อะไรที่เรียกว่าความก้าวหน้าในการเรียนรู้ช้ากันฮะ?
เธอรู้สึกว่าตนเองเรียนรู้ได้ไวมากเลยต่างหาก! เธอเรียนรู้คำศัพท์เกือบสองร้อยคำในหนึ่งสัปดาห์เลยนะ! แถมเธอยังมีเวลาแค่นิดหน่อยใน่กลางคืนด้วยซ้ำ! คนอื่นต่างก็ชื่นชมว่าเธอเก่งมาก ฉลาดมากกันทั้งนั้น?!
ซย่านีที่อารมณ์ดีมากอยู่ก่อนแล้ว พลันถูกทำให้เสียอารมณ์ด้วยคำพูดประโยคเดียวของซ่งหานเจียง เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ของตน เธอกลัวว่าหากเธอพูดอะไรออกไปตอนนี้ตัวเองจะหลุดปากโต้ตอบซ่งหานเจียงเอาได้
อย่างไรพวกเราก็จะหย่ากันอยู่แล้ว และเธอไม่ได้ฉลาดเหมือนเขานี่
“พนักงาน! ทำไมอาหารยังไม่มาอีก ฉันรอมาสักพักแล้วนะ” ซย่านีหันไปทางห้องครัวแล้วร้องะโเรียกพนักงาน
ตอนเย็นมีคนจำนวนมากมาที่ร้านอาหารเล็กๆ แห่งนี้ อาหารจึงได้ช้าลงแต่หลังจากที่ซย่านีเร่งไปหนึ่งที อาหารก็มาส่งที่โต๊ะอย่างรวดเร็ว
จานแรกเป็ปีกไก่เปรี้ยวหวานที่ซ่งตงซวี่ตั้งใจสั่งมาเป็พิเศษ ส่วนจานที่สองคือเต้าหู้ผัดเสฉวนที่ซย่านีสั่งมา และยังมีกะหล่ำปลีผัดน้ำปลาอีกหนึ่งจาน อาหารทั้งสามอย่างมีครบทุกรสชาติ ทั้งเปรี้ยว หวาน เค็มและเผ็ด นอกจากนี้ยังมีเนื้อสัตว์และผักอยู่ด้วย ในยุคนี้ถือว่าเป็มื้ออาหารที่อลังการมาก
ซย่านีถือตะเกียบนิ่ง ซิงซิงอายุได้หกเดือนแล้วจึงสามารถให้อาหารเสริมกับเขาได้ ดังนั้นเธอจึงสั่งโจ๊กข้าวฟ่างมาให้เด็กน้อยเป็พิเศษ
ซย่านีตักน้ำข้าว้าด้วยช้อนเล็กๆ หลังจากเป่าให้เย็นลงแล้ว เธอก็ป้อนน้ำข้าวนั้นเข้าปากซิงซิง เด็กน้อยดูอยากอาหารดีมาก เขากินโจ๊กข้าวฟ่างอย่างเอร็ดอร่อยเลยทีเดียว
“เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ หยางหยาง เหลือปีกไก่ไว้ให้แม่ของพวกลูกด้วยนะ” ซ่งหานเจียงเห็นเด็กทั้งสองกินกันอย่างตะกละตะกลาม เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือนเด็กๆ
ซย่านียังคงป้อนน้ำโจ๊กข้าวฟ่างให้ลูกคนเล็กต่อไปพลางกล่าวว่า “ฉันไม่กินหรอกให้พวกเด็กๆ กินกันเถอะ”
แต่ซ่งวั่งซูกับซ่งตงซวี่นั้นเชื่อฟังคำบุพการีมาก เมื่อครู่เด็กทั้งสองคนหิวมากจริงๆ ครั้นถูกซ่งหานเจียงเอ่ยเตือนถึงได้ค่อยสังเกตเห็นว่าซย่านียังคงป้อนอาหารให้น้องชายคนเล็กของพวกเขาอยู่เลย
ซ่งวั่งซูชักมือที่กำลังยื่นตะเกียบไปคีบไก่เปรี้ยวหวานกลับมา แล้วกล่าวว่า “แม่คะ หนูใกล้จะอิ่มแล้ว หนูแบ่งปีกไก่นี้ไว้ให้แม่กินนะคะ”
ซ่งตงซวี่เองก็กล่าวเช่นกัน “แม่ ผมเองก็อิ่มแล้ว”
