ยามรุ่งสางความเย็นะเืคละเคล้าอยู่ในม่านหมอกจางแผ่ปกคลุมไปทั่วพงไพร เสียงวิหคขับขานเริงร่าก้องกังวาน กลิ่นอายแห่งขุนเขากรุ่นแผ่กำจายไปทั่วผืนป่า
โขดหินขนาดใหญ่ความสูงไม่เท่ากันตั้งเรียงอยู่ที่เชิงเขา รายล้อมไปด้วยพุ่มไม้และวัชพืชรกเรื้อ ข้างโขดหินใหญ่มีที่ราบแคบๆ ยามนี้คนสองคนกำลังนอนซ้อนทับกันอยู่
เสียงนกร้องทำให้เซวียเสี่ยวหรั่นใตื่น ขณะกำลังงัวเงีย นึกว่าตนเองอยู่ในหอพักที่โรงเรียน
"นาฬิกาปลุกใครดัง รีบปิดเร็วเข้าสิ"
เธอบ่นพึมพำ คิดจะพลิกกายขึ้นมา ใครจะรู้ว่าร่างกายกลับขยับไม่ได้ รู้สึกเมื่อยขบไปทั้งตัว มือและเท้าเย็นจนแข็ง เซวียเสี่ยวหรั่นลืมตาขึ้นมาอย่างยากเย็น
"กรี๊ด..." เซวียเสี่ยวหรั่นใกรีดร้องสุดเสียง สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือใบหน้าฟกช้ำน่าเกลียดน่ากลัว มีรอยเฆี่ยนพาดอยู่เต็มใบหน้า
"ตุ้บ" เธอพลิกร่างลงมาจากตัวของชายหนุ่ม แผ่นหลังบดกระแทกกับหินกรวด ร้องครวญครางด้วยความเ็ป
"โอ๊ย... โอ๊ย... เจ็บจะตายอยู่แล้ว"
เธอลุกขึ้นมานั่งด้วยสัญชาตญาณ พลิกมือไปนวดส่วนที่ถูกกระแทก แต่แขนกับต้นขาก็รวดร้าวไปหมด ดวงหน้ากลมเกลี้ยงของเซวียเสี่ยวหรั่นพลันบิดเบี้ยวเหยเก
ให้ตายสิ เื่ที่เจอเมื่อวานไม่ใช่ความฝัน เธอตกจากหน้าผาลงมาในป่าดงดิบจริงๆ หรือนี่ เซวียเสี่ยวหรั่นนวดพลางร้องเอะอะโวยวาย
เสียงคร่ำครวญของเธอดังก้องไปทั่วเชิงเขา ทำเอาหมู่มวลวิหคซึ่งเดิมทียังส่งเสียงเจื้อยแจ้วบินกระเจิดกระเจิง
เปลือกตาของชายที่นอนอยู่บนพื้นเริ่มขยับแต่ยังไม่ลืมขึ้นมา
เซวียเสี่ยวหรั่นร้องะโโหวกเหวกสองสามหน พอนึกถึงผู้ชายข้างตัวก็รีบก้มลงไปสำรวจโดยไม่แยแสาแน่าเกลียดน่ากลัวบนใบหน้าของอีกฝ่าย เธอเอื้อมมือไปทดสอบใต้จมูกของเขาก่อนจนแน่ใจว่ายังมีลมหายใจ ค่อยวกกลับมาััที่หน้าผาก
"โชคดีๆ ไข้ลดแล้ว ไม่เป็ไร... ไม่เป็ไรแล้วล่ะ"
ั้แ่เมื่อคืนอุณหภูมิภายนอกก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งสองหนาวสั่น ตอนแรกเซวียเสี่ยวหรั่นก็แค่เข้าไปนอนชิดกับชายหนุ่ม คิดว่าจะฝืนทนสักคืน แต่ใครจะรู้ว่าพอถึงยามดึกสงัด บุรุษที่นอนอยู่ด้านข้างกลับมีอาการกระสับกระส่ายผิดปรกติ เธอเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของเขาก็พบว่าไข้ขึ้น
