“ฟู่ซินหลางมาหาแฟนเขาน่ะค่ะ ฉันไม่อยากเจอเขาตรงๆ ไม่ใช่กลัวเขาอะไรหรอกนะ แค่ไม่อยากเห็นหน้าเขาให้เสียสายตา”
คังอิงเอ่ยอย่างดูแคลน ในน้ำเสียงไม่มีความอาลัยอาวรณ์เหลืออยู่แม้แต่น้อย
เมื่อสือเจียงหยวนฟังน้ำเสียงของคังอิงพูดถึงฟู่ซินหลาง ในใจพลันรู้สึกสบายใจขึ้นอย่างประหลาด เหมือนกับมีมือเล็กๆ มาลูบไล้ปลอบประโลมความรู้สึกไม่สบายใจของเขา
“งั้นพวกเราก็ไปอีกทางแล้วกัน อ๊ะ พูดถึงฟู่ซินหลางอะไรนั่น ทำไมเขามีสีหน้าร่าเริงขนาดนั้น แถมยังใส่น้ำมันบนผมจนแมลงวันตอมหัวหมดแบบนั้น เดี๋ยวก็ลื่นขาหักตาย เขาจะไปดูตัวหรือไง?” สือเจียงหยวนพูดติดตลก
“ถึงจะไม่ใช่ไปดูตัว แต่ก็ไม่ต่างกันหรอกค่ะ แฟนของเขาทำงานในสหกรณ์ฯ อู๋ฮวนเป็พนักงานพิมพ์ดีดอยู่ที่นั่นน่ะ” คังอิงกล่าวตรงไปตรงมา เธอไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาเมื่อพูดถึงเื่อดีตสามีและผู้หญิงอีกคน
เธอกับฟู่ซินหลาง นอกจากร่างกายนี้จะเป็ของเ้าของร่างเดิมอย่างคังอิงแล้ว ความรู้สึกของเธอไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่น้อย มีเพียงความรังเกียจและความขยะแขยงตามสัญชาตญาณ ดังนั้นเมื่อพูดถึงเื่ของฟู่ซินหลาง ก็เหมือนกับว่ากำลังพูดถึงเื่ของคนอื่น ไม่มีความรู้สึกผสมอยู่เลยสักนิด แถมยังมีการประเมินสถานการณ์อย่างเป็กลาง และมองเื่นี้อย่างคนนอก
“อ้าว แล้วมันยังไงกันล่ะ? คุณเล่าให้ผมฟังหน่อยสิ ถือซะว่าเป็การระบายก็แล้วกัน!” สือเจียงหยวนพูดด้วยน้ำเสียงติดตลกอีกครั้ง
คังอิงไม่รู้สึกกดดันเลยสักนิดเมื่ออยู่ต่อหน้าสือเจียงหยวน เพราะเขาเป็ผู้ชายคนเดียวที่รู้เื่ราวการหย่าร้างของเธอ และยังเป็คนที่เข้าอกเข้าใจคนอื่นมาก ก่อนหน้าเขาเคยพูดอวยพรเธอเื่การหย่าร้าง ดังนั้นคังอิงจึงเล่าเื่ราวของฟู่ซินหลางกับอู๋ฮวนให้เขาฟังอย่างช้าๆ
“ผมเข้าใจแล้ว อู๋ฮวนเป็แฟนของฟู่ซินหลางตอนที่เรียนอยู่ม.ปลาย แต่ต่อมาฟู่ซินหลางสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ติด แล้วพ่อแม่ของอู๋ฮวนที่รู้ว่าทั้งสองคนคบกันอยู่เลยไม่เห็นด้วย พวกเขาจึงตัดขาดไม่ให้ฟู่ซินหลางคบกับอู๋ฮวน และตอนนี้อู๋ฮวนก็ทำงานเป็ลูกจ้างชั่วคราวที่ร้านสหกรณ์ใช่มั้ยล่ะ?” สือเจียงหยวนสรุป
“ใช่ค่ะ แม้ว่าจะเป็ลูกจ้างชั่วคราว แต่คนทั่วไปก็เข้าทำงานที่ร้านสหกรณ์ที่เป็ที่นิยมแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ เพราะแบบนี้พ่อแม่ของอู๋ฮวนถึงได้ดูแคลนฟู่ซินหลาง มันก็ถือว่าเป็เื่ปกติ
แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว ฟู่ซินหลางสอบเข้าวิทยาลัยได้ แม้จะเป็แค่ระดับอนุปริญญา แต่พอเรียนจบแล้ว ยังไงก็ได้รับการจัดสรรงานให้ แถมยังกลายเป็ข้าราชการของรัฐอีก พูดแบบนี้ก็คือหากอู๋ฮวนไม่ได้บรรจุเป็พนักงานประจำล่ะก็ เธอต่างหากที่จะไม่เหมาะสมกับฟู่ซินหลางเสียเอง” คังอิงกล่าวด้วยรอยยิ้มราวกับว่ากำลังเล่าเื่ราวของคนอื่น
ในยุคปัจจุบัน ผู้คนต่างให้ความสำคัญกับการมีงานทำที่มั่นคง อย่าว่าแต่ยุค 90 เลย จนกระทั่งเข้าศตวรรษที่ 21 แล้ว ข้าราชการก็ยังคงเป็อาชีพที่ดีที่สุดที่เหล่านักศึกษาจบใหม่ต่างพากันไขว่คว้า
ทุกครั้งที่มีการประกาศรับสมัครข้าราชการหนึ่งตำแหน่ง จะมีผู้คนเข้าร่วมแข่งขันหลายร้อยหรือหลายพันคนพร้อมๆ กัน การแข่งขันที่ดุเดือดนั้นโหดร้ายยิ่งกว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสียอีก
พอสอบบรรจุเป็ข้าราชการได้แล้วก็เหมือนกับการได้รับชามข้าวเหล็ก [1] ไม่ต้องกังวลอะไรอีกต่อไป ในสายตาของผู้คนทั่วไป ‘การมีงานทำ’ คือแบบนี้แหละ ไม่เช่นนั้นไม่ว่าจะเป็ลูกจ้างชั่วคราวหรือพนักงานบริษัทก็ตาม พวกเขาล้วนแล้วแต่ไม่เรียกว่า ‘มีงานทำ’
“เพราะแบบนี้ หากอู๋ฮวนไม่สามารถบรรจุเป็พนักงานประจำได้ แล้วฟู่ซินหลางมาตามจีบอู๋ฮวนอย่างจริงจังแบบนี้ บวกกับความร่วมมือจากตัวอู๋ฮวนด้วย ก็มีโอกาสสูงมากที่พ่อแม่ของอู๋ฮวนจะยอมรับการแต่งงานครั้งนี้!”
คังอิงกล่าวโดยไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ผสมอยู่
อันที่จริง เธอเพียงแค่รู้สึกเสียดายแทนเ้าของร่างเดิมที่ต้องแต่งงานกับผู้ชายไร้ความซื่อสัตย์เช่นนี้ แถมยังเสียเวลาไปถึงสามปี
“ฮ่าๆ ฟังดูแล้ว คุณคงไม่อยากให้ฟู่ซินหลางแต่งงานกับคนสวยสินะ?” จู่ๆ สือเจียงหยวนก็ถามขึ้นมา
“เขาจะชอบจะแต่งงานกับใคร มันก็ไม่เกี่ยวกับฉัน ตอนนี้ฉันหย่ากับเขาแล้ว ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก แต่เขาเป็คนน่ารังเกียจจริงๆ ตอนที่แต่งงานกับฉัน ก็เพราะว่าอยากหลอกใช้ฉันให้เป็วัวเป็ม้า คอยดูแลแม่ที่ป่วยของเขา พอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เขาก็เปลี่ยนไปเป็เฉินซื่อเหม่ยทันที ส่วนอู๋ฮวนก็ไร้ยางอาย พอเห็นว่าฐานะและสถานะทางสังคมของฟู่ซินหลางเปลี่ยนไป ก็รีบเข้ามายุ่งวุ่นวาย คนสองคนนี้ไม่ใช่คนดีสักคน หากพวกเขาสมหวังกันจริงๆ คงเพราะ์ไร้เนตร โลกนี้ไม่ยุติธรรมเสียเลย!”