ซ่งหานเจียงเอื้อมมือไปรับตัวลูกชายคนเล็กจากซย่านี เขากล่าวว่า “ผมป้อนซิงซิงเอง คุณรีบกินข้าวก่อนเถอะ ถ้ายังไม่รีบกินเดี๋ยวอาหารจะเย็นซะก่อน”
ซย่านีไม่ค่อยไว้ใจเขาเท่าไหร่ เธอจึงกอดซิงซิงไว้แล้วเบี่ยงตัวหลบจากซ่งหานเจียงจากนั้นก็กล่าวว่า “เอาน่า คุณไม่เคยป้อนอาหารเด็กเลยด้วยซ้ำให้ฉันทำเองดีกว่า เดี๋ยวฉันก็ป้อนเขาเสร็จแล้ว”
ไม่ใช่ว่าเธอดูถูกซ่งหานเจียงนะ ผู้ชายคนนี้ฉลาดและเรียนเก่งมากแต่เขาใช้ชีวิตได้สับสนมึนงงจริงๆ ตอนที่ซ่งวั่งซูยังเด็กเขาก็เสนอตัวจะช่วยเธอป้อนอาหารให้ลูกน้อยแต่คนผู้นี้ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ เขาป้อนโจ๊กข้าวฟ่างให้ลูกน้อยก็จริง แต่มันไม่ได้ถูกป้อนเข้าปากมันกลับถูกป้อนเข้าที่ใบหน้าของเด็กน้อยแทน จนโจ๊กข้าวฟ่างไหลอาบแก้มแล้วหยดลงบนเสื้อผ้า ลำบากซย่านีต้องเอาเสื้อบุผ้าฝ้ายของซ่งวั่งซูไปซักและต้องเอากลับมาเย็บอีกใน่ฤดูหนาว นับั้แ่นั้นมา ซย่านีก็ไม่กล้าปล่อยซ่งหานเจียงดูแลลูกน้อยอีกเลย
ซ่งหานเจียงทำท่าอึกอัก เขาเก็บมือกลับไปแล้วมองดูซย่านีป้อนอาหารลูกชายตัวน้อยจนอิ่มอย่างช่วยอะไรไม่ได้
“เสร็จแล้ว คุณอุ้มลูกไว้นะ ฉันจะกินข้าวหน่อย” ซย่านีวางซิงซิงลงในอ้อมแขนของซ่งหานเจียง
อาหารบนโต๊ะเหลืออยู่มากกว่าครึ่ง ซย่านีมองดูรอบโต๊ะและเอ่ยถามขึ้นมา “ทุกคนไม่อยากอาหารกันหรือ? อาหารพวกนี้แพงมากเลยนะ รีบกินเร็ว ถ้ากินไม่หมดมันจะสิ้นเปลืองนะ”
ซ่งวั่งซูลูบหน้าท้องพลางกล่าวว่า “แม่ หนูอิ่มแล้วจริงๆ”
ซ่งตงซวี่กินโจ๊กข้าวฟ่างคำสุดท้ายในชามหมดแล้ว เขาก็วางชามลงแล้วเลียมุมปาก “แม่ ผมกินหมดแล้ว”
ซย่านีเบนสายตามองไปทางซ่งหานเจียง
ซ่งหานเจียงทำท่าบอกเป็นัยว่า ‘ผมกิน ผมกำลังกินอยู่นี่ไง’ เขาอุ้มซิงซิงไว้ในมือซ้าย ส่วนมือขวาก็คีบอาหาร พอกินอาหารเสร็จเขาก็วางตะเกียบลงแล้วหยิบหมั่วโถวขึ้นมากัดไปนิดหน่อย ตอนนี้มือไม้ของเขาค่อนข้างพันกันอยู่บ้าง
ซย่านีมองเขาแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ เธอยิ้มมุมปากจากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วเริ่มลงมือกินอาหารต่อ
แม้ว่าการศึกษาของเธอจะเทียบกับซ่งหานเจียงไม่ได้แต่เื่การเลี้ยงลูกนั้น ซ่งหานเจียงสู้เธอไม่ได้เหมือนกัน
หลังจากที่เด็กทั้งสองคนทานอาหารเสร็จแล้ว ซ่งตงซวี่ก็ถามซย่านีขึ้นมาว่า “แม่ ผมขอออกไปเดินเล่นกับพี่สักเดี๋ยวหนึ่งได้ไหมฮะ?”
