เสี่ยวเตี๋ยมองผู้คนรอบๆ ตัวด้วยสีหน้าหยิ่งยโสสายตาเต็มไปด้วยความดูถูก หลังจากนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยองพร้อมกับเคลื่อนสายตาที่มีแต่ความดูถูกนั้นมายังตัวของหลินเยว่
“แจกันเคลือบใบนี้ขายราคาเท่าไร?”
น้ำเสียงของเธอยังแฝงไปด้วยความฝืนใจราวกับว่าเธอคิดอยากจะรีบถามราคา หลังจากนั้นก็ซื้อให้เสร็จแล้วก็สะบัดหน้าหนีไป
หลินเยว่ได้ยินเช่นนี้จึงขมวดคิ้วขึ้นทันทีผู้หญิงคนนี้จะผยองเกินไปแล้วนะ
“แจกันเคลือบใบนี้ ไม่ขาย”
หลินเยว่ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบเขาก็เป็คนมีอารมณ์ความรู้สึกอยู่เหมือนกัน
“ไม่ขายแล้วคุณจะมาตั้งแผงทำไมล่ะ!” เสี่ยวเตี๋ยขมวดคิ้วสวยของเธอน้ำเสียงยังแฝงไปด้วยความโกรธ
“ผมนั่งพักผ่อนอยู่ที่นี่แล้วมาตั้งแผงขายั้แ่เมื่อไรล่ะ?”
หลินเยว่ี้เีจะสนทนากับอีกฝ่าย ตอนนี้เขายังรู้สึกเพลียอยู่เลยแต่ทว่าท่าทีของอีกฝ่ายก็เป็การแสดงความนัยบางอย่าง บางทีแจกันเคลือบใบนี้อาจจะเป็ของแท้จริงๆมิฉะนั้นแล้วอีกฝ่ายคงไม่ได้มีปฏิกิริยาแบบนี้
“คุณ......”
เสี่ยวเตี๋ยรู้สึกโกรธจัดยังไม่เคยมีใครพูดจากับเธอแบบนี้มาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนตรงหน้าที่เป็ผู้ชายแย่ๆคนหนึ่งเท่านั้น
“เสี่ยวเตี๋ย สหายหนุ่มผู้นี้ไม่ได้มาตั้งแผงขายจริงๆเมื่อตะกี๊ปู่ถามเขาแล้วว่าขายหรือเปล่า เขาก็ตอบแล้วว่าไม่ขายหลานเข้าใจผิดแล้วล่ะ”
ผู้าุโเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ค่อยดีจึงรีบพูดเตือนเธอ
เมื่อเสี่ยวเตี๋ยได้ยินคำพูดของคุณปู่ของตนเอง เธอย่นจมูกสวยของเธอแล้วก็สบถหึในลำคอใส่หลินเยว่ ทำท่าเหมือน “ชั้นจะไม่เอาเื่คุณหรอกนะ”
หลินเยว่เห็นสีหน้าท่าทางของเสี่ยวเตี๋ย เขาก็ส่ายศีรษะอย่างอดไม่ได้
“สหายหนุ่มเครื่องเคลือบชิ้นนี้คุณได้มาจากไหนหรือ?”
ผู้าุโเห็นว่าทั้งสองฝ่ายไม่ได้ทะเลาะกันแล้วเขาจึงกลับมาพูดเื่เดิมต่อ
“ผมเพิ่งซื้อมาจากที่นั่นเมื่อสักครู่นี้เองครับ”
หลินเยว่ปฏิบัติตัวต่อผู้าุโอย่างสุภาพนอบน้อมแต่ปฏิบัติตัวกับเสี่ยวเตี๋ยอย่างเ็าซึ่งเป็การกระทำที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทำให้เสี่ยวเตี๋ยที่กำลังโกรธจัดอยู่ข้างๆ เอาแต่ถลึงตาใส่หลินเยว่หากสายตาของคนเราสามารถฆ่าคนได้ หลินเยว่คงตายอย่างทุกข์ทรมานไปตั้งนานแล้ว
“ซื้อมาด้วยราคาเท่าไรหรือ?” ผู้าุโถามยิ้มๆ
“1 พันครับ”
หลินเยว่ไม่ได้คิดจะปิดบังอะไรแจกันเคลือบใบนี้เป็ของเขา เขาจึงไม่มีความจำเป็ที่จะต้องปิดบังเลย
“1 พัน?”ผู้าุโได้ยินก็ถึงกับตกตะลึง ดูเหมือนว่าเขาจะประหลาดใจว่าทำไมแจกันเคลือบใบนี้ถึงได้มีราคาถูกเช่นนี้หลังจากนั้นจึงถามต่อ “คุณคิดว่าเครื่องเคลือบชิ้นนี้เป็ของแท้หรือของปลอม?”
