เสียงข้าวของแตกกระจายดังไปทั่วตำหนัก “หลิวหงหลัน” ได้ทำการปัดปิ่นปักผมลงจากโต๊ะ ฉลองพระองค์หรูหราถูกฉีกขาดด้วยฝีมือนางเอง ขณะที่สายตาแดงก่ำเต็มไปด้วยเพลิงแค้น
"ฝ่าา... หายไปไหน!?"
เสียงแหลมสูงของนางดังลั่น ข้ารับใช้รอบตัวก้มหน้าต่ำ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ด้วยกลัวจะถูกหวงกุ้ยเฟยบันดาลโทสะใส่กัน
"เ้าว่าอย่างไรนะ!? แทนที่จะประทับอยู่ในวังหลวง พระองค์ทรงไปโผล่อยู่ที่แคว้นเจียงหนาน!?"
"เพคะ... สายของบ่าวแจ้งมาว่า ฝ่าาเสด็จไปร่วมงานปักปิ่นขององค์หญิงน้อยพระองค์หนึ่ง"
"องค์หญิงน้อยอย่างนั้นรึ!?"
หลิวหงหลันกัดริมฝีปากแน่น ดวงตาลุกวาวเต็มไปด้วยความริษยา
อีกแล้ว!
ั้แ่สตรีนางนั้นตายไป นางคิดว่าตัวเองจะได้รับความรัก ได้รับตำแหน่งที่ควรเป็ของนาง แต่ไม่ว่ากี่ปีผ่านไป นางก็ยังเป็ได้แค่ "เงา" ของสตรีที่ตายไปแล้ว
"คนก็ตายไปแล้ว! ทำไมฝ่าายังไม่ยอมปล่อยวาง!?"
"ไหนบอกว่าเกลียดนางนักหนา ไหนบอกว่าหมดรักไปแล้ว แต่แล้วเหตุใดกันที่ข้ายังไม่ได้รับความรักจากพระองค์เสียที!?"
มือบางกำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ ตำแหน่งฮองเฮา ที่ควรเป็ของนาง ยังคงว่างเปล่า แล้วนางต้องทำอย่างไร เพื่อที่จะได้ทุกอย่างมา
ณ แคว้นเจียงหนาน ในยามเช้าอากาศเย็นสบาย ใบไม้พลิ้วไหวต้องสายลม สองข้างทางของตลาดคนเดินเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจอแจของพ่อค้าแม่ขาย ทว่าท่ามกลางบรรยากาศอันคึกคักนั้น กลับมีเสียงกระซิบกระซาบบางอย่างแพร่สะพัดไปทั่วทุกตรอกซอกซอย
"องค์หญิงมู่หรงเซียวกำลังจะเป็หงส์แห่งแคว้นต้าชิง!"
ข่าวลือนี้แพร่กระจายราวกับไฟลามทุ่ง
แรกเริ่ม ผู้คนยังไม่แน่ใจนักว่ามันเป็ความจริงหรือไม่ แต่เมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา พิธีปักปิ่นที่ฮ่องเต้ต้าชิงเสด็จมาด้วยพระองค์เอง
ใครกันที่เป็ผู้ปล่อยข่าวลือนี้ออกมา?
"ข้าก็แค่อยากช่วยให้เสด็จพี่บรรลุเป้าหมายโดยเร็วเท่านั้นเอง"
เสียงทุ้มเปี่ยมไปด้วยความขบขันดังขึ้นใต้ศาลาริมสระน้ำ บุรุษในอาภรณ์สีเขียวอ่อนแซมเงิน กำลังโบกพัดเบาๆ อย่างสบายอารมณ์ รอยยิ้มของเขาเรียบง่าย ทว่าดวงตาสีทองกลับเ้าเล่ห์ราวกับกำลังเพลิดเพลินกับหมากกระดานที่กำลังดำเนินไป
มู่หรงเซียวได้ยินข่าวลือนี้จากเหล่านางกำนัลที่แอบพูดคุยกันอยู่ตามตำหนัก หลังจากนั้นนางก็ลอบไต่ถามจากผู้คนรอบตัว
"ว่ากันว่า ฮ่องเต้ต้าชิงรีบเสด็จกลับ เพราะแคว้นต้าชิงยังไม่มีหงส์เคียงบัลลังก์"
"เขาทรงเก็บตำแหน่งนี้ไว้ให้คนตาย อดีตพระชายาที่สิ้นพระชนม์ไปเมื่อหลายสิบปีก่อน"
ยิ่งฟัง หัวใจของนางก็ยิ่งหนักอึ้ง จะเป็ไปได้อย่างไร?
