รายละเอียดการแยกกลุ่มศิษย์ปีหนึ่งในการทดสอบนั้น ได้ถูกแสดงออกมาผ่านกระจกหินขนาดั์กลางลานแสดงยุทธ์แล้ว
ยามเ่ิูมาถึง ทั้งลานก็คลาคล่ำไปด้วยนักเรียนที่รีบร้อนมาตรวจหากลุ่มของตัวเอง
พอมองเห็นเขาเดินเข้ามาแล้ว ผู้คนมากมายก็มองเขาด้วยแววตาแปลกๆ
นั่นทำให้เ่ิูรู้สึกพิศวงชอบกล
ทว่าเมื่อเขาหากลุ่มตัวเองเจอแล้วนั่นแหละ ถึงได้เข้าใจว่าไฉนคนรอบข้างถึงมองเขาด้วยสายตาเช่นนั้น...เขา ถูกจัดให้อยู่กลุ่มเดียวกันกับฉินอู๋ซวง เยี่ยนสิงเทียน ่เี่ิและปีหนึ่งคนอื่นๆ ที่เพริศแพร้วด้วยพร์
“ถูกจัดให้เข้าในกลุ่มอันดับหนึ่งหรือนี่?”
มันก็สมควรแปลกใจอยู่หรอก
ถึงผลการสอบเข้าสำนักของเขาจะน่ากลัวขนาดไหน แต่พื้นฐานวรยุทธ์เขานับได้ว่าต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ด้วยเหตุนั้นยี่สิบวันก่อนหน้าถึงไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรกับคนอื่นเลย
ฉินอู๋ซวงและคนอื่นๆอยู่ครึ่งขั้นอาณาน้ำพุิญญาแล้ว อีกไม่เท่าไรก็จักไต่ถึงขั้นอาณาเนื้อฟ้า
ตามกฎของสำนักกวางขาว กลุ่มต่างๆ ที่จะต้องผ่านประสบการณ์เสี่ยงภยันตรายนี้ ไม่ได้จัดตามพร์ แต่จัดตามพลังเป็เกณฑ์ เพราะกำลังแตกต่างกันนี้เอง จึงพลอยถูกจัดเข้าทดสอบเขตป่าเปล่าเปลี่ยวไม่เหมือนกันไปด้วย
“หรืออาจารย์ของสำนักจะคิดว่าข้ามีพลังเทียบเคียงกับฉินอู๋ซวงหรือคนอื่นด้วย? หรือเป็เพราะ...”
สายตาพลันเหลือบเห็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มเล็กๆ ที่เขาอยู่ด้วย
หลิวเล่ย!
เ้าบ้าคลั่งนั่น ก็อยู่กลุ่มเดียวกันกับเขาหรือ?
บังเอิญเกินไปไหม?
หรือจะมีใครจงใจจัดการ?
คราวก่อนโดนเขาอัดไปเสียคางเหลือง แขนขวาเกือบแหลกไปทั้งแขน ตอนนี้ยังโผล่เข้ามาเป็หนึ่งในกลุ่มทดสอบเล็กๆ ของเขาเสียได้ หรือจะรักษาแผลหายขาดหมดแล้ว?