“ครึ่งแท้ครึ่งปลอมล่ะมั้งครับ”
หลินเยว่ตอบแฝงความนัยบางอย่างตอนนี้เขามั่นใจว่าเครื่องเคลือบใบนี้เป็ของแท้ 90% แล้ว แต่ทว่าเขากลับไม่มีหลักฐานเพื่อยืนยันได้เลย
“อ้อ”ผู้าุโได้ยินเช่นนี้จึงมีสายตาตกตะลึงปรากฏขึ้นชั่วครู่หลังจากนั้นจึงปรับสีหน้าเข้าสู่ปกติแล้วพูดยิ้มๆ “พ่อหนุ่มนี่ ไม่เลวเลยนะ”
“ท่านผู้าุโชมเกินไปแล้วครับ” หลินเยว่พูดตอบอย่างถ่อมตน
“ทำเป็ถ่อมตัว หึ!” ดูเหมือนว่าเสี่ยวเตี๋ยที่อยู่ข้างๆจะไม่พอใจกับท่าทีถ่อมตัวของหลินเยว่ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะพูดแขวะออกมา
หลินเยว่มีสีหน้าเคร่งขรึมทันทีหลังจากนั้นเขาก็ได้แต่ฝืนยิ้ม
ผมไม่ได้ยุ่งกับคุณ ไม่ได้หาเื่คุณ แล้วคุณจะทำตัวสงบหน่อยได้ไหมแล้วจะมาหาเื่ผมทำไมล่ะ!
เมื่อผู้าุโได้ยินประโยคนี้จึงขึงตาใส่เสี่ยวเตี๋ยเธอจึงไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้วหลังจากนั้นจึงหันหน้าไปพูดกับหลินเยว่ด้วยสีหน้าขอโทษ “เธอถูกผมตามใจมานานคุณอย่าสนใจเลยนะ”
“ไม่เป็ไร ไม่เป็ไร ผมจะสนใจได้อย่างไรล่ะครับ”หลินเยว่รีบพูดตอบ ให้ผู้าุโท่านหนึ่งมาพูดขอโทษเขา ถึงจะเป็การขอโทษแทนคนอื่นเขาก็รับไม่ได้หรอกนะ
ในเมื่อหลินเยว่ไม่คิดจะขายแจกันเคลือบผู้าุโจึงไม่ได้ฝืนใจ เขาจึงจูงเสี่ยวเตี๋ยที่ยังโกรธไม่เลิกเดินจากไปอย่างรวดเร็วแต่ทว่าตอนที่เขาจะจากไปนั้นเขายังมอบคำพูดประโยคหนึ่งที่ดูมีความหมายลึกซึ้งบางอย่างแฝงอยู่พร้อมรอยยิ้ม
“แจกันเคลือบไม่เลวเลย เก็บรักษาดีๆ ล่ะ”
หลินเยว่มองเื้ัของผู้าุโที่เดินห่างออกไปอย่างเหม่อลอยในใจของเขาเกิดความรู้สึกราวกับได้พบยอดฝีมือที่น่าเลื่อมใสจริงๆ
แล้วประโยคสุดท้ายนั้นหมายความว่าอะไร?
ประชดหรือว่าแอบบอกเป็นัย?
ประชดที่เขาซื้อของปลอม แล้วให้ตัวเขาเก็บรักษาดีๆไว้เป็ที่ระลึก?
