หลังจากลู่เต้าเก็บของที่จำเป็ใส่ย่ามครบแล้ว ก็กลับมาที่ทางเข้าห้องลับอีกครั้ง ม่านน้ำตกที่เชี่ยวกรากไหลสาดซัดและส่งเสียงดังสนั่นไม่หยุด
เขาสะพายย่ามเตรียมลงน้ำ ไป๋เสียก็ร้องห้ามเขาไว้ “เ้าจะทำอะไร”
“ก็ว่ายน้ำออกไปอย่างไรเล่า!” ลู่เต้าตอบโดยยังคงท่าเตรียมะโน้ำ “มิเช่นนั้นเล่า”
ไป๋เสียส่ายหน้าถอนใจ “ตอนที่เ้าเพิ่งทะลวงจุดชีพจรก่อนหน้านี้ ข้าไม่ถือสาเ้า แต่บัดนี้เ้าก็เป็ผู้ฝึกตนอย่างเต็มตัวแล้ว จะเข้าจะออกยังต้องเนื้อตัวเปียกโชกอีกหรือ ไม่รู้สึกขายหน้ารึไง”
ลู่เต้ารู้สึกว่าช่างไร้สาระและน่าขัน “ที่นี่ไม่มีคนอื่น ใส่ใจเื่ไร้สาระเช่นนี้ไปไย”
สิ้นคำก็มีของแข็งพุ่งเข้ากระแทกท้ายทอยเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว เขารีบเอามือกุมหัวร้องเสียงดัง “โอ๊ย! เ้าเอาอะไรปาข้าเนี่ย!”
ไป๋เสียโยนลูกหินในมือลอยอยู่กลางอากาศพร้อมมองลู่เต้าลงมา “ไม่ กระทำสิ่งใดคนเราต้องใส่ใจทุกเื่! ออกไปจากที่นี่โดยไม่เปียกน้ำให้ข้าดู!”
ลู่เต้าเบิกตากว้างมองไปที่น้ำตกที่มีเพียงช่องว่างกว้างสองนิ้วซ้ายขวาเท่านั้น และแค่ก้าวเท้าออกไปก็เป็บ่อน้ำแล้ว คิดออกไปโดยไม่เปียกน้ำช่างเป็เื่เพ้อฝัน!
ไป๋เสียส่ายหน้าปฏิเสธทันที “แค่ใช้วิธีการที่เหมาะสมก็ทำได้ จำการต่อสู้ครั้งแรกของเ้าได้หรือไม่”
ไป๋เสียรู้ดีว่าลู่เต้าเป็คนมีพร์ เพียงแต่ต้องมีคนคอยดึงศักยภาพในตัวเขาออกมาเท่านั้น เช่นนั้นเขาจึงอดทนค่อยๆ ชี้แนะลู่เต้า
เขารู้ดีกว่าใครๆ ว่าการปูพื้นฐานสำคัญเหนือกว่าสิ่งอื่นใด แม้จะเป็เคล็ดวิชาที่ทรงพลังเพียงไหน หากปราศจากรากฐานที่แข็งแกร่งก็มิอาจแสดงพลังทั้งหมดออกมาได้
“อสุรกายพระโพธิสัตว์หรือ” ลู่เต้าพยักหน้า “ถึงอยากลืมแต่ก็ยากนัก”
คอยาว ฟันแหลมคม กรงเล็บ รวมถึงแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวยังคงปรากฏในฝันของลู่เต้าอยู่เป็ระยะ โดยเฉพาะลมหายใจพิษที่กัดกร่อนที่ยากจะลืมเลือน
ไป๋เสียค่อยๆ ร่อนลงมาตรงหน้าลู่เต้า “เช่นนั้น เ้ารอดชีวิตจากพิษร้ายออกมาได้เยี่ยงไร”
“ก็แค่ใช้พลังิญญาห่อหุ้มร่างกาย กั้นพิษร้ายเอาไว้...” ยิ่งพูดไป ลู่เต้าก็ยิ่งเข้าใจความหมายของไป๋เสีย
“โอ้! ที่แท้ก็เป็เช่นนี้!” เขาหลับตาลงทันที ร่างกายถูกแสงสีเขียวจางๆ ห่อหุ้มไว้
“ฟืด...” เขาสูดหายใจเข้าลึก ให้อากาศบริสุทธิ์ไหลผ่านปอด
จากนั้นลู่เต้าก็ก้าวเท้าลงไปในแม่น้ำ แต่พอก้าวลงไปในน้ำได้ไม่กี่ก้าว เขาก็ลนลานรีบคลานกลับขึ้นฝั่ง หายใจกระหืดกระหอบ สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือร่างกายของเขายังคงแห้งอยู่ หาได้เปียกน้ำแต่อย่างใดไม่
“แฮกๆ ทนไม่ไหวแล้ว! เหนื่อยจะแย่!” ลู่เต้าคร่ำครวญ
ไป๋เสียหรี่ตามองลู่เต้าอย่างไม่พอใจ “เ้าหนู บุรุษทนได้แค่นี้ ไม่ใช่แค่เื่ใส่ใจหรือไม่ใส่ใจแล้ว”
การรักษาพลังิญญาให้คงอยู่ภายนอกร่างกายเป็เื่ที่ต้องใช้พลังมาก ผู้ฝึกตนต้องคอยควบคุมพลังิญญาและมีความอดทนอย่างมาก