ซย่านีตอบตกลง “ได้ แต่เล่นได้แค่ตรงหน้าประตูเท่านั้นนะ อย่าวิ่งซี้ซั้วแล้วก็ห้ามคุยกับคนแปลกหน้าด้วย”
หลังจากเด็กทั้งสองลุกออกจากโต๊ะไปแล้ว โต๊ะอาหารก็เหลือแค่ซย่านีกับซ่งหานเจียงเพียงสองคน ซย่านีครุ่นคิดอยู่ในใจว่าควรพูดเื่หย่ากับซ่งหานเจียงเลยดีไหมเพราะเป็เื่ยากมากที่พวกเขาสองคนจะมีเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพัง แต่พอลองไตร่ตรองดูอีกที เธอก็คิดว่าเื่หย่าถือว่าเป็เื่ใหญ่เธอคิดว่าตนเองคงไม่อาจพูดเื่นี้กับซ่งหานเจียงให้ชัดเจนโดยใช้เวลาเพียงสั้นๆ ได้ และอีกอย่างสภาพแวดล้อมในร้านอาหารก็เต็มไปด้วยเสียงดังอึกทึกครึกโครม ซึ่งไม่เหมาะจะพูดคุยเื่จริงจังเท่าไหร่ พอคิดได้เช่นนี้เธอจึงหยุดคำพูดเอาไว้ก่อน
“ซย่านี” จู่ๆ ซ่งหานเจียงก็ร้องเรียกเธอขึ้นมา
ซย่านีเงยหน้าขึ้น “หือ?”
ซ่งหานเจียงเม้มริมฝีปากก่อนจะกล่าวว่า “ขอโทษนะ”
ซย่านีพลันพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
หลังจากหญิงสาวเงียบไปพักหนึ่ง เธอก็กล่าวขึ้นในที่สุด “คุณไม่จำเป็ต้องขอโทษหรอก”
ซ่งหานเจียงส่ายหน้า เขามีสีหน้าหดหู่ยิ่งนัก “ไม่...ผมควรขอโทษคุณ…ผมไม่รู้เลยว่าคุณมี่เวลาที่ยากลำบากมากขนาดนั้นตอนอยู่ที่บ้าน ในฐานะสามีผมบกพร่องในหน้าที่นี้มากจริงๆ”
ซย่านีไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี จากนั้นจู่ๆ เธอก็รู้สึกแสบจมูกและร้อนที่ขอบตาขึ้นมา หญิงสาวรีบก้มศีรษะลงเพื่อซ่อนสีหน้าของตนเอง
เห็นได้ชัดว่าเมื่อก่อนเธอไม่เคยรู้สึกเลยว่าสิ่งที่เธอต้องอดทนต่อความยากลำบากในบ้านตระกูลซ่งนั้นมันหนักหนามากขนาดนั้น แต่พอซ่งหานเจียงพูดว่าขอโทษเธอก็พลันรู้สึกน้อยใจที่ต้องทนกล้ำกลืนความไม่เป็ธรรม
ทำไมก่อนหน้านี้คุณไม่ให้ความสำคัญกับฉันมากกว่านี้เล่า? หากคุณเอาใจใส่ฉันมากขึ้นอีกสักนิด เช่นนั้นแล้วคุณก็คงจะรู้ว่าฉันถูกคนทั้งครอบครัวของคุณพากันรังเกียจมากแค่ไหน หากว่าคุณเป็แบบพี่เฝิงหย่งล่ะก็เป็คนที่เด็ดขาดและพาฉันกับลูกย้ายออกจากบ้านแม่สามีแบบนั้น บางทีฉันก็คงไม่ตกหลุมพรางของหลี่เสวี่ยหรูในภายหลัง...