ดังนั้นเธอจึงควานหายาลดไข้ท่ามกลางความมืด แล้วป้อนให้เขา แต่ยิ่งดึกอุณหภูมิภายนอกก็ยิ่งลดลง ชายหนุ่มกินยาลดไข้แล้วก็หนาวสั่นจนฟันกระทบกัน
เซวียเสี่ยวหรั่นแค่เห็นก็รู้ว่าไม่ดีแล้ว ขืนปล่อยให้เป็แบบนี้ต่อไป ฟ้ายังไม่สว่าง เขาต้องแข็งตายแน่ แน่นอนว่าเธอเองก็คงหนาวจนทนไม่ได้เหมือนกัน
หากเขาแข็งตาย ความเพียรพยายามทั้งหมดของเธอก่อนหน้านี้ก็เป็อันสูญเปล่า
เซวียเสี่ยวหรั่นกัดฟันตัดสินใจมอบไออุ่นให้แก่เขาโดยตรง ด้วยการขึ้นไปกกกอดอยู่บนตัวเขา จากนั้นก็ใช้เสื้อแขนยาวคลุมตัวทั้งสองคน สุดท้ายร่างกายก็อุ่นขึ้น แม้ว่าทั้งเนื้อทั้งตัวเขาจะมีแต่กลิ่นสาบไม่พึงประสงค์ แต่เธอก็อดกลั้นไว้
"ฉันจะบอกอะไรให้ คุณต้องแข็งใจผ่านมันไปให้ได้ อย่าให้ความปรารถนาดีของฉันต้องสูญเปล่า ฉันต้องกล้ำกลืนความอัปยศอดสูเพื่อหน้าที่สำคัญ เอ้อ... คำพูดนี้ใช้ไม่ได้ น่าจะเป็ยอมลำบากเพื่อช่วยชีวิตคน เอ้อ... ดูเหมือนยิ่งไม่ถูกไปใหญ่ โอ๊ย เอาเป็ว่าคุณอย่าตายก็แล้วกัน ถ้าพรุ่งนี้เช้าฉันพบว่าตัวเองกอดศพหลับไปละก็... โอ้ แม่เ้า โอ้ ์ ชีวิตนี้ฉันคงไม่กล้าหลับอีกแล้ว คุณจะกลายมาเป็ฝันร้ายชั่วชีวิตของฉันไม่ได้เป็อันขาด ไหว้ล่ะ ขอร้องเลย ได้โปรดอดทนไว้ก่อนนะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นบ่นพึมพำกับตัวเองอยู่นาน ก่อนผล็อยหลับไป
วันนี้เจอแต่ปัญหาหนักอก ทำให้เธอเหนื่อยล้าทั้งกายใจ ดังนั้นแม้ว่าจะนอนอยู่ในป่าท่ามกลางสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย เธอก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา ก็ต้องนอนให้อิ่มก่อนค่อยว่ากัน
"ฮัดเช้ย ฮัดเช้ย"
ลมหนาวยามเช้าทำให้เซวียเสี่ยวหรั่นจามออกมาสองสามครั้ง
เธอออกแรงนวดแขนทั้งสองที่แข็งจนแทบไม่รับรู้ความรู้สึก เคราะห์ดี พอตื่นขึ้นมาพบว่าเขายังไม่ตาย และตนเองก็ไม่ได้อับจนถึงขั้นต้องนอนกับศพ