โดยทั่วไปแล้วการฝึกฝน ‘เคล็ดวิชาวารี’ เช่นนี้ เป็บทเรียนสำหรับผู้ฝึกตนระดับสองดารา เร็วเกินไปที่จะใช้ฝึกฝนลู่เต้า มิต่างอะไรจากการให้เด็กสามขวบจับพู่กันเขียนบทกวี
ทว่าที่ไป๋เสียจงใจให้ลู่เต้าฝึกฝนข้ามขั้น ก็เพราะอยากรู้ว่าหากไม่ได้รู้ตัว ลู่เต้าจะทำได้มากแค่ไหน
สำหรับผลลัพธ์เช่นนี้ ไป๋เสียไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลย ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ลู่เต้าไม่เปียกน้ำจริงๆ
ไป๋เสียไม่ลังเลที่จะดีดก้อนหินในมือใส่ลู่เต้า
“โอ๊ย!” ท้ายทอยที่น่าสงสารของเขาถูกก้อนหินดีดใส่ถึงสองครั้งติดๆ
“ทำต่อ”
“แต่...” ยังไม่ทันที่ลู่เต้าจะพูดจบ คราวนี้กลับเป็หน้าผากที่ถูกก้อนหินกระแทกอย่างแรงแทน
“ทำต่อ” ไป๋เสียไม่สนใจ
ลู่เต้าทำได้เพียงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วะโลงไปในน้ำอีกครั้ง ครั้งนี้ใช้เวลานานกว่าเดิม แต่เมื่อขึ้นมาเขาก็รีบสูดหายใจ แต่อาจเป็เพราะจิตใจไม่จดจ่อ กางเกงของลู่เต้าจึงยังเปียกน้ำ
ไป๋เสียที่เห็นอย่างรวดเร็วก็สั่งให้ลู่เต้าลุกนั่งหนึ่งร้อยครั้ง หลังจากทำเสร็จ แขนของเขาก็สั่นระริก และไป๋เสียก็บังคับให้เขาะโลงไปในน้ำอีกครั้ง
ยังไม่ทันได้พักหายใจก็ต้องะโลงน้ำอีก ครั้งนี้ลู่เต้าเปียกโชกไปทั้งตัว จึงถูกไป๋เสียลงโทษให้ลุกนั่งอีกหนึ่งร้อยครั้ง จากนั้นก็ใช้พลังิญญาทำให้เสื้อผ้าแห้งแล้วโยนลงน้ำไปอีกหน
ถ้าคนอื่นเห็นภาพที่น่าอนาถเช่นนี้ คงคิดว่ากำลังถูกทรมานอย่างหนักหน่วง
ในที่สุด ลู่เต้าก็ทะลุขีดจำกัดในครั้งที่สี่
ไป๋เสียเห็นว่าลู่เต้าอยู่ในน้ำได้นานกว่าทุกครั้ง ขณะที่กำลังครุ่นคิดว่าจะชมเขาดีหรือไม่ ลู่เต้าก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมาราวกับปลาหงายท้อง
“แย่แล้ว!” ไป๋เสียรีบดึงลู่เต้าขึ้นมา
ลู่เต้าเหมือนเห็นบุรุษที่ดีดพิณอีกครั้งในภวังค์ แต่ครั้งนี้ภาพกลับหายไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเขาฟื้นขึ้นมา เขาก็อยู่ที่ด้านนอกน้ำตกแล้ว อีกทั้งเสื้อผ้าบนตัวเขาก็แห้งสนิท
ถึงแม้ว่าลู่เต้าจะยังทำไม่สำเร็จ แต่จุดประสงค์แรกเริ่มของไป๋เสียคือการดูศักยภาพของเขา การที่ลู่เต้าทำได้ขนาดนี้ก็เกินความคาดหมายแล้ว
“ทำได้ไม่เลว” หลังจากชมลู่เต้า ไป๋เสียก็โยนน้ำเต้าที่บรรจุอาหารฟื้นฟูพลังิญญาให้เขา
เนื่องจากรวงผึ้งดาราที่ได้ผลที่สุดถูกใช้ไปเกลี้ยงแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ในมือจึงฟื้นฟูพลังิญญาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้อิ่มท้องแม้แต่น้อย! ลู่เต้าที่หิวโซจึงไม่ฟังคำสั่งของไป๋เสียอีกต่อไป ได้แต่เดินตุปัดตุเป๋ไปทางป่าราวกับิญญาเร่ร่อน
“เฮ้! เ้าหนู เ้าจะไปไหน” ไป๋เสียกลับเข้าไปในร่างของลู่เต้า พยายามหยุดเขาแต่ก็ไร้ผล “แย่แล้ว ใช้พลังิญญามากเกินไป ควบคุมร่างกายเ้าหนูนี่ไม่ได้แล้ว!”