เขาไม่มีทางชอบข้าแน่นอน บุรุษเช่นเขาเป็ดั่งหินผาที่ไม่อาจสั่นคลอน ตำแหน่งหงส์เคียงบัลลังก์นั้น ย่อมไม่ใช่ที่ของข้า ไม่มีวันเป็ไปได้
หลังจากวันที่ได้พบหวังเฟิ่งที่ศาลเ้าได้เก้าราตรี มู่หรงเซียวก็เริ่มมีอาการฝันร้ายมาโดยตลอด นางฝันประหลาดว่าตัวเองคือสตรีที่มีนามว่า “เซียวหยางมี่”
ฝันนั้นเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
"มี่เอ๋อร์ เ้าจงตั้งใจฟังพ่อ วันนี้จะเป็วันแรกที่เ้าจะได้เข้าเรียนในสำนักศึกษา จงจำไว้ให้ดีว่าเ้าต้องสำรวมวาจาและกิริยา เพื่อนร่วมชั้นของเ้าล้วนเป็เชื้อพระวงศ์ องค์หญิง องค์ชาย เ้าอย่าได้ทำให้พ่อหนักใจ"
"ลูกทราบแล้วเ้าค่ะ ท่านพ่อ"
"หากมีปัญหา ท่านอาของเ้าที่อยู่ในสำนักศึกษาจะช่วยชี้แนะเ้าเอง"
"ลูกทราบแล้ว ข้าสัญญาว่าจะไม่ก่อเื่"
บิดาของนางมองตามแผ่นหลังเล็กที่ค่อยๆ ห่างออกไป ดวงตาฉายแววหนักใจลึกๆ เขาถอนหายใจอย่างอดมิได้
"ท่านราชครูมิต้องเป็ห่วงไปขอรับ คุณหนูของเราฉลาดและไหวพริบดี รับรองว่านางจะสามารถเอาตัวรอดได้แน่นอน"
"เป็เช่นนั้นก็ดี... ข้ากลัววังหลวงจะเป็หลุมพรางน่ะสิ หากเป็ไปได้ข้านั้นไม่อยากส่งนางเข้าไปเลย แต่ฝ่าามีรับสั่ง นั่นหมายความว่าพระองค์อาจจะมีแผนอะไรบางอย่าง"
สำนักศึกษาในวังหลวงนั้นเป็สถานที่ซึ่งชนชั้นสูงและเชื้อพระวงศ์มาเล่าเรียน ทั้งบุรุษและสตรีที่ได้รับคัดเลือกจากอาจารย์ จะได้รับการฝึกฝนเื่การปกครอง ขนบธรรมเนียม ตลอดจนวิชายุทธ์
"ท่านอา ข้ามาแล้ว!"
“เซียวหยางมี่” ในวัยสิบสี่หนาววิ่งปรี่เข้ามาหา “เซียวเมิ่ง”น้องชายบุญธรรมของบิดา ซึ่งมีอายุมากกว่านางไม่กี่ปี เขาเองก็เป็ศิษย์ของสำนักศึกษาเช่นเดียวกันกับหญิงสาว
"อย่าวิ่งสิ เ้าตัวแสบ!"
