็รู้ว่าน้องสาวรอเขาอยู่ เธอจึงยังไม่ได้กิน
"ก็บอกว่าพี่เป็พี่ชายไง เร็วเข้า เชื่อหนูหน่อย พี่กินคำแรกนะ แล้วหนูจะกินคำที่สอง"
หมี่หลันเยว่ยื่นช้อนไปตรงหน้าหลันหยางอย่างดื้อดึง เขาไม่มีทางเลือก จึงต้องอ้าปากกิน หมี่หลันเยว่ก็ตักกินเองอย่างมีความสุข จากนั้นก็ป้อนให้พี่ชายอีกคำ สองพี่น้องกินกันอย่างสนุกสนาน
หวังหย่วนฉิงมองดูพี่น้องที่รักใคร่กันแบบนี้ ก็เริ่มคิดในใจ มีแค่ไข่ตุ๋นชามเดียวให้ลูกกิน ถ้าฐานะทางบ้านดีกว่านี้อีกหน่อย ก็คงไม่ต้องให้ลูกๆ ลำบากใจแบบนี้ ดูท่าว่าพอเข้าฤดูใบไม้ผลิปีหน้า เธอคงต้องหาซื้อไก่มาเลี้ยงสักหน่อยแล้ว ถึงตอนนั้นลูกๆ ก็จะมีไข่กิน ไม่ต้องผลัดกันกินไปมาแบบนี้
"แม่คะ แม่ก็กินด้วยกันสิ"
ขณะที่หวังหย่วนฉิงกำลังคิดอะไรเพลินๆ ริมฝีปากของเธอก็ถูกช้อนแตะเข้าให้ ที่แท้ลูกสาวตักไข่ตุ๋นมายื่นให้เธอ เมื่อไม่อยากขัดใจลูก เธอจึงอ้าปากกินไข่ตุ๋น เห็นลูกสาวก้มหน้าตักให้พี่ชายอีกครั้งด้วยท่าทีอิ่มเอมใจ เธอก็มีความสุข
"ขอพ่อดูหน่อยสิว่าลูกรักกินไข่ตุ๋นที่พ่อทำหมดรึยังน้า"
หมี่จิ้งเฉิงยื่นหน้าเข้ามาจากประตู หวังหย่วนฉิงก็ยิ้มออกมา ชีวิตก็ควรเป็แบบนี้ เรียบง่าย อบอุ่น และจริงใจ มีลูกที่เชื่อฟัง มีพี่น้องที่รักใคร่กัน มีคู่ครองที่ใกล้ชิด ชีวิตนี้ก็เพียงพอแล้ว
"หลันเยว่ เราไปเก็บใบไม้เล่นกันไหม?"
สองพี่น้องที่กินไข่ตุ๋นหมดแล้ว เริ่มปรึกษากันว่าจะเล่นอะไรดี
"ใบไม้มีอะไรให้เล่น พี่จะทำตัวอย่างพรรณไม้เหรอ?"
หมี่หลันเยว่ลืมไปว่าในวัยนี้ เธอยังไม่ควรรู้จักคำว่า ‘ตัวอย่างพรรณไม้’ เสียด้วยซ้ำ
"ทำตัวอย่างพรรณไม้คืออะไร?"
