หลิงมู่เอ๋อร์และโจวฉี่เยี่ยนต้องจากไปสักระยะหนึ่ง ทุกคนคนในบ้านต่างรู้สถานการณ์ของพวกเขาดี หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้ปิดบังพวกเขา จึงกล่าวว่าจะต้องไปช่วยรักษาผู้ป่วยคนหนึ่ง
หยางซื่อและหลิงต้าจื้อภูมิใจในตัวของหลิงมู่เอ๋อร์เสมอมา สิ่งที่หลิงมู่เอ๋อร์ทำเป็เื่ที่สร้างสมบุญกุศล ถ้ามิใช่ว่าไม่อาจบอกกล่าวแก่ผู้อื่นได้ว่าหมอที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปไกลคนนั้นคือบุตรสาวของพวกเขา พวกเขาก็อยากจะให้ทุกคนรู้จริงๆ ว่าบุตรสาวของพวกเขาเก่งกาจมากเพียงใด ดังนั้น พวกเขาไม่มีทางที่จะขัดขวางเื่ดีงามที่หลิงมู่เอ๋อร์จะไปรักษาโรคและช่วยชีวิตคน
โจวฉี่รุ่ยอยากไปกับโจวฉี่เยี่ยนด้วย แต่โจวฉี่เยี่ยนปฏิเสธ เพราะการไปในครั้งนี้อันตรายมากจริงๆ เพราะเกรงว่าศัตรูของพวกเขาอาจจะใช้อาจารย์ที่โจวฉี่เยี่ยนเคารพนับถือมากที่สุดหลอกล่อพวกเขาให้ออกมาจากที่ซ่อนตัว โจวฉี่เยี่ยนรู้ดีว่ามีอันตรายแต่ก็ไม่ไปไม่ได้ เพราะอย่างไรนั่นก็คืออาจารย์ที่เขาเคารพ และเขาก็ไม่มีทางที่จะให้โจวฉี่รุ่ยไปด้วยแน่นอน สองพี่น้องออกมาพร้อมกัน ถ้าตกอยู่ในแผนการของศัตรูจริงๆ เช่นนั้นก็จะถูกกำจัดจนหมดสิ้นในคราวเดียวแล้ว อย่างไรเสียต้นกล้าสุดท้ายของตระกูลโจวก็ไม่อาจให้ถูกพวกมันเด็ดให้ขาดได้
หลิงมู่เอ๋อร์นั่งอยู่ในรถม้า เปิดผ้าม่านหน้าต่างรถม้าทอดมองออกไปด้านนอก นี่เป็ครั้งแรกที่นางออกห่างจากเมืองเกิด นางยังคงมีความอยากรู้อยากเห็นต่อโลกภายนอกมากเช่นกัน
ความสามารถของโจวฉี่เยี่ยนนั้นไม่เลว ระหว่างทางที่พบโจรูเาล้วนเป็พวกเขาที่ปล้นเอาสิ่งของของโจรูเากลับเสมอ ในระหว่างนั้นพวกเขาได้พบกับโจรเด็ดบุปผาด้วย แต่ว่าผลสุดท้ายแล้วโจรเด็ดบุปผาเ่าั้ก็ถูกจับถอดเสื้อผ้าจนหมดและเอาตัวไปโยนไว้หน้าประตูศาลาว่าการ สุดท้ายพวกมันก็ถูกนายอำเภอที่ดำรงตำแหน่งในขณะนั้นจับตัวกลับไป
หลิงมู่เอ๋อร์ปิดใบบังหน้าด้วยผ้าคลุมหน้าและเดินตามอยู่ข้างกายโจวฉี่เยี่ยนที่รูปร่างสูงใหญ่ เดิมทีนางก็มีรูปร่างที่เพรียวบางอยู่แล้ว พอมีเขามาเดินเคียงข้างช่วยขับให้เด่นขึ้น นั่นก็ยิ่งทำให้นางดูมีรูปร่างเล็กลงไปอีก
“พี่ใหญ่โจว ท่านดูสายตาของแม่นางน้อยเ่าั้สิ ราวกับน้ำผึ้งเชียว พวกนางแทบอยากจะแนบชิดติดบนกายของท่านไม่ไหวแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้มบาง
โจวฉี่เยี่ยนขมวดคิ้ว “มู่เอ๋อร์อย่าได้พูดล้อเล่นไป”
“ข้าไม่ได้พูดล้อเล่นนะเ้าคะ” หลิงมู่เอ๋อร์หันกลับไปมองเขา “ท่านมีบุคลิกที่โดดเด่นมีเสน่ห์ถึงเพียงนี้ พวกนางมีจิตใจชื่นชมนั้นก็เป็เื่ที่สมควรแล้ว ถ้าไม่มีความคิดเลยแม้แต่น้อย แบบนั้นถึงจะแปลก”