ในตอนนั้นเองจู้หลงกับจางเฟิงก็มาถึงพอดี จู้หลงมองลู่เต้าที่เดินโซเซพลางถามว่า “โอ้? เ้าหนูนี่คือคนที่มีศัสตราวุธิญญาหรือ”
จางเฟิงพยักหน้ายืนยัน แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ “แปลก เ้าหนูนี่เอาเสื้อผ้ามาจากไหน แล้วยังมีย่ามเพิ่มมาอีกใบด้วย”
“มันต้องมีความลับไม่น้อยแน่” จู้หลงแสยะยิ้มเ้าเล่ห์ “ข้าอยากเห็นตอนที่จัดการมันได้นัก”
“จะลงมือเลยหรือไม่” จางเฟิงยังคงครุ่นคิดเกี่ยวกับทักษะไม้สะกดมารของลู่เต้า และรอให้จู้หลงเข้าไปปะทะกับลู่เต้าเพื่อ่ชิงไม้นั่นอย่างอดใจไม่อยู่
จู้หลงคิดในใจ ‘เ้านี่คงอยากให้ข้าสู้กับเ้าหนูนั่นจนาเ็สาหัสกันทั้งคู่ แล้วค่อยฉวยโอกาสชิงมันไป’
จู้หลงผู้ไม่ยอมเสียผลประโยชน์แม้แต่น้อยนิดเหลือบมองจางเฟิงแวบหนึ่ง “รีบร้อนไปไย ข้ายังไม่เห็นของที่ว่านั่นเลย รอดูให้แน่ใจก่อนแล้วค่อยลงมือไม่ได้หรือ”
“น้อมเชื่อฟังท่านพี่จู้หลง” จางเฟิงกล่าวอย่างนอบน้อม
จู้หลงพึงพอใจ แหวกต้นหญ้าเบื้องหน้าซุ่มมองลู่เต้าอย่างลับๆ
***
เชิงเขาอีกด้านหนึ่ง มีภัตตาคารสกุลเกาตั้งอยู่ ่ไม่กี่วันมานี้มีข่าวลือหนาหูไปทั่วเมือง
เื่มันมาจากนายพรานบางส่วน บนเขามีร่องรอยของสัตว์ิญญา ตอนที่นายพรานขึ้นเขาไปล่าสัตว์ก็ถูกบางอย่างโจมตีอยู่หลายคน ซึ่งมันรวดเร็วมากเสียจนมองไม่ทัน
มนุษย์มักเป็เช่นนี้ เมื่อพบเจอเื่ที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจ ก็มักจะพูดเกินจริง และโหมกระพือให้มันน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ นายพรานคนหนึ่งที่รอดมาอย่างหวุดหวิด ถึงแม้จะยังไม่ทันเห็นโฉมหน้าที่แท้จริง ทิ้งไว้เพียงาแ...รอยกรงเล็บ ก็กลับไปเล่าให้ทุกคนฟังว่าสัตว์ิญญานั้นที่มีร่างกายใหญ่โตดำมืด และที่กรงเล็บคมกริบนั้นน่าหวั่นผวาเพียงใด
ไม่นาน ข่าวเื่สัตว์ิญญาปรากฏบนเขาก็ไปถึงหูของภัตตาคารสกุลเกา ภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ซึ่งเคยเป็ที่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมือง เพราะเคยมีพ่อครัวิญญาระดับสูง
สถานะพ่อครัวิญญานั้นได้รับการเคารพนับถือจากผู้คนนับหมื่น ด้วยสาเหตุที่ว่าวัตถุดิบที่ทำให้ตื่นรู้ขึ้นมาได้นั้นรสชาติย่ำแย่ แต่แค่ผ่านมือของพวกเขาก็กลายเป็อาหารรสเลิศได้
วัตถุดิบทั่วไปหากผ่านการปรุงอย่างพิถีพิถันจากพ่อครัวิญญา จะสามารถคงพลังิญญาในอาหารไว้ได้มากที่สุด และยังทำให้ผู้ที่กินเข้าไปดูดซับพลังิญญาได้ง่ายอีกด้วย นอกจากจะมอบความรสชาติอันโอชะแล้ว ยังเพิ่มโอกาสเรียนรู้เคล็ดวิชาได้อีกด้วย