คังอิงกำลังพูดแทนเ้าของร่างเดิม เธอคิดว่าคนเลวสองคนนี้พอมาอยู่ด้วยกัน ฝ่ายชายก็มีงานที่มั่นคง ส่วนฝ่ายหญิงก็ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากพ่อแม่ ชีวิตของคนทั้งสองคงจะราบรื่น พอคิดว่าคังอิงเ้าของร่างเดิมต้องกลายเป็บันไดให้กับคนสองคนนี้ เธอก็โกรธจนพูดไม่ออก ได้แต่กัดฟันกรอด “อันที่จริงคนอย่างฟู่ซินหลาง ควรจะได้แต่งงานกับไป๋เหลียนฮวาที่อยู่ข้างล่างบ้านเขา”
“อ้อ แล้วไป๋เหลียนฮวานั่นใครล่ะ?” สือเจียงหยวนถามอย่างไม่ใส่ใจ
“ไป๋เหลียนฮวาน่ะเหรอ? ก็ลูกสาวของคนขายหมูที่อยู่ข้างล่างบ้านเขาไง ตอนนี้เธออายุยี่สิบแปดแล้ว ตัวใหญ่ แถมยังมีพละกำลังมหาศาลอีกด้วย ตอนอายุสิบขวบเธอก็ช่วยพ่อของเธอดูแลแผงขายหมูแล้ว เธอเป็คนอารมณ์ร้ายมาก ครั้งหนึ่งมีลูกค้าพูดว่า เนื้อหมูที่เธอนำมาขายน่ะยัดไส้น้ำ เธอก็เลยคว้ามีดไล่ฟันลูกค้าคนนั้นไปครึ่งค่อนถนน ลูกค้าคนนั้นใมาก จนร้องเรียกหาพ่อแม่ แล้วก็ไม่กล้าพูดถึงเื่ไม่ดีของเนื้อหมูในร้านเธออีกเลย”
“ฮ่าๆ น่าสนใจดีนะ แต่ว่า ต่อให้ฟู่ซินหลางอยากแต่งงานกับเธอ เขาก็ต้องดูด้วยว่าไป๋เหลียนฮวายินยอมจะแต่งงานด้วยหรือเปล่า?”