เป็อย่างที่คิด พี่ชายไม่รู้จัก หมี่หลันเยว่จึงเหงื่อตกเล็กน้อย
"ตัวอย่างพรรณไม้ ก็คือเอาใบไม้ไปสอดไว้ในหนังสือ แล้วรอให้มันค่อยๆ แห้ง พอแห้งแล้ว มันก็จะไม่เน่าอีก ถ้าเราเก็บไว้อย่างดี มันก็จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต"
หมี่หลันเยว่พยายามใช้ภาษาที่ง่ายที่สุดอธิบายความหมายของตัวอย่างพรรณไม้ให้พี่ชายฟัง
"มันน่าเบื่อจะตาย พี่ไม่อยากเก็บใบไม้ไว้ตลอดชีวิตหรอก"
เด็กผู้ชายมักไม่ค่อยยอมรับเื่ที่ดูเหมือนสิ้นเปลืองแบบนี้
"งั้นเราไปเก็บใบไม้ แล้วเอามาดึงก้านแข่งกันไหม ใครเก็บใบไม้ที่ก้านแข็งแรงกว่าก็ชนะ"
เมื่อพี่ชายทักขึ้นมา หมี่หลันเยว่ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ตอนเด็กๆ เธอก็เคยเล่นแบบนี้เหมือนกัน การดึงก้านใบไม้ก็คือการที่คนสองคนนำก้านใบไม้มาเกี่ยวกัน จากนั้นก็จับปลายก้านทั้งสองข้าง แล้วออกแรงดึง ใครที่ก้านใบไม้ขาดก่อนก็เป็ฝ่ายแพ้
"ดีเลย งั้นเราไปเก็บกันเถอะ"
เมื่อนึกถึงเกมนี้ หมี่หลันเยว่ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เธออยากรำลึกถึงเกมในความทรงจำ ัับรรยากาศของยุคสมัยนี้อีกครั้ง
"งั้นไปกันเลย"
หลันหยางะโลงจากเตียงก่อน แล้วย่อตัวลงผูกเชือกรองเท้า จากนั้นก็หันมาช่วยน้องสาว หมี่หลันเยว่จะยอมให้พี่ชายทำแบบนั้นได้ยังไง จึงรีบไล่ให้เขาออกไปก่อน
"พี่คะ หนูทำเองได้ พี่ไปใส่เสื้อคลุมเถอะ"
เมื่อเห็นน้องสาวผูกเชือกรองเท้าได้อย่างคล่องแคล่ว หลันหยางจึงไปหยิบเสื้อคลุมของตัวเองมาใส่ เมื่อใส่เสร็จแล้วก็หยิบเสื้อคลุมของน้องสาวมาถือไว้ รอให้น้องสาวใส่รองเท้าให้เรียบร้อย
"แม่ครับ ผมจะพาน้องสาวออกไปเก็บใบไม้ เล่นแป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับมาครับ"
เมื่อหลันหยางกับหมี่หลันเยว่แต่งตัวเรียบร้อย ก็มาบอกลาพ่อกับแม่ในห้องโถง
"ลูกจะดูแลน้องได้เหรอ น้องยังเล็กเกินไป หรือว่าลูกจะออกไปเล่นกับเพื่อนๆ เองดีกว่า"
หมี่จิ้งเฉิงกับหวังหย่วนฉิงไม่ค่อยเชื่อว่าหลันหยางวัยห้าขวบจะดูแลหมี่หลันเยว่วัยสองขวบได้ดี ยังไงซะ พวกเขาต้องออกไปข้างนอก แถมบ้านของพวกเขาก็ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ การเดินไปเดินมาก็ไม่ค่อยสะดวก ถ้าลูกพลัดตกลงไปจากเนินเขา จะเป็เื่ใหญ่
"แม่ครับ ผมดูแลน้องได้ น้องไม่ซนหรอก พวกเราจะไปเก็บใบไม้แผ่นใหญ่ๆ กลับมาเล่นดึงก้านใบไม้กัน"
หลันหยางยืนกราน เขาให้สัญญาว่าจะพาน้องสาวออกไปแล้ว ก็ต้องทำให้ได้
"ลูกดูแลน้องได้จริงๆ นะ? ถ้าอยากออกไปเล่นมากขนาดนั้น ให้พ่อไปด้วยกันไหม?"
แม้ว่า่บ่ายจะมีงานที่ยังทำไม่เสร็จ แต่หมี่จิ้งเฉิงก็ยังคิดว่าการอยู่กับลูกเป็สิ่งสำคัญ ให้ลูกๆ ได้เล่นสนุกบ้าง งานของเขาจะเสร็จช้าหน่อยก็ไม่เป็ไร
"พ่อคะ หนูอยู่กับพี่ชายได้ พวกเราแค่จะไปเก็บใบไม้แถวๆ บ้าน แล้วก็จะกลับมา พี่ชายไปไหน หนูก็จะไปด้วย หนูจะเดินตามพี่ชายตลอดเลยค่ะ"
ในเมื่อตกลงกับพี่ชายแล้ว หมี่หลันเยว่ก็ไม่อยากให้มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย
หมี่จิ้งเฉิงกับหวังหย่วนฉิงมองหน้ากัน จากนั้นก็พยักหน้า
"ก็ได้ พ่อจะเชื่อใจลูกสักครั้ง ห้ามไปไกลนะ ไปเล่นแค่แถวๆ บ้าน เก็บใบไม้เสร็จแล้วก็กลับมา อย่าทำให้พ่อกับแม่เป็ห่วง รู้ไหม?"