"อมิตตาพุทธ ์คุ้มครองปกปักรักษา ด้วยพระมหากรุณาธิคุณยิ่งใหญ่ของเ้าแม่กวนอิม คุณเป็คนมีบุญและดวงแข็ง ในที่สุดความทรมานตลอดทั้งคืนก็นับว่าสิ้นสุดแล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นเอาเสื้อแขนยาวคลุมตัวให้ชายคนนั้นต่อ พอชำเลืองไปเห็นใบหน้าอันน่าสยดสยองก็รีบเบือนศีรษะไปทางอื่น
"ฉันจะไปหาแหล่งน้ำ คุณนอนพักผ่อนดีๆ อย่าขยับซี้ซั้วล่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นดึงกระเป๋าเป้มาจากใต้ศีรษะของเขา ก่อนจะนำกลับมาสะพายไว้กับตัว ในนั้นมีแต่สมบัติของเธอทั้งนั้น ต้องพกติดตัวไว้ถึงจะอุ่นใจ เธอขยับต้นขาอย่างยากลำบาก ค่อยๆ เดินไปยังริมฝั่งแม่น้ำ
เธอค่อยๆ ยืนขึ้น ดูเหมือนว่ากล้ามเนื้อและกระดูกทั่วร่างของเธอกำลังร่ำร้อง เมื่อยขบเสียจนอยากด่าใครระบายอารมณ์
พอเสียงเท้าเดินไกลออกไป บุรุษซึ่งนอนนิ่งอยู่บนพื้นก็ลืมตาขึ้น ดวงเนตรเลื่อนลอยไร้จุดหมายหรี่ลงช้าๆ ฉายแววเฉียบคมแกมประหลาดใจ
เขารอดชีวิตมาได้แล้ว
ระหว่างเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงพื้นดินเกิดสั่นะเืและทรุดตัวลง เขาฉวยโอกาสอาศัยกระแสจากแม่น้ำที่ไหลทะลักเข้ามาหลบหนีออกจากคุกน้ำซึ่งก่อสร้างด้วยหินศิลาอันแข็งแกร่ง
ัดินพลิกกาย กลับเป็โอกาสที่เขาจะได้หลุดพ้นจากความยากลำบาก
ชายหนุ่มหยักมุมปากโค้งขึ้นเผยแววเหยียดหยัน
ถึงแม้ว่าเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้ง หลังจากรอดพ้นจากคุกน้ำออกมาได้ แต่โชคดีที่์มิได้สะบั้นหนทางของมนุษย์โดยสิ้นเชิง เขาจึงยังมีชีวิตอยู่
ชายหนุ่มขยับมือขวา ลูบไปบนเสื้อผ้าที่คลุมร่างกายของตนเองอยู่ด้วยปลายนิ้ว เนื้อผ้าลื่นๆ เย็นๆ ทั้งยังเกิดเสียงััระหว่างที่ลูบ เขานึกไม่ออกว่าจะมีผ้าชนิดไหนที่ให้ผลลัพธ์เช่นนี้
เสียงกระแสน้ำไหลดังมาแต่ไกล ดรุณีน้อยที่ช่วยชีวิตเขาไปยังแม่น้ำแห่งนั้นแล้ว
น่าจะเป็หญิงสาวกระมัง ชายหนุ่มไม่แน่ใจนักเพราะได้ยินเสียงไม่ชัด
นางพูดซ้ำไปซ้ำมา ตัดพ้อรำพึงรำพัน แต่จากน้ำเสียงและความคิดอ่านดูเหมือนจะเป็แม่นางน้อยที่ยังอ่อนต่อโลก
ทั้งยังหาญกล้าขึ้นมากกอดบุรุษแปลกหน้าทั้งคืนอีก
แน่นอนว่าเขาย่อมตระหนักในความปรารถนาดีของนาง
ช่างเป็สตรีที่วิเศษและแปลกประหลาดยิ่งนัก ไม่รู้ว่าเมื่อวานนางให้ตนเองกินยาอะไร ความเ็ปรวดร้าวทั่วร่างกลับหายเป็ปลิดทิ้งไม่รู้สึกถึงความเจ็บอีกเลยตลอดทั้งคืน