“น่าจะยินยอมมั้งคะ ทุกครั้งที่ฟู่ซินหลางไปซื้อเนื้อหมู ไป๋เหลียนฮวาจะหั่นเนื้อหมูชิ้นใหญ่ๆ เพิ่มให้อีกชิ้น ได้ยินว่าตอนที่ฟู่ซินหลางสอบเข้ามหาวิทยาลัยครั้งแรกไม่ติด บ้านตระกูลไป๋ก็เชิญแม่สื่อมาดูตัวฟู่ซินหลางถึงบ้าน แต่ฟู่ซินหลางกลับรังเกียจที่ครอบครัวของอีกฝ่ายขายหมู เขาว่าครอบครัวของผู้หญิงคนนั้นไม่มีหน้ามีตา ก็เลยไม่สำเร็จ”
คังอิงลองค้นหาความทรงจำของเ้าของร่างเดิม พบว่ามีเื่ราวเช่นนี้เกิดขึ้นจริงๆ ในเมื่อสืบหาเื่ราวต่างๆ มาได้ เธอก็เลยเล่ามันออกมา
สือเจียงหยวนหัวเราะอย่างมีความสุข ขณะเดียวกันเขาก็สืบรู้ว่า พ่อของอู๋ฮวนเป็ผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาของอำเภอหลี่ว์ ส่วนแม่ของเธอก็เป็พยาบาลหัวหน้าแผนกกุมารเวชกรรมของโรงพยาบาลประชาชนของอำเภอหลี่ว์
ฐานะทางสังคมของคนทั้งสองถือว่าค่อนข้างดีมากในอำเภอเล็กๆ นี้ อู๋ฮวนเป็ลูกสาวคนเดียว อีกทั้งยังมีฐานะทางบ้านที่ดีเช่นนี้ เธออยากแต่งงานกับใครก็ได้ ทำไมต้องมาคบกับฟู่ซินหลางด้วย? นี่เป็เพราะว่าเธอถูกตามใจจนเสียนิสัยหรือ
สือเจียงหยวนเริ่มมีความคิด…
***
ผ่านไปสองสามวัน อู๋ต๋าซาน ผู้เป็ผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษากลับถึงบ้านก็พูดกับ ฟางลี่เจิน ภรรยาที่กำลังวุ่นอยู่กับการทำอาหารในครัว “พ่อมีข่าวดีจะบอกพวกเธอสองคนแม่ลูก!”
“ข่าวดีอะไรหรือคะ?” ฟางลี่เจินตักผักบุ้งที่อยู่ในกระทะใส่จานพลางเอ่ยถาม
“ฮวนฮวนกลับมาหรือยัง?” อู๋ต๋าซานแกล้งทำเป็กั๊กข้อมูล
“รีบบอกมาสิว่าข่าวดีอะไร ถ้าไม่ใช่เื่ที่เกี่ยวกับฮวนฮวนล่ะก็นะ?” ฟางลี่เจินเอ่ยถาม
เมื่อได้ยินพ่อของเธอเอ่ยถึง อู๋ฮวนก็รีบออกมาจากห้องนอนแล้วถามขึ้น “พ่อคะ มีเื่ดีๆ อะไรหรือคะ?”
“ก็เื่เกี่ยวกับลูกน่ะสิ พ่อได้ยินมาว่า่นี้ทางเมืองกำลังพิจารณาเื่การบรรจุลูกจ้างชั่วคราวให้เป็พนักงานประจำอยู่
ลูกก็เป็พนักงานชั่วคราวมาสามปีแล้ว คราวนี้พ่อจะต้องช่วยลูกให้ได้ พอลูกได้บรรจุเป็พนักงานประจำ ก็จะกลายเป็ข้าราชการอย่างเป็ทางการแล้วไง!” อู๋ต๋าซานกล่าวอย่างตื่นเต้นดีใจ
พอได้ยินข่าวนี้ อู๋ฮวนก็ยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมาเช่นกัน “เยี่ยมไปเลย ต่อไปนี้หนูก็จะได้อยู่ระดับเดียวกันกับคนในหน่วยงานแล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็เอาแต่เห็นว่าหนูเป็แค่ลูกจ้างชั่วคราว ภายนอกทำดีกับหนูก็จริง แต่ว่าอันที่จริงพวกเขาก็แค่ให้เกียรติพ่อต่างหาก แต่หนูรู้นะว่าลับหลังพวกเขาต่างก็ดูถูกหนู คิดว่าหนูต่ำกว่าพวกเขา พ่อรู้ไหมคะว่า ครั้งก่อนที่หน่วยงานแจกน้ำผึ้งเพื่อป้องกันลมแดดและคลายร้อน พวกพนักงานประจำได้คนละขวด แต่หนูกลับได้แค่ครึ่งขวด คนเราพอเทียบกันแล้วช่างน่าโมโหจริงๆ!”
เชิงอรรถ
[1] ชามข้าวเหล็ก ในที่นี้หมายถึง มีอาชีพที่มั่นคง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้