ณ ประเทศจีน นครเซี่ยงไฮ้ เขตซินเฉิง
คาเฟ่ “พบกัน”
ชายหญิงคู่นั่งริมหน้าต่างชั้นสอง กลิ่นกาแฟลอยอวลเคล้าเสียงเปียโนจากชั้นล่าง แทรกเข้าหูของจางหย่งอัน
เขาคิดว่าเพลงรบน่าจะปลุกสมองที่ง่วงได้ดีกว่า
หญิงฝั่งตรงข้ามเหลือบมองเขาสองครั้ง แววตาไม่ค่อยพอใจ
ยังไม่ทันเขาพูด เธอเปิดข้อมูลในมือถือแล้วอ่านดังๆ
“จาง หย่งอัน”
“อายุสามสิบสอง แต่งงานครั้งแรก”
“อธิการบดีสถาบันศิลปะการต่อสู้ซานเหอ เขตซินเฉิง”
“หน้าตาใช้ได้ หาแบบนี้ยากนะ”
จางหย่งอันพยักหน้า “เพิ่งกลับจากแนวหน้า”
เธอไม่แปลกใจ วางมือถือ แล้วเล่นนาฬิกาข้อมือราคาแปดหมื่นเหรียญสหพันธ์
“ยังไม่ต้องพูด ฟังฉันก่อน ่นี้โลกกำลังวุ่น เวลาของฉันมีค่า เอาสั้นๆละกัน”
เขากำลังจะเอ่ยคำสุภาพ แต่เธอพูดต่อทันที
“เอาตรงๆนะ มาตรฐานฉันมีเท่านี้ ฉันมีลูกสองคน สามีคนก่อนตายในแนวหน้า
ดังนั้นฉันไม่รับทหารที่ยังประจำการ แต่การแต่งงานสำคัญ โดยเฉพาะแต่งกับทหารที่ปกป้องฉันได้”
เขาวางแก้ว ตอบเรียบๆ “เข้าใจแล้ว”
เธอยกมือห้าม “ฟังต่อ ลูกชายสองคนเรียนมัธยมต้น แต่งเมื่อไหร่พวกเขาไม่เปลี่ยนนามสกุล
ฉันก็ไม่คิดมีลูกเพิ่ม แก่ไปก็ยังพึ่งพากันได้
อย่าคิดว่าเสียเปรียบ ถึงฉันแก่กว่าเจ็ดปี แต่หน้าตาและรูปร่างยังพอได้ คู่กับทหารปลดประจำการอย่างนายก็เหมาะ
ผู้หญิงดีๆ สมัยนี้ที่ไหนจะไปแต่งกับทหารแบบนาย อีกอย่าง ได้ยินว่านายาเ็กลับจากแนวหน้า ถ้าไม่ถูกปลด และ
สหพันธ์ทหารไม่จัดตำแหน่งให้ ฉันไม่มีทางยอมให้ป้าหวางนัดเดต”
เขาขมวดคิ้ว แต่เห็นแก่ญาติที่แนะนำ จึงเพียงจิบกาแฟ ไม่โต้เถียง
“ได้ยินว่านายยังได้เกียรติยศชั้นหนึ่งด้วย ดีเลย แต่งแล้วลูกฉันสองคนจะได้ไม่ต้องไปแนวหน้า”
เขาพึมพำ “ใช่ จีนมีข้อกำหนดนั้น”
เธอจ้องเขาอีก “ฉันยังไม่ได้กินข้าว พูดจนเสียงแหบ ฟังก่อน นี่คือมารยาทพื้นฐานของผู้ชาย”
เธอว่า “ลูกฉันจะใช้สิทธิ์จากเกียรติยศของนาย เข้าเรียนสถาบันศิลปะการต่อสู้ จะได้ไม่ต้องขึ้นสนามรบ เื่นี้สำคัญมาก
ลูกฉันห้ามเป็ทหารแนวหน้า เข้าใจไหม เดิมทีก็ไม่ได้อยากหาคนยังประจำการ พอรู้ว่านายปลดแล้วเลยมาหา
ทหารแนวหน้าตายเป็เหยื่อปืนใหญ่กันไม่เกินสามเดือน แขนขาขาดยังถือว่าดี ฉันไม่อยากดูแลคนพิการ อย่าเป็เหยื่อ
ปืนใหญ่อีก ฉันไม่อยากเป็ม่ายซ้ำ แต่งใหม่ก็น่ารำคาญ”
คำพูดของเธอพรั่งพรู จนไม่ทันเห็นว่าใบหน้าของจางหย่งอันมืดลงดุจน้ำนิ่ง
เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
เธอโกรธ “พูดแค่ไม่กี่คำก็จะลุกแล้วเหรอ อย่าอ้างเข้าห้องน้ำ จ่ายบิลก่อน เสียอารมณ์จริงๆ”
เธอคว้ากระเป๋า เตรียมก้าวออก
ทันใดนั้น เงาร่างหนึ่งพุ่งขวางหน้า
เพียะ!