หรือบอกเป็นัยว่าเครื่องเคลือบใบนี้เป็ของแท้ให้เขาเก็บรักษาไว้เป็อย่างดี?
ประโยคนี้หมายความว่าอะไรกันแน่?
หลินเยว่ครุ่นคิดอยู่เป็นานก็ยังไม่มีคำตอบ สุดท้ายเขาจึงได้แต่หัวเราะอย่างจนปัญญาเขามองเวลาบนนาฬิกาข้อมือ หลังจากนั้นจึงมุ่งหน้าตรงไปยังสถานที่ที่เขานัดแนะไว้กับจางฮุยิทันที
ยังไม่ทันรู้ตัวก็ถึงเวลาสิบเอ็ดโมงครึ่งแล้วหากยังไม่กลับไปก็จะต้องไปถึงสายแน่ๆ
เมื่อมาถึงสถานที่ที่นัดหมายกันไว้หลินเยว่จึงเห็นจางฮุยิรอเขาอยู่ที่นั่นก่อนแล้วในมือยังมีชามเคลือบใบหนึ่งอีกด้วย ถึงแม้จะมองจากที่ไกลๆเขาก็รู้สึกว่าชามเคลือบใบนั้นสวยมากจริงๆ
ดูท่าว่าอีกฝ่ายก็ได้ของติดไม้ติดมือมาเหมือนกัน
หลินเยว่เดินมาหยุดเบื้องหน้าแล้วพูดด้วยสีหน้าขอโทษ “ขอโทษด้วย ผมมาสายแล้ว”
“ไม่เป็ไร” จางฮุยิหัวเราะฮ่าๆ เพราะการที่รู้สึกถูกใจเครื่องเคลือบสักชิ้นหลังจากนั้นต้องทำการพิสูจน์ว่าเครื่องเคลือบเป็ของแท้หรือของปลอมแล้วยังต้องต่อรองราคา สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องใช้เวลาทั้งสิ้นไม่มีใครที่จะสามารถกะเวลาได้ถูกต้องหรอก
หลังจากนั้นเขาจึงเคลื่อนสายตาไปหยุดบนแจกันเคลือบในอ้อมกอดของหลินเยว่ในใจของเขาเกิดความรู้สึกตะลึงงันขึ้นทันทีใบหน้ามีแต่ความไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น
“เครื่องเคลือบสีเขียวบ๊วยจากเตาเผาหลงเฉวียน!”
จางฮุยิอุทานออกมาอย่างประหลาดใจเขาก้าวเท้าอย่างเร็วพุ่งเขามายังเบื้องหน้าของหลินเยว่ หลังจากนั้นจึงกวาดตามองแจกันเคลือบในอ้อมกอดของอีกฝ่าย
ขณะที่จางฮุยิกำลังสังเกตแจกันเคลือบนั้นหลินเยว่ก็สังเกตชามในมือของอีกฝ่ายเช่นกัน
บนชามเขียนลายดอกบัวสีชมพูที่เป็สิ่งที่ใครๆก็ชื่นชอบ ใบบัวสีเขียวฟ้าก็มีลักษณะที่แตกต่างกัน บางใบชูเชิดสูงสง่า บางใบโน้มก้านลงอย่างอ่อนน้อมมีทั้งสูงและต่ำ ทำให้คนที่มองต้องคิดเชื่อมโยงไปถึงลักษณะของคนที่มีความแตกต่างกันแล้วยังมีฝักบัวเขียวสดที่แผ่กระจายความมีชีวิตชีวาออกมาอย่างชัดเจนเมื่อใกล้จะถึงตรงก้นชามก็มีการเขียนลายน้ำในแม่น้ำที่มีความสะอาดบริสุทธิ์จนสามารถเห็นสภาพใต้น้ำได้เลย