“คนแซ่โจวมีแค้นที่ต้องชำระให้ตระกูล มิอาจแบ่งใจไปคิดเื่ความรักระหว่างชายหญิง” ครั้นกล่าวประโยคนี้ออกไป หัวใจของโจวฉี่เยี่ยนก็รู้สึกปวดร้าวไปชั่วขณะ
เขามองไปที่หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า ในใจมีความรู้สึกบางอย่าง มันเป็ความรู้สึกที่ซับซ้อนเป็พิเศษ ชั่วขณะนั้น เขาอยากจะให้นางเอ่ยเหตุผลอะไรสักอย่างออกมาหักล้างข้ออ้างของเขา ทว่านางกลับไม่เอื้อนเอ่ยอันใดออกมา เวลานี้นางถูกผ้าพันคอผืนหนึ่งดึงดูดความสนใจอยู่ และมองลวดลายบนผ้าพันคอผืนงามนั้นด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้
“ราคาเท่าไร?” โจวฉี่เยี่ยนเอ่ยถามพ่อค้าขายของริมถนน
พ่อค้าขายของริมถนนยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ผ้าพันคอผืนนี้มาจากสถานที่แสนไกล ราคาก็จะแพงเล็กน้อย สามตำลึงเงินขอรับ”
โจวฉี่เยี่ยนหยิบเศษก้อนเงินออกมาจากในอกเสื้อ แล้วยื่นให้พ่อค้าขายของริมถนน
หลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมา เห็นว่าโจวฉี่เยี่ยนจ่ายเงินแล้ว นางยิ้มให้เขาเล็กน้อยและรับผ้าพันคอผืนนั้นมาด้วยสีหน้าปกติ
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้ปฏิเสธผ้าพันคอที่โจวฉี่เยี่ยนมอบให้ ในเวลานั้นท่าทางแข็งทื่อของโจวฉี่เยี่ยนก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย สีหน้าท่าทางที่มองนางก็อ่อนโยนลงเช่นเดียวกัน
ในความเป็จริง หลิงมู่เอ๋อร์เพียงแค่รู้สึกว่าค่อยนำเงินคืนให้เขาในวันหลังก็เป็พอ ตอนนี้กำลังอยู่บนถนนสายใหญ่ นางไม่มีเหตุจำเป็จะต้องปฏิเสธความหวังดีของบุรุษผู้นี้ เพราะอย่างไรเสียบุรุษทุกคนล้วนรักหน้าตาตนเอง หากปฏิเสธความหวังดีของเขาต่อหน้าคนอื่นก็จะมีแต่ทำให้เขาอับอาย อีกประการหนึ่ง โจวฉี่เยี่ยนก็เพิ่งจะกล่าวว่าเขาไม่มีความคิดเื่รักใคร่ระหว่างชายหญิง เช่นนั้นเขาก็ไม่มีความคิดเป็อื่นต่อหญิงสาว พวกเขาก็นับว่าเป็สหายกันแล้ว ไม่จำเป็ต้องเกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมาบนถนนใหญ่เพียงเพราะเงินไม่กี่ตำลึงเงิน และนางก็ไม่ชอบสถานการณ์เช่นนั้นด้วย
“อาจารย์ของท่านอยู่ที่ใดเ้าคะ?” เดินกันมาได้สักพักหนึ่งแล้ว พวกเขาก็หาโรงเตี๊ยมเพื่อพักอาศัย หลังจากอาบน้ำ ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์และแต่งกายให้สบายตัวแล้ว นางจึงเอ่ยถามโจวฉี่เยี่ยน
โจวฉี่เยี่ยนมองเห็นเส้นผมที่เปียกชื้นของนางก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เขาหยิบผ้าที่อยู่ด้านข้างมาเช็ดผมให้แก่นาง ปลายนิ้วที่เย็นะเืของเขาปัดผ่านเส้นผมของนาง ทำเอานางสะดุ้งขึ้นมา
หลิงมู่เอ๋อร์รับผ้ามาด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน และเช็ดเส้นผมด้วยตนเอง หลังจากเช็ดอย่างพิถีพิถันครู่ใหญ่แล้ว เส้นผมก็แห้งไปบางส่วน