เ่ิูคิดไปถึงข้อความที่น้องนางทิ้งไว้ให้เขาบนจดหมายแผ่นนั้น มุมปากข้างหนึ่งยกขึ้นอย่างมิอาจอ่านความหมาย
เขาเดินปรี่ไปหาจุดรวมพลตามที่กระจกศิลานั้นบอกไว้
กลุ่มเล็กทุกกลุ่มมีสมาชิกทั้งหมดยี่สิบคน มีอาจารย์ตรวจการณ์คอยนำแถว
จุดรวมพลของพวกหัวกะทิอันดับหนึ่งนั้นเด่นสะดุดตา มองหาเจอได้ง่าย รอบๆ ลานกว้างมีธงทิวใหญ่สีเหลืองอร่ามโบกพลิ้วตามสายลม ด้านล่างมีคนยืนรออยู่ก่อนสิบกว่าคนแล้ว แบ่งออกเป็สองกลุ่มลับๆ หัวหน้าทั้งสองกลุ่มคือฉินอู๋ซวงและเยี่ยนสิงเทียน
พวกเขาเหล่านี้คือสมาชิกของกลุ่มอันดับหนึ่งนั่นเอง
การมาถึงของเ่ิู ดึงดูดสายตาคนพวกนั้นได้ดีนัก
โดยเฉพาะปลอกหอกดำขลับใหญ่โตที่เขาแบกไพล่หลัง ยั่วยุผู้คนให้เดาสุ่มว่าเด็กหนุ่มซึ่งก่อความเคลื่อนไหวไม่น้อย่ที่ผ่านมานี้เตรียมศาสตราวุธใดมา
หลิวเล่ยยืนอยู่กลางกลุ่มคนนั้น
เขาอยู่แถวของฉินอู๋ซวง รายนั้นเบิกตามองเ่ิูเขม็ง แววตาเรียบสงบอย่างน่าแปลก ราวกับลืมเลือนเื่ก่อนหน้านี้จนหมดสิ้น เขามองเ่ิูเหมือนมองศพเดินได้
ขณะเดียวกัน หนุ่มน้อยเ่ิูก็มองดูหมู่คน
ไม่มีร่างเด็กหญิงตัวเล็ก่เี่ิอยู่เลย เจ็ดคนในรายชื่อทั้งสิบก็ไม่มี ณ ที่นี้ เห็นท่าว่าการแบ่งกลุ่มของสำนักจะยังมีเกณฑ์การพิจารณาด้านอื่นอยู่อีกกระมัง
ตอนนั้นเอง...
“ฮะ...ฮัดเช้ย มากันครบแล้วใช่ไหม? ข้าง่วงจะตายอยู่แล้ว พวกเราเตรียมตัวออกเดินทางเถอะ”
ชายหนุ่มผมฟ้าดุจนภาเดินเข้ามา เขาหาวหวอดเป็ว่าเล่นอย่างกับไม่ได้นอนมาทั้งคืน
ชายหนุ่มคนนี้อายุน่าจะไล่เลี่ยยี่สิบ รูปร่างสูงสันทัด หน้าผากมีมงกุฎทองประกายพันรอบ เอวแขวนป้ายหยก กระบี่งามด้ามหยกฝังทองคำ แม้จะกระทำอาการเกียจคร้านเพียงใด กลับมีแต่จะสูงค่าเท่านั้น เขาหล่อเหลาสง่างามไร้ใดเปรียบ
“แนะนำตัวสักหน่อย ข้าคืออาจารย์ตรวจการณ์การทดสอบป่าเปล่าเปลี่ยวครั้งนี้ของพวกเ้า นามว่าัเี น้องหญิงทั้งหลายในกลุ่มเรียกข้าว่าพี่เทียนก็ได้นะ” หนุ่มรุ่นหัวร่อจนตาหยี เห็นฟันขาววับเรียงตัวเป็ระเบียบ ท่าทางดูเป็มิตรยิ่ง
ที่แท้บุรุษผู้ยิ้มหยีเกินพอดีแถมขี้คร้าน ท่าทีเหลาะแหละนี้ คืออาจารย์ตรวจการณ์ของกลุ่มอันดับหนึ่ง
ชั่วขณะนั้น สมาชิกของกลุ่มหนึ่งเป็อันต้องนิ่งอึ้งกันคนละหน่อยในใจ
“ไปเถอะ!”