ท้ายที่สุดชายหนุ่มก็ไม่ปฏิเสธยาที่ถูกยัดเข้าปาก เพราะหนึ่งเขาไม่มีเรี่ยวแรงจะขัดขืน สองฟังจากถ้อยคำที่นางพร่ำบ่น รวมถึงกลิ่นอายของนาง เขาไม่รู้สึกถึงความเป็ศัตรู
และคงเป็เพราะเขาแช่อยู่ในน้ำเป็เวลานาน พอถึงยามดึกก็เลยครั่นเนื้อครั่นตัว สาวน้อยคนนั้นป้อนโอสถที่เรียกว่า 'ยาลดไข้' ให้เขาอีกเม็ด หลังจากนั้นก็ขึ้นมานอนกกบนตัวเขา ใช้ร่างกายตนเองเป็ผ้าห่มมนุษย์ให้แก่เขา ถ้อยคำประหลาดแต่กลับฟังดูเข้าท่าเหล่านี้มาจากการรำพึงรำพันของนางเอง
ตัวนางสั่นระริกเพราะความหนาว ทว่าร่างกายซึ่งแนบชิดเขาทั้งอ่อนนุ่มและอบอุ่น แม้สติของเขาจะยังรางเลือนด้วยพิษไข้ แต่กลับรู้สึกปลอดภัยท่ามกลางความอบอุ่นกระแสนั้น
หญิงสาวพร่ำบ่นกรอกหูเขาตลอดเวลา จนคนป่วยไข้ขึ้นเช่นเขานึกรำคาญแทบไม่อาจสะกดกลั้นอารมณ์
แต่พอมาใคร่ครวญดู สาเหตุที่นางตัวสั่นเทิ้มไม่หยุด อาจไม่ใช่แค่รู้สึกหนาว แต่เป็เพราะหวาดหวั่นเช่นถ้อยคำที่นางรำพึงรำพันไว้ นางกลัวว่าพรุ่งนี้เช้าตื่นขึ้นมาตนเองจะนอนกอดกับศพ กลายเป็ฝันร้ายชั่วชีวิต หลังจากนั้นก็จะเหลือนางตัวคนเดียวในพนาอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตแห่งนี้
พอคิดได้เช่นนี้ ถ้อยคำแสลงหูเ่าั้ก็ไม่ถึงขนาดทนฟังไม่ได้อีกแล้ว
ยามได้สติขึ้นมา เขาถูกนางทับจนชาไปครึ่งร่าง แต่นางกลับกอดเขาหลับเป็ตายไม่รู้เื่ ไร้สัญชาตญาณการป้องกันตัวโดยสิ้นเชิง แค่เขายกมือขึ้นบีบที่ลำคอก็สามารถเอาชีวิตนางได้แล้ว
นี่คือสาวน้อยขี้บ่นผู้อ่อนต่อโลก ไร้ซึ่งความหวาดระแวงภัยอันตรายทั้งปวง เขาบันทึกหมายเหตุเกี่ยวกับตัวนางอยู่เงียบๆ ในใจ
เสียงน้ำไหลแว่วมาแต่ไกล ดวงตาของชายหนุ่มขยับไปยังทิศทางของกระแสน้ำ ทว่าสิ่งที่เขามองเห็นกลับเป็สีเทา มีแต่เงาเลือนรางไม่แจ่มชัด
ตาของเขา!
กลางหว่างคิ้วของชายหนุ่มพลันอึมครึม ั์ตาว้าวุ่นแผ่ซ่านกลิ่นอายแห่งความเคียดแค้นชิงชัง
สตรี คือสิ่งมีชีวิตที่โเี้อำมหิตโดยแท้
คนฉลาดปราดเปรื่องเช่นเขา กลับต้องตกเป็เบี้ยล่างของพวกนาง ชายหนุ่มหลับตาแน่น ซ่อนความเ็ปและคั่งแค้นแรงกล้าไว้ภายใน