โจวฉี่เยี่ยนจับที่เส้นผมของนางอีกครั้ง ก่อนจะใช้วรยุทธ์อยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็เห็นเพียงเส้นผมที่เดิมทีเปียกชื้นแห้งขึ้นมาทันที
“ว้าว เก่งกาจยิ่งนัก” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างตกตะลึง “ที่แท้กำลังภายในก็ยังสามารถใช้ประโยชน์เช่นนี้ได้ด้วย”
โจวฉี่เยี่ยนยิ้มเล็กน้อย “ในกายของเ้าก็มีกำลังภายใน แต่ว่าหากอยากใช้กำลังภายใน ยังต้องฝึกฝนสักระยะหนึ่งถึงจะสามารถใช้ได้”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่แปลกใจที่โจวฉี่เยี่ยนทราบเื่ที่นางเป็วรยุทธ์ ยามปกที่นางฝึกปราณนั้นก็ไม่ได้ปิดบังคนในครอบครัว เขาจะรู้เื่นี้ด้วยก็เป็เื่ที่สมควร
แต่ว่า โจวฉี่เยี่ยนกล่าวแบบนี้ก็เท่ากับว่าเขาได้เผยข้อมูลเื่หนึ่งออกมา ว่ากำลังภายในของโจวฉี่เยี่ยนนั้นแข็งแกร่งนัก นั่นต่อให้นางขี่ม้าไล่ก็ตามไม่ทัน
“ตอนนี้อาจารย์ของข้าเป็เ้าสำนักของสำนักศึกษาแห่งหนึ่ง” โจวฉี่เยี่ยนยืนอยู่ตรงหน้าหน้าต่าง ทอดสายตามองออกไปยังที่ไกลๆ ดวงตาของเขาปรากฏแววคิดคำนึง “ตอนนี้เป็เวลาเข้าเรียนพอดี ไม่สะดวกที่จะเคลื่อนไหว พวกเราค่อยไปตอนกลางคืนเถิด!”
หลิงมู่เอ๋อร์นึกถึงเื่ที่ได้ยินในวันนี้ นางหยิบผลไม้ที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาพลางเอ่ยถามด้วยเสียงอันเบาว่า “ใช่แซ่ถังหรือไม่เ้าคะ?”
“อืม” ในใจของโจวฉี่เยี่ยนหนักอึ้ง ไม่้ากล่าวอันใดอีก หลิงมู่เอ๋อร์ถามอันใด เขาก็ตอบเพียงสั้นๆ ง่ายๆ ประโยคเดียว และไม่อยากกล่าวอันใดมากไปกว่านี้
เ้าสำนักถังเป็ผู้อำนวยการของสำนักศึกษาเมืองเฟิ่ง เล่ากันว่าเขาเป็ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ลาออกจากราชการแล้วกลับมายังบ้านเกิด เขาอายุไม่มาก ประมาณสี่สิบกว่าปี เป็่วัยที่ดีที่สุดของบุรุษ แต่มีอยู่วันหนึ่งเขาได้กราบทูลลาออกจากราชการกับฮ่องเต้อย่างกะทันหัน ฮ่องเต้ยื้อเขาไว้ทุกวิถีทาง แต่ก็ยังไม่อาจทำให้อีกฝ่ายหวั่นไหว สุดท้ายแล้ว เขาได้สร้างสถานศึกษาแห่งหนึ่งขึ้นมาในเมืองเฟิ่ง และกลายเป็เ้าสำนักของสถานศึกษาที่มีชื่อเสียง
คาดไม่ถึงว่าบุคคลที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้จะเป็อาจารย์ของโจวฉี่เยี่ยน เห็นได้ว่าเมื่อก่อนโจวฉี่เยี่ยนก็ไม่คนธรรมดาทั่วไป หลิงมู่เอ๋อร์คาดเดาได้นานแล้วว่าฐานะของเขานั้นไม่ธรรมดา ดังนั้นครั้นได้ยินเื่นี้จึงไม่ได้ตื่นตระหนกอันใด
ยามราตรี หลิงมู่เอ๋อร์ติดตามโจวฉี่เยี่ยนไปที่สำนักศึกษาเมืองเฟิ่ง เ้าสำนักถังพักอยู่ในเรือนหลังเล็กของสำนักศึกษาเมืองเฟิ่ง ที่นั่นเป็ที่อยู่ที่เขาออกแบบขึ้นมาเองโดยเฉพาะ