ส่วนที่สวยที่สุดก็คือมีการเขียนลายนกยางขาวยืนด้วยขาข้างเดียวตรงริมฝั่งแม่น้ำเป็การใช้ลายเส้นเพียงไม่กี่เส้นก็สามารถวาดออกมาได้ดูมีชีวิตชีวาราวกับมีชีวิตจริงๆนกยางขาวยืนด้วยขาข้างเดียวแต่กลับเงยหน้ามองท้องฟ้าราวกับว่ากำลังไม่พอใจกับสถานการณ์ในตอนนี้และ้าโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าในทันทีตรง่ขาของนกยางขาวก็มีการใช้สีฟ้าในการวาดโขดหิน เป็โขดหินสีฟ้าที่ผอมบางราวกับคนผอมที่เหลือแต่โครงกระดูกเลยทีเดียว
นกยางขาวหนึ่งตัว โขดหินสีฟ้าหนึ่งก้อน นับเป็ความเพลินตาและแฝงความนัยมากมาย
ลักษณะของชามไม่เลว เป็เครื่องเคลือบเขียนสีเฝินไฉ่และมีความหมายแฝงดีมาก
มีนกยางขาว มีดอกบัวเขียว เมื่อรวมคำขึ้นมาจึงกลายเป็“一鹭青莲 (อีลู่ชิงเหลียน)”ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่า “一路清廉 (อีลู่ชิงเหลียน)”(一路清廉 หมายถึง เส้นทางใสสะอาดยุติธรรม)
ความหมายดีจริงๆ!
หลินเยว่จึงอุทานชื่นชมออกมาจากใจจริง
ไม่เพียงแต่จะมีความหมายดีงาม นอกจากนี้การจัดภาพก็ยังมีความหมายลึกซึ้งซึ่งตลอดชีวิตของเขาก็เพิ่งเคยเห็นในวันนี้นี่เอง
และเวลานี้เองที่จางฮุยิเบี่ยงตัวเล็กน้อยตรงก้นชามจึงปรากฏขึ้นในสายตาของหลินเยว่ ทำให้เขาเห็นอักษรที่เขียนอยู่บนชามนั้น
“ทำขึ้นในรัชศกเต้ากวงแห่งราชวงศ์ชิง” อีกทั้งยังเขียนด้วยอักษรจ้วนอีกด้วย
เขียนด้วยอักษรสีแดง ไม่เลวจริงๆ
หลินเยว่ได้ตัดสินแล้วว่าชามเคลือบใบนี้เป็ของแท้แต่ทว่าลักษณะของมันดีมากขนาดนี้ หากซื้อมาได้ก็ต้องมีการลงมือลงแรงลงเงินไม่น้อยเลยเพราะคนที่ขายก็ไม่ได้โง่เช่นกัน
“แจกันเคลือบสีเขียวบ๊วยใบนี้คุณซื้อมาด้วยราคาเท่าไรหรือ?”จางฮุยิจ้องหลินเยว่นิ่ง เขาสงสัยว่าอีกฝ่ายไปซื้อมาจากร้านวัตถุโบราณหรือเปล่าแต่ทว่าในร้านวัตถุโบราณก็อาจจะไม่มีเครื่องเคลือบสีเขียวบ๊วยจากเตาเผาหลงเฉวียนก็ได้
“1 พันหยวน”หลินเยว่พูดยิ้มๆ
“ฮะ?!”
จางฮุยิใจนแทบจะะโขึ้นมา ใช้เงิน 1พันหยวนซื้อเครื่องเคลือบสีเขียวบ๊วยชิ้นหนึ่งฝันกลางวันอยู่หรือเปล่า?!
“1 พันจริงๆ”
เนื่องจากแจกันเคลือบใบนี้ถูกหลินเยว่อุ้มไว้อยู่เมื่อสักครู่จางฮุยิได้แต่สังเกตสีเครื่องเคลือบรอบๆ เท่านั้น แต่ยังไม่ได้สังเกตตรงก้นแจกันดังนั้น หลินเยว่จึงพลิกแจกันขึ้นมา ตรงส่วนก้นจึงปรากฏขึ้นต่อหน้าจางฮุยิ หลังจากนั้นหลินเยว่จึงพูดขึ้น“หากคุณดูตรงก้นแจกันก็จะรู้ว่าเป็เพราะอะไร”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้