สองพี่น้องรีบพยักหน้ารับ แล้วจูงมือกันวิ่งออกไป หลันหยางยังกลัวว่าตัวเองจะก้าวเท้าเร็วจนเกินไป ทำให้น้องสาวล้ม วิ่งไปก็ยังต้องระมัดระวัง เขาก้าวเท้าสั้นๆ ช้าๆ ทำให้พ่อกับแม่หัวเราะออกมา พี่ชายคนนี้ดูท่าทางจะเป็พี่ชายที่ดีจริง ๆ
"พี่คะ พวกเราอยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน"
บ้านของพวกเขาเป็บ้านหลังที่สองของบ้านแถวนี้ บ้านแรกเป็ของครอบครัวแซ่หู ถัดจากนั้นก็สุดแนวบ้านพอดี สองพี่น้องจูงมือกันขึ้นไปยังเชิงเขาเล็กๆ พื้นดินเต็มไปด้วยใบไม้ร่วงที่ถูกลมพัดปลิวมา
"ใบไม้นี่ใหญ่จัง ดูสิ ก้านมันใหญ่ขนาดไหน"
พี่ชายรีบคว้าใบไม้สีเหลืองใบหนึ่งมา ใบไม้นั้นมีก้านที่ใหญ่จริงๆ หมี่หลันเยว่จึงรีบชม
"พี่เก่งจัง ใบมันใหญ่จริงๆ ด้วย แต่หนูจะหาใบที่ใหญ่กว่านี้ให้ได้เลย"
เมื่อมีการเปรียบเทียบ เกมก็จะสนุกยิ่งขึ้น คำพูดของหมี่หลันเยว่ปลุกเร้าความอยากเอาชนะของเด็กชาย
"ดีเลย งั้นเรามาแข่งกัน ดูสิว่าใครจะเก็บใบไม้ที่ทั้งใหญ่และแข็งแรงกว่ากัน"
ทั้งสองจึงก้มหน้าก้มตาค้นหา ไม่นานนักในมือของแต่ละคนก็เต็มไปด้วยใบไม้
"หลันหยาง พาน้องมาเล่นด้วยเหรอ"
ทันใดนั้นก็มีเด็กชายสามคนวิ่งขึ้นมาจากเชิงเขา พวกเขาอายุราวๆ ห้าหกขวบ เมื่อเห็นหลันหยางก็ดีใจ
ดูเหมือนจะเป็เพื่อนของพี่ชาย หมี่หลันเยว่จึงยืนอยู่ข้างๆ พี่ชายอย่างว่าง่าย
"น้องสาวนายสวยจัง"
"แน่นอนสิ"
หลันหยางตอบอย่างภาคภูมิใจ
หมี่หลันเยว่รู้ว่าตัวเองไม่ได้สวยอะไรมากมาย แต่เมื่อถูกเด็กชม เธอก็มีความสุขอยู่ดี เขาว่ากันว่าคำพูดของเด็กๆ นั้นไร้เดียงสา สิ่งที่เด็กพูดออกมาคือสิ่งที่อยู่ในใจจริง บางที สิ่งที่เขาเห็นอาจจะไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอกของเธอ แต่อาจจะเป็บุคลิกก็เป็ได้ หมี่หลันเยว่คิดไปได้ไกลขนาดนั้น เด็กตัวเล็กๆ จะรู้จักคำว่าบุคลิกได้ยังไง
"เล่นด้วยกันไหม พวกนายเก็บมาเยอะขนาดนี้แล้ว เล่นดึงก้านใบไม้กันเถอะ"
"แต่เราจะแบ่งกลุ่มกันยังไงดี แบ่งเป็สองคนก็ยังเหลือเศษ"
"ฉันจะอยู่กลุ่มเดียวกับน้องสาว ส่วนพวกนายก็อยู่กลุ่มเดียวกันสามคนไปเลย"
ถึงจะเสียเปรียบ แต่เขาก็อยากจะอยู่กับน้องสาว หมี่หลันเยว่มองใบหน้าด้านข้างของพี่ชาย ดวงตาของเธอก็โค้งเป็รูปพระจันทร์เสี้ยว