เสียงตบคมกริบสะท้อนทั่วคาเฟ่อันเงียบงัน ทุกสายตาหันมอง หญิงสาวทรุดกุมแก้ม จ้องชายที่เมื่อครู่ยังนิ่งเงียบด้วยความ
ตะลึง
รอยยิ้มสุภาพบนหน้าจางหย่งอันหายไป เหลือเพียงความโกรธ เธอคิดจะลุกเถียง แต่ต้องชะงักเพราะแรงกดดันน่ากลัวที่
แผ่ออกจากตัวเขา
“ฉันให้เกียรติเธอน้อยไปหรือไง เธอพูดจบแล้วใช่ไหม ทีฉันบ้างละ ถึงตาฉันแล้ว
เกียรติยศชั้นหนึ่งของฉันแลกด้วยชีวิตพี่น้องกว่าห้าสิบคน นั่นคือศักดิ์ศรีของทหารทุกคน ฉันไม่ยอมให้ใช้มันเป็บัตรผ่าน
ให้ลูกใครหนีสนามรบ ทหารปลดประจำการที่พิการแล้วไง พวกเขาคือวีรชน กำแพงเหล็กที่ต้านต่างเผ่าพันธุ์ ถ้าไม่มีเืเนื้อของพวกเขา
ก่อกำแพงไว้ เธอคิดว่ายังจะนั่งจิบกาแฟอยู่ตรงนี้ได้ไหม
อีกอย่าง การได้แต่งกับทหารที่ยืนเฝ้าบ้านเมืองคือโชคดีที่สุดของผู้หญิง เธอควรไปแนวหน้า ดูเด็กหนุ่มที่ยังไม่เคยจับมือ
ผู้หญิงสักครั้ง แต่ต้องนอนอยู่ใต้แผ่นดินนั้น
ถ้าอยากได้สามี ‘ดีๆ’ ก็ไปหาคนขี้ขลาด อย่าทำร้ายทหารที่ยอมสละเืเนื้อ
ถ้าไม่ใช่เพราะกฎหมายสหพันธ์คุ้มครอง เธอคงไม่รอดจากตบนี้บนสนามรบต่างเผ่าพันธุ์”
พูดจบ เขาวางธนบัตรหนึ่งร้อยหยวนลงบนโต๊ะ หันหลังเดินจากไป ทิ้งเงาร่างชุดดำให้ผู้คนมองตาม
เธอเสนอเงื่อนไขไร้เหตุผล จางหย่งอันทนไม่ได้ การดูถูกทหาร เขายิ่งทนไม่ได้
เขาสูดลมหายใจลึก กดโทสะไว้ หางตาพร่าไปชั่วครู่ จิตใจเต็มไปด้วยความอาลัยต่อสหายที่ล้มตายแนวหน้าสนามรบต่างเผ่าพันธุ์
พอพ้นประตูคาเฟ่ เขาเหลือบดูเวลาบนมือถือ
“หกโมงสี่สิบเก้านาที”
ตัวเลขคุ้นตาทำให้ขอบตาร้อนผ่าว เขามาเกิดในดาวบลูสตาร์นี้ครบสามสิบสองปีแล้ว มนุษยชาติต่อสู้กับต่างเผ่าพันธุ์มายาวนานนับร้อยปี
เผ่ามนุษย์รวมกันเป็ “สหพันธ์มนุษย์” เพื่อต้านศัตรู และหลังเรียนจบสถาบันศิลปะการต่อสู้ เขาก็เข้าประจำการ “กองทัพที่ 649” ของสหพันธ์
เขาฝ่าศึกรบครึ่งค่อนชีวิตบนสมรภูมิระหว่างสหพันธ์กับต่างเผ่าพันธุ์ สุดท้ายต้องปลดประจำการเพราะาเ็ โชคยังดีที่ได้งาน
อาศัยเหรียญกล้าหาญชั้นหนึ่ง จึงได้ขึ้นเป็อธิการบดีของสถาบันหนึ่ง ไม่งั้นอนาคตคงมืดมน
พอนึกถึงเื่เมื่อครู่ ความโกรธก็จางหายไปกว่าครึ่ง
ในหัวผุดภาพหญิงสาวในชุดทหารแพทย์เสื้อขาว ยืนรักษาทหารท่ามกลางูเาศพและทะเลเื เธองดงามทว่าไกลเกินเอื้อม ตอนนี้ยิ่งไม่กล้าฝันถึง
เขาขมขื่น “รากฐานพลังฉันแตกสลาย จะยกระดับก็ไม่ได้ ต่อไปพลังภายในคงร่วงจนไม่ต่างจากคนธรรมดา คิดไปก็ไร้ค่า
แม้แต่แม่หม้ายลูกติดสองคนยังไม่เหลียว”
เขาหัวเราะเยาะตัวเอง
ทันใดนั้น มือถือสั่น
เขาหยิบขึ้นมาดู
“คำสั่งแต่งตั้งอธิการบดีสถาบันศิลปะการต่อสู้ซานเหอผ่านการอนุมัติแล้ว”
“โปรดลงนาม”
จางหย่งอันย่อตัวนั่งริมทางไม่ลังเลลงชื่อในงานที่จะฝากชีวิตทั้งที่เหลือ
คำว่า “ลงนามสำเร็จ” เด้งขึ้นบนหน้าจอ
เขาลุก เตรียมเรียกรถกลับบ้าน
แล้วตัวอักษรสีทองก็สว่างขึ้นตรงหน้า
【เ้าสังกัด: จาง หย่งอัน】
【คำอธิบายระบบ: พลังของคุณ = ผลรวมพลังของนักเรียนทั้งสถาบัน】
【จำนวนนักเรียนปัจจุบัน: 600】
【สถานะ: อธิการบดีสถาบันศิลปะการต่อสู้ซานเหอ】
【จะยอมรับ “พลังรวมทั้งสถาบัน” หรือไม่】
—โปรดติดตามตอนต่อไป—