ัเียกมือขึ้น ดึงธงเหลืองมาม้วนน้อยๆ นำนักเรียนเดินไปยังกระบวนอักขระเคลื่อนย้ายด้านข้าง
ด้วยคำนึงถึงความปลอดภัยของชีวิต การเหาะเหินเดินอากาศภายในนครลู่ิเป็เื่ต้องห้าม ไม่อนุญาตให้ใช้รูปแบบการบินใดๆ ก็ตาม จะเป็คนหรือเครื่องไม้เครื่องมือก็ไม่มีข้อแม้
ดังนั้นศิษย์ทุกคนจึงจำเป็ต้องผ่านกระบวนเคลื่อนย้ายพิเศษเพื่อไปยังนอกเมือง จากนั้นจึงค่อยรุดหน้าสู่พื้นที่ทดสอบ
ครั้นเหยียบย่ำเข้ากระบวนเคลื่อนย้าย สุ้มเสียงก็ดังขึ้น
เ่ิูคนเดิมเพียงรู้สึกเหมือนตราพร่ามัวด้วยแสงจรัส หลายอึดใจผันผ่าน ทุกชีวิตก็ถูกส่งมาร้อยลี้จากสำนัก คือเขตนอกเมืองเรียบร้อยแล้ว
“ฮ่าๆ วันๆ เอาแต่คุดคู้อยู่แต่ในเมือง อึดอัดแทบบ้า ในที่สุดก็มีวาสนาได้ลื่นไหลมาข้างนอกแล้ว...” อาจารย์ตรวจการณ์ัเีสีหน้าตื่นเต้นดีแท้ นั่นยิ่งทำให้เขาดูพึ่งพาไม่ได้เข้าไปใหญ่
“ไป!”
เขายกมือเสกเปลวแสงเงินบริสุทธิ์ส่องทะลุธงสีเหลืองในมือ
พลันการเปลี่ยนแปลงแปลกๆ ก็เริ่มเกิดขึ้น
ธงผืนกว้างขยายขนาดอย่างว่องไว บนก้านธงมีอักขระซับซ้อนวนเป็วัฏจักรเรืองรอง กลายเป็กว้างนับสิบจ้าง เสมือนใบเรือแห่งนาวาเข้าปกคลุมสมาชิกทั้งยี่สิบไว้ หลอมละลายเป็คลื่นแสง นำพาสู่ห้วงลึกแห่งผืนป่า
ไม่นานหลังจากพวกเขาลับหายไป บังเกิดแสงวาบส่งชายคนหนึ่งมายืนอยู่บนผืนดิน
คืออาจารย์วัยกลางคนหน้าตาองอาจ
“โว้ย ไอ้เวรน่าฆ่าให้ตายัเี กล้าขโมยธงตรวจการณ์ของข้า สวมรอยเป็ข้า พาต้นกล้าหัวกะทิของสำนักหนีเรอะ? บรรลัยก่อแต่เื่จริงๆ กลับมาเมื่อไรข้าจะฉีกให้เป็ชิ้นๆ!”
บุรุษกลางคนคำรามโกรธเกรี้ยว ทว่าก็ไม่ได้สามารถทำอะไรได้
พักต่อมา เขาจึงยิ้มขื่นพลางส่ายหน้าระอา “พอดีกว่า ถึงัเีไอ้เด็กเปรตนั่นจะเวรสักขนาดไหน แต่พลังน่ากลัวไร้ที่ติ การจะคุ้มครองเด็กพวกนั้นคงไม่มีปัญหาอะไร...หวังว่าจะไม่ก่อความวุ่นวายอีกนะ!”
ชายเดียวดายส่ายหน้าอีกครั้ง ก่อนกลับไปยังตัวเมือง
....
....
นับแต่บุกเบิกภพไทวะมา ยังกินเวลาไม่ถึงร้อยปี
เปรียบเทียบกับอีกนับพันภพมากมายในโลกนี้แล้ว ภพไทวะอ่อนวัยเกินไป ผนวกกับมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล นำมาสู่ม่านหมอกเหตุการณ์โกลาหลภายใน
หลายปีมานี้มีบุคคลอันตรายลงมือบุกป่าฝ่าดง แพร่กระจายความอลหม่านไปทั่ว ค้นพบดินแดนใหม่ไม่เว้นว่าง แต่ความพยายามเหล่านี้ ก็เป็ได้แค่แคว้นเขตแดนคอยรักษาสถานภาพของภพไทวะไว้ ไกลกันเกินแสนกิโลเมตร!