เนื่องจากพ่อครัวิญญามีความสามารถเปลี่ยนสิ่งไร้ค่าให้กลายเป็สิ่งมหัศจรรย์ ดังนั้นจึงเป็ที่้าตัวจากผู้แข็งแกร่งและสำนักต่างๆ ในยุทธภพ เพื่อเป็กำลังสำคัญบนเส้นทางการฝึกตน
จึงเป็ธรรมดาที่ภัตตาคารสกุลเกาซึ่งมีพ่อครัวิญญาระดับสูงส่งจะมีผู้ทะลวงจุดชีพจรหลั่งไหลเข้ามา เพื่อหวังจะปลุกพลังิญญา แน่นอนว่ายังมีนักชิมผู้เดินทางมาจากแดนไกลเพื่อลิ้มลองอาหารรสเลิศอีกด้วย
สิ่งนี้ทำให้ภัตตาคารสกุลเกาเคยรุ่งเรืองอยู่พักหนึ่ง แต่ต่อมาก็มีลูกค้าลดน้อยลง ภัตตาคารสกุลเกาที่เคยคึกคัก บัดนี้กลับเงียบเหงา จากที่เคยมีคนทะเลาะเพื่อแย่งชิงเนื้อเพียงชิ้นเดียว บัดนี้แม้แต่จะให้ทานโดยไม่คิดเงิน ไร้แม้แต่เงาของผู้คน
ภายในร้านที่เงียบเหงา เสี่ยวเอ้อเช็ดโต๊ะไม้เอื่อยๆ ส่วนเถ้าแก่นั่งมือเท้าคาง ส่วนมืออีกข้างดีดลูกคิดอย่างเบื่อหน่าย
สาเหตุความตกต่ำของภัตตาคารสกุลเกามีอยู่สองประการ ประการแรกคือ พ่อครัวิญญาถูกแย่งชิงตัวไป ประการที่สองคือ คุณชายใหญ่สกุลเกา เกาฮ่าว อายุสิบหกปี ถึงแม้จะทะลวงจุดชีพจรได้แล้ว แต่ก็ยังปลุกพลังิญญาไม่ได้
นี่เป็การทุบป้ายของตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อทุกคนเห็นว่าแม้แต่คนของสกุลเกากินอาหารของตัวเองแล้วยังปลุกพลังิญญาไม่ได้ แล้วพวกเขาที่เป็แค่ลูกค้าจะไปเหลืออะไร ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากพ่อครัวิญญาคนก่อนจากไป พ่อครัวิญญาคนใหม่ที่หาได้ก็เป็เพียงระดับสามัญชน รสชาติก็อ่อนด้อยกว่าก่อน จึงไม่มีเหตุผลให้ทุกคนไปที่ภัตตาคารสกุลเกาอีกต่อไป
เมื่อเห็นว่าภัตตาคารสกุลเกาค่อยๆ ตกต่ำลง และเกาฮ่าวได้ยินว่ามีสัตว์ิญญาปรากฏบนเขา ก็รีบนำคนขึ้นเขาไปทันที เพื่อจับสัตว์ิญญามาใช้ปลุกพลังิญญาของตนเอง และฟื้นฟูความรุ่งเรืองในอดีต
เกาฮ่าวนั่งลับกระบี่อยู่ตรงที่พักแรม ภาพที่ถูกคนอื่นเยาะเย้ยปรากฏขึ้นในหัวซ้ำไปซ้ำมา โดยเฉพาะภาพที่ถูกผู้ฝึกตนวัยเดียวกันชี้หน้าหัวเราะเยาะ!
เขาชูกระบี่ที่ลับจนคมกริบขึ้น ใบมีดที่บางเฉียบราวกับปีกจักจั่นสะท้อนความเย็นะเืภายใต้แสงอาทิตย์ส่อง
“เพียงแค่ข้าปลุกพลังิญญาได้ ก็จะไม่มีใครกล้ามดูถูกสกุลเกาของเราอีก!” เกาฮ่าวพูดด้วยความแน่วแน่
กระบี่ถูกเก็บเข้าฝักดังชิ้ง เขาหันหลังกลับไปมองเหล่าศิษย์สกุลเกาที่รอคอยอยู่ ทุกคนต่างมีจิตใจฮึกเหิม อยากจะพลิกเขาทั้งลูกเพื่อกู้หน้าที่เสียไปนานกลับคืนมา
เกาฮ่าวที่พอใจเป็อย่างยิ่งะโเสียงดังฟังชัด “ออกเดินทาง!”
“ช้าก่อน!” เสียงหวานใสดังขึ้นขัดจังหวะเขา ทำให้เกาฮ่าวขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