เขาสูญเสียภรรยาไปั้แ่ตอนที่อายุยังน้อย ตลอดหลายปีมานี้ก็ไม่ได้แต่งงานใหม่ ภรรยาได้เหลือบุตรชายเอาไว้หนึ่งคน แต่เด็กคนนั้นกลับเสียไปั้แ่เยาว์วัย นับั้แ่ตอนนั้น เขาก็ไม่เคยแต่งงานอีกเลยและยิ่งไม่มีลูกหลาน อนุชนคนรุ่นหลัง
โจวฉี่เยี่ยนทอดมองเรือนหลังเล็กอันเงียบเหงาและเยือกเย็นนั้น ก่อนจะได้ยินเสียงไอดังออกมาจากด้านใน ในใจของเขารู้สึกยุ่งเหยิงเป็อย่างยิ่ง
ประการแรก การที่อาจารย์ลาออกจากราชการมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา เขารู้ว่าอาจารย์เป็คนซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา เป็เพราะตระกูลโจวถูกฆ่าล้างตระกูล ในใจของเขาจึงมีโทสะและได้กราบทูลลาออกจากราชการต่อองค์ฮ่องเต้ หากไม่ใช่เพราะว่าท่านอาจารย์รับลูกศิษย์จำนวนไม่น้อย และเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักหลายคนล้วนเป็ศิษย์ของท่านอาจารย์ องค์ฮ่องเต้จึงทรงหวาดกลัวแรงอิทธิพลของเขา ก็เกรงว่าจะคงมีรับสั่งส่งคนมาสังหารเขาไปนานแล้ว
อีกประการหนึ่ง ท่านอาจารย์มองเขาเหมือนเป็ดั่งลูกหลาน หลายปีมานี้อบรมสั่งสอนเขามาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ในตอนที่ท่านอาจารย์้าการดูแลมากที่สุด เขากลับไม่ได้อยู่ข้างกายของท่านอาจารย์
หลิงมู่เอ๋อร์เดินเข้าเรือนและหยุดอยู่ที่หน้าประตู จากนั้นจึงเคาะประตู
น้ำเสียงอ่อนแรงดังออกมาจากข้างใน “ผู้ใดกัน?”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวด้วยเสียงต่ำ “ท่านเ้าสำนัก มีสหายเก่ามาเยี่ยมเยียน เปิดประตูได้หรือไม่เ้าคะ?”
เสียงฝีเท้าจากด้านในใกล้เข้ามาเรื่อยๆ คาดการณ์จากเสียงของฝีเท้าแล้วนั้น ฝีเท้าของคนผู้นี้ไม่คงที่ มีลมปราณแต่ไร้เรี่ยวแรง แสดงว่าอาการป่วยนั้นหนักเกินกว่าที่จะเยียวยาได้แล้วจริงๆ
หรือบางที คงไม่มีการล่องูออกจากถ้ำของพวกศัตรูแต่อย่างใดทั้งสิ้น เขากำลังจะไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็เป็ได้กระมัง!
แอ๊ด!ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออก
ใบหน้าแก่ชราปรากฏอยู่ด้านหน้าของพวกเขา
โจวฉี่เยี่ยนเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย แต่กลับเห็นว่าเขาแก่ชราลงไปกว่าเมื่อก่อนะมาก ความะเืใจและความละอายใจจึงเผยออกมาผ่านดวงตาของเขา
“ท่านอาจารย์ขอรับ” โจวฉี่เยี่ยนเรียกขานชายผู้นั้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ครั้นเ้าสำนักถังได้ยินเสียงเรียกขานนั้นก็ใช้ั์ตาที่ขุ่นมัวคู่นั้นมองไปที่โจวฉี่เยี่ยน ในดวงตานั้นปรากฏความไม่คุ้นเคยและไม่พอใจ
“ข้าจำไม่ได้ว่าเคยรับนักเรียนอย่างท่านด้วย คุณชายจำคนผิดแล้วกระมัง?” เ้าสำนักถังกล่าวนิ่งๆ “จงกลับไปเสียเถิด!”