ท้ายที่สุดแล้วอาจเป็เพราะว่าในใจของคุณไม่ได้มีฉันอยู่ในนั้นเลย ดังนั้นคุณก็เลยเมินเฉยต่อฉันสินะ
ซย่านีสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อควบคุมสติอารมณ์ของตนเอง พอเธอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งดวงตาก็ไม่ได้มีน้ำตาอีกต่อไป หญิงสาวยิ้มบางๆ แล้วกล่าวว่า “แค่ตอนนี้คุณรู้ความจริงก็พอแล้ว” ถ้ารู้แล้วก็รีบหย่ากับฉันเถอะนะ พวกเราต่างคนต่างไปนับจากนี้ฉันกับตระกูลซ่งจะได้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก
ซ่งหานเจียงพยักหน้าเขาคิดว่าซย่านีพูดถูก ตอนนี้เขารู้แล้วก็พอจากนี้ไปเขาจะตั้งใจชดเชยให้พวกเธอแม่ลูกเอง
คนทั้งสองเริ่มกินข้าวกันอย่างเงียบๆ สักพักซ่งหานเจียงก็พูดขึ้นมาอีกรอบ “วันนี้คุณจะยังกลับไปที่บ้านย่าของพวกเด็กๆ อีกไหม?”
ซย่านีส่ายหน้า “ไม่แล้ว ฉันเก็บของมาที่นี่หมดแล้ว จากนี้ไปคงไม่กลับไปอีกแล้วล่ะ”
ซ่งหานเจียงพยักหน้าเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ดี”
จากนั้นพวกเขาก็ทานอาหารกันเงียบๆ อีกครั้ง
แล้วจู่ๆ ซ่งหานเจียงก็พูดขึ้นมาอีกรอบ “ยังขาดเหลืออะไรอยู่อีกไหม? พวกเครื่องนอน...”
“ไม่แล้ว ฉันซื้อมาหมดแล้ว” พอซย่านีพูดจบ เธอก็รู้สึกตลกขึ้นมาเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมาซ่งหานเจียงไม่เคยพูดไม่ออกเช่นนี้มาก่อน โดยปกติแล้วบทสนทนานี้ควรเป็ของเธอเสียมากกว่า ส่วนซ่งหานเจียงก็เป็คนที่ต้องนั่งตอบคำสองคำแทน
“หนังสือเรียนของพวกเด็กๆ...”
“ฉันเอามาแล้ว” ซย่านีพูดด้วยรอยยิ้มเบาๆ
ซ่งหานเจียงกล่าวต่อ “โอ้ ดี เช่นนั้นก็ดีจะได้ไม่ถ่วงการเรียนของพวกเด็กๆ”
ครั้นเขาพูดจบทักษะในการสื่อสารของเขาก็เหมือนจะพังทลายลงอีกครั้ง ชายหนุ่มหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วทานอาหารต่อ พลางกล่าวว่า “การศึกษาเป็สิ่งสำคัญมาก คุณเองก็ต้องพากเพียร...”
ซย่านีพลันไร้คำจะกล่าว “…” ในหัวสมองของซ่งหานเจียงคงมีแต่คำว่า ‘เรียน’ งั้นสินะ!?