ใช่แล้ว แว่นแคว้นที่บุกเบิกใหม่นี้ เป็เพียงไม้กันหมา คอยประกันความปลอดภัยเท่านั้น
สำหรับมนุษย์แล้ว รวมตัวกันในนครคือเขตแดนที่ปลอดภัยที่สุด
แต่ถึงจะเป็เช่นนั้น ข่าวคราวโศกนาฏกรรมที่เกิดจากเผ่ามารหรือเผ่าแปลกหน้าโจมตีกลับมีมาให้ได้ยินไม่เลือกเวลา ซากศพและกระดูกกองพะเนินเป็ูเา โลหิตหลั่งนองเป็ทะเล นครศูนย์รวมที่ร่วมแรงร่วมใจสร้างกันมา กลับเหลือเพียงซากปรักหักพัง
นครลู่ิมีผู้คนอาศัยอยู่หลายหมื่นหลังคาเรือน เป็ศูนย์รวมซึ่งใหญ่เป็ที่สุด และยังเป็เมืองการทหารของอาณาจักรเสวี่ยตั้งแดนอยู่ขั้วโลกเหนืออีกด้วย
เพราะการมีอยู่ของลู่ิ สำนักกวางขาวถึงได้เลือกเขตปลอดภัยแน่นอนไว้ทดสอบได้ ค่อนข้างกว้างขวางทีเดียว ภายใต้สภาพที่อาจารย์ตรวจการณ์คอยอยู่เป็เพื่อน พื้นที่ห้าพันลี้ในนี้ ล้วนแล้วแต่เป็ที่ทดสอบได้ทั้งหมด
เหล่าศิษย์ต่อสู้ห้ำหั่นกับสัตว์ป่า สั่งสมประสบการณ์สู้รบจริง ล่าสังหารอสูร กระดูกาฟ้าประทานไว้ให้ได้ พอกลับถึงสำนักเมื่อไรก็เอาไปแลกเปลี่ยนเป็คะแนนได้ทันที
นี่คือเนื้อหาทั้งหมดของการทดสอบสู้ศึกจริง
ฟิ้ว!
ธงสีเหลืองราวลูกธนูดีดตัวจากคันศร แหวกผ่านม่านอากาศ
ลำพลังเจิดจรัสปกคลุมทั่วก้านธง รวมเ่ิูที่อยู่ตรงกลาง ปกปักห่อหุ้มมิให้ถูกต้องแรงลม สามารถนั่งลงได้อย่างนิ่มนวล
และนี่ยังเป็ครั้งแรกที่เ่ิูได้รับรสความรู้สึกยามร่างกายบินว่อนกลางสิ่งที่มองไม่เห็น ทว่าจับต้องได้
เมฆาขาวเป็ปุยรอบด้านส่งเสียงหวิวหวิว ธรณีเบื้องล่างดั่งกระดานหมากรุกซึ่งถูกบ่อนทำลาย รังให้เกิดความรู้สึกสุดยอดเกินพรรณนา และภาคภูมิใจในบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง
“ลูกไก่น้อยๆ ทั้งหลาย ลองมาประชุมกันซิ ว่าข้าจะพาพวกเ้าไปทดสอบที่ไหน?”
อาจารย์กำมะลอยิ้มหยีตามองเหล่าศิษย์อยู่รั้งท้าย
เ้าัเีสติไม่ค่อยเป็ผู้เป็คนนี้ สวมชุดยาวขาว หยัดยืนอยู่ยอดธงนั้น ผมฟ้ายาวดั่งน้ำตกไหลสู่ก้นบึ้งอย่างเสรี ยาวจรดสะโพก เพียงพินิจครั้งแรกก็เห็นความสง่าผ่าเผยที่ไม่อาจจำกัดความเป็คำพูด ทว่าการพูดจาที่เกียจคร้านกับยิ้มหยีนั่น กลับทำลายบรรยากาศทั้งหมดไปจนหมด
ไม่คิดจะรอให้ใครตอบ อาจารย์จอมปลอมก็ว่าต่อ “ในเมื่อทุกคนไม่มีความคิดเห็นอะไร งั้นก็ให้ข้าเลือกแล้วกันนะ วะฮะฮ่าฮ่า...”