หลิงมู่เอ๋อร์ขวางประตูเอาไว้ พลางกล่าวกับเ้าสำนักถังว่า “ท่านเ้าสำนัก ถึงแม้ว่าเขาจะจำคนผิดแล้ว แต่ข้าจำไม่ผิดอย่างแน่นอน ร่างกายของท่านไม่สบาย ข้าเป็หมอ ให้ข้าจับชีพจรให้ท่านเถิดเ้าค่ะ!”
“ไม่ต้องแล้ว ร่างกายของข้าสบายดียิ่งนัก” เ้าสำนักถังกล่าวเสียงเรียบ
“ท่านเ้าสำนัก ปิดบังโรคกับหมอ ไม่ยอมรับการรักษานั้นไม่ใช่เื่ที่ดี ร่างกายไม่สบายก็คือไม่สบาย ข้าเป็หมอ ไม่อาจเห็นคนไข้ยืดเยื้อโรคภัยไข้เจ็บได้ ถึงแม้ว่าวันนี้ข้าจะมาผิดสถานที่แล้ว แต่ว่าก็ประจวบเหมาะได้พบกับท่านที่ป่วยพอดี เช่นนั้นก็ทำการรักษาสักคราเถิดเ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่เ้าสำนักถัง “ข้าเป็เพียงสตรีนางหนึ่ง ท่านคงไม่ได้กลัวว่าข้าจะทำอันใดหรอกกระมัง?”
เ้าสำนักถังไอเบาๆ หนึ่งที แล้วหมุนกายกลับเข้าไปอย่างไม่สบายใจ “เข้ามาเถิด!”
หลิงมู่เอ๋อร์หันกลับไปมองโจวฉี่เยี่ยน แล้วทำท่ายักไหล่ด้วยท่าทางแสดงว่าข้าได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว
โจวฉี่เยี่ยนกล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณ”
ในตอนที่โจวฉี่เยี่ยนเดินผ่านข้างกายหลิงมู่เอ๋อร์เข้าไป นางกล่าวไล่หลังของเขาว่า “เขาไม่ได้จำท่านไม่ได้ แต่ไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ฐานะที่แท้จริงของท่านต่างหาก เขากำลังปกป้องท่านอยู่”
รอบดวงตาของโจวฉี่เยี่ยนแดงก่ำ “ข้ารู้ ข่าวอาการป่วยหนักของท่านอาจารย์แพร่กระจายไปไกลถึงเพียงนั้น แสดงว่ามีคนจงใจทำเช่นนี้ ท่านอาจารย์รู้แผนการของฝ่ายตรงข้ามและไม่อยากให้ข้าตกหลุมพราง ถึงแม้เขาจะเข้มงวดแต่ก็เป็อาจารย์ที่ดีที่สุดของข้า ทั้งหมดทั้งมวลนี้ข้าล้วนรู้ดี”
“ข้าสามารถรักษาเขาให้หายได้” หลิงมู่เอ๋อร์ยังไม่ทันได้ตรวจโรคแต่ก็ดูออกว่าอาการป่วยของเ้าสำนักถังนั้นป่วยหนัก “แต่ว่าดูจากอาการของเขาแล้ว เวลาเพียงชั่วครู่ชั่วยามพวกเราคงยังไม่อาจกลับไปได้ วันนี้ข้าจะตรวจโรคให้เขาก่อน หลังจากกลับไปแล้วค่อยปรุงยาอีกที จากนั้นค่อยช่วยเขาดูแลฟื้นฟูร่างกายอีกสักระยะหนึ่ง ให้แน่ใจว่าร่างกายของเขากลับมาดีแล้ว พวกเราค่อยกลับไปเ้าค่ะ”
นางรู้ว่าโจวฉี่เยี่ยนอยากจะอยู่กับเ้าสำนักถัง ถึงแม้ว่าภายนอกเ้าสำนักถังจะไม่ยอมรับว่ารู้จักกับโจวฉี่เยี่ยน แต่ความเป็จริงแล้วพวกเขาต่างก็เป็ห่วงเป็ใยซึ่งกันและกัน
เทียนในห้องถูกจุดขึ้น เ้าสำนักถังนั่งอยู่บนเก้าอี้ วางข้อมือลงบนโต๊ะ เขานั่งอยู่ที่นั่นด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก รอให้หลิงมู่เอ๋อร์จับชีพจรให้เขา
หลิงมู่เอ๋อร์ก็ไม่ได้เกรงใจ จับชีพจรให้แก่เขา ไม่นานหลังจากนั้น นางก็แน่ใจในอาการป่วยของเ้าสำนักถังแล้ว