ศิษย์ทุกคนมืดมนขึ้นทันที
ไม่คิดจะให้เวลาตอบเลยหรือไร
“เขตทดสอบศึกจริงของปีหนึ่ง แบ่งออกเป็สี่ระดับ หนึ่งสองสามสี่ ระดับสี่ยากน้อยที่สุด ระดับหนึ่งโหดมหาหินที่สุด...ข้าตัดสินใจแล้ว พวกเราไประดับแรกด่านเก้ากันเถอะ ฮ่าๆ ที่นั่นยากบรรลัยเลยล่ะ อัตราเสี่ยงตายก็สูงลิบ เหมาะให้ลูกเจี๊ยบชั้นยอดอย่างพวกเ้าไปอาละวาดที่สุดเลย!”
เขาพูดเองเออเองเสร็จสรรพด้วยความตื่นเต้น
ธงเหลืองก็รู้งานดีเหลือเกิน มันสั่นไหวแล้วพาตรงไปสู่จุดหมายอย่างเร็วรี่ปานฟ้าแลบผสมลมกรด
เขตที่ยากที่สุดใช่ไหม?
เ่ิูเองก็ตื่นเต้นเช่นกัน
นั่นแหละคือที่ๆ เขาอยากไป
สมาชิกคนอื่นก็รู้สึกเหมือนกัน ได้ถูกจัดแบ่งมาเป็หนึ่งในสมาชิกชั้นเอกหมายเลขหนึ่งนี้ทั้งที ล้วนแต่เป็อัจฉริยะเหนือคนอื่นทั้งสิ้น วัยรุ่นที่ความมั่นใจนำมาสู่ความเย่อหยิ่ง ปรารถนาจะไปท้ารบในเขตที่ยากเย็นที่สุดยิ่งนัก
ตัวเลือกของัเี ตอบสนองความ้าของหนุ่มสาวได้โดยธรรมชาติ
กลางกลุ่มคน มีเพียงหลิวเล่ยเท่านั้นที่ขมวดคิ้ว ทว่าก็ไม่ได้เอ่ยอันใด
....
....
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
เขตแนวเนินเขาอุดมด้วยหินประหลาดสูงเรียงเป็ตับ ธงทิวสีเหลืองปักลงพื้นพสุธา
ัเีใช้พลังปราณไกวไป ธงพลันหดเล็กลงจนนอนหมอบอยู่บนมือเขา
อาจารย์กำมะลอหัวเราะ พลางตะเบ็งเสียง “ท้ายสุดก็มาถึงแล้ว ร้อยลี้นับจากตรงนี้ล้วนเป็เขตทดสอบทั้งสิ้น ขอแค่ไม่ริเดินออกไปจากเขต พวกเ้าจะกลิ้งไปกลิ้งมา จะเที่ยวเล่นระรานอะไรก็ได้ตามสะดวก เกิดดวงซวยเจออันตรายตอบโต้ไม่ออกเมื่อไรก็ะโขอความช่วยเหลือซะ...วะฮะฮ่า ผู้าุโเยี่ยงข้าหาโอกาสอิสระเช่นนี้ได้ยากยิ่ง ข้าไปล่ะ!”
สุ้มเสียงเงียบงันลง
อาจารย์ตัวปัญหาราวกับหมาป่าพลัดถิ่น ละลายเป็ลำแสงมุ่งตรงสู่ฟากฟ้า เขาหายลับตาไปอย่างไร้ร่องรอย
ศิษย์มองหน้ากัน
รอบกายสี่ทิศมีเสียงคำรามสัตว์ป่าดังเข้ามา กลิ่นอายป่าเถื่อนดุร้ายที่สัตว์เดรัจฉานเท่านั้นจึงจะมีโจมตีมาทั่วสารทิศ เป็บรรยากาศหน้าสิ่วหน้าขวานที่จะว่ามีก็มี จะว่าไม่มีก็ไม่มี
กลุ่มยุวชนเพิ่งมาถึงนี่ไม่ทันกี่สิบอึดใจดี อันตรายแห่งบ้านป่าเมืองเถื่อนก็แยกเขี้ยวดุร้ายใส่เสียแล้ว