“ท่านเ้าสำนักเป็โรคเรื้อรังซึ่งหลงเหลือมาจากครั้นเมื่ออายุยังน้อย ตอนเด็กท่านเ้าสำนักถังเคยตกน้ำใช่หรือไม่เ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยถามกับเ้าสำนักถัง
ดวงตาของเ้าสำนักถังมืดครึ้มลง แล้วพยักหน้าเบาๆ “แม่นางช่างมีความสามารถยิ่งนัก ในตอนที่ข้ายังเด็ก ฐานะของที่บ้านไม่ดี สภาพความเป็อยู่ของชีวิตย่ำแย่มาก จึงทิ้งโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หายเอาไว้”
“เช่นนั้นก็ไม่น่าแปลกใจแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์เก็บนิ้วมือกลับไป “อาการของท่านจะกล่าวว่าร้ายแรงก็ร้ายแรง จะกล่าวว่าไม่ร้ายแรงก็ไม่ร้ายแรง สรุปก็คือต้องค่อยๆ ฟื้นฟูรักษาร่างกายเ้าค่ะ”
เ้าสำนักถังกล่าวเสียงนิ่ง “อืม หมอทุกคนล้วนกล่าวเช่นนี้”
“เช่นนั้นหมอ ‘ทุกคน’ เคยบอกกับท่านหรือไม่ว่า พวกเขามีวิธีรักษาร่างกายของท่านให้หาย?” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อย “ข้าสามารถรักษาท่านให้หายได้”
เ้าสำนักถังมองโจวฉี่เยี่ยนที่อยู่ด้านข้างราวกับเทพผู้เฝ้าประตูก็มิปาน ตอนที่เป็เด็กก็สวมใส่เสื้อแพรกินอยู่อย่างสุขสบาย บัดนี้กลับต้องเก็บกลิ่นอายความมั่งคั่งสูงศักดิ์เ่าั้ไว้ กลายเป็มีอุปนิสัยเก็บตัวไป ทว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีสง่าราศีของคนตระกูลโจว ในความเป็จริงถึงแม้ว่าเขาจะไม่กล่าวอันใด เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้น ก็ทำให้ผู้คนไม่อาจมองข้ามได้แล้ว
กลิ่นอายความสูงศักดิ์ไม่เพียงแค่สวมใส่อาภรณ์อันโอ่อ่าหรูหรา มีข้าทาสบริวารที่ดีที่สุดคอยปรนนิบัติรับใช้ แต่เป็บุคลิกเฉพาะตัวที่แผ่ประกายออกมาจากภายใน ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เขาล้วนมีครบไม่จางหายไปเลยแม้แต่น้อย
“เช่นนั้นก็รบกวนแม่นางแล้ว แต่ว่า ข้าอยากพบเพียงแม่นางผู้เดียวเท่านั้น คุณชายท่านนี้… ก็ไม่ต้องมาแล้ว” เ้าสำนักถังข่มอารมณ์เอาไว้ภายในดวงตา
“ตกลงเ้าค่ะ” นางไม่ทันได้หารือกับโจวฉี่เยี่ยน หลิงมู่เอ๋อร์ก็ทำการตัดสินใจเพียงผู้เดียวแล้ว
ถึงอย่างไรจุดประสงค์ของโจวฉี่เยี่ยนก็คือให้เ้าสำนักถังรับการรักษา รักษาร่างกายของเขาให้หายดี ตอนนี้คนก็ได้พบแล้ว ด้วยฐานะเช่นนั้นของเขาไม่เหมาะที่จะมาทุกวันจริงๆ
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวกับเ้าสำนักถังอีกสองสามประโยค เ้าสำนักถังคล้อยฟังอย่างเหม่อยลอย หลิงมู่เอ๋อร์เห็นสภาพการณ์แล้วก็รู้ว่าเขาไม่มีจิตใจจะรับฟังอีกต่อไปจึงได้กล่าวลา
ในตอนที่พวกเขาเตรียมตัวที่จะจากไปนั้น เ้าสำนักถังมองไปที่เงาร่างของโจวฉี่เยี่ยนพลางกล่าว “พายุในเมืองเฟิ่งนั้นแรงนัก ทั้งสองท่านโปรดรักษาตัวด้วย อย่าปล่อยให้ถูกลมพัดปลิวไปเล่า”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้