"ข้าดีใจหนิ ข้าต้องกินนอนที่นี่อีกหลายปี หากไม่มีคนรู้จัก ข้าคงแย่แน่"
เซียวเมิ่งมองใบหน้างามที่เปื้อนรอยยิ้มของนางอย่างเอ็นดู ก่อนจะจัดแจงพาไปยังเรือนพัก ซึ่งอยู่ใกล้กันเพราะเป็ครอบครัวเดียวกัน
"ข้ามีคำเตือนเพียงข้อเดียว จงอย่ายุ่งเกี่ยวกับองค์ชายใหญ่"
"ทำไมล่ะ ท่านอา?"
"แท้จริงแล้วข้าไม่อยากให้เ้าต้องข้องเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์เลยด้วยซ้ำ แต่มันเลี่ยงไม่ได้"
และแล้ววันที่ตระกูลเซียวหวาดกลัวที่สุดก็มาถึง เพราะบรุษสูงศักดิ์ผู้หนึ่งได้เอาตัวเองเข้ามายุ่มย่ามในชีวิตของเซียวหยางมี่
ด้วยความที่เซียวหยางมี่นั้นเป็เด็กซุกซน ขี้เบื่อ และชอบหนีเที่ยว นางถือโอกาสแต่งกายเป็บุรุษเพื่อความสะดวกและหนีเที่ยวเป็ประจำ
สายลมยามค่ำพัดผ่านต้นไม้ใหญ่ เสียงใบไม้เสียดสีกันดังแ่เบาราวเสียงกระซิบของรัตติกาล
เงาร่างเล็กในอาภรณ์บุรุษกำลังย่องเบาไปยังแนวกำแพงด้านหลังของเรือน เส้นผมยาวดำขลับถูกรวบขึ้นอย่างลวกๆ ทว่าดวงหน้างามกระจ่างกลับไม่อาจกลบซ่อนด้วยอาภรณ์บุรุษ
เซียวหยางมี่นั้นขบเม้มริมฝีปากแน่น ขณะใช้สองมือเกาะขอบกำแพงสูง อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น...
“เ้าจะไปที่ใดกัน มี่เอ๋อร์?”
มือที่เกาะกำแพงอยู่พลันชะงัก ร่างของนางแข็งค้างกลางอากาศก่อนจะสะดุ้งสุดตัวจนเผลอเอนไปทางด้านหลัง
เส้นผมยาวที่รวบไว้อย่างลวกๆ พลันปลดออกบางส่วน ปลายผมเส้นหนึ่งปลิวไปเกี่ยวกับกิ่งไม้ที่อยู่เหนือศีรษะ
"ท่านอา!"
นางอุทานพร้อมทำดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างใ เสียงถอนหายใจหนักๆ ดังขึ้น ก่อนที่บุรุษร่างสูงผู้หนึ่งจะก้าวเข้ามาใกล้
เซียวเมิ่งในอาภรณ์เรียบง่ายของนักศึกษาสำนักหลวง เขาส่งสายตามองหลานสาวตัวแสบที่ยังคงติดอยู่กับกิ่งไม้ ก่อนจะย่อตัวลงนั่งข้างๆ
“เ้าหนีเที่ยวอีกแล้วสินะ...”
น้ำเสียงของเขาแฝงไว้ด้วยความระอา แต่ก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
เซียวหยางมี่เม้มริมฝีปาก นั่งนิ่งอย่างว่าง่าย ปล่อยให้ท่านอาค่อยๆ ใช้ปลายนิ้วเรียวยาวช่วยสางเส้นผมของนางออกจากกิ่งไม้อย่างแ่เบา
มือของเซียวเมิ่งนั้นช่างอุ่นและนุ่มนวล เขาเคยช่วยสางผมให้นางั้แ่ยังเป็เด็กน้อย และนางเองก็เคยซุกซนปีนต้นไม้มานับครั้งไม่ถ้วน
ยามนี้แม้จะเติบโตขึ้นแล้ว แต่ภาพของท่านอาที่กำลังก้มหน้าสางเส้นผมให้นางใต้แสงจันทร์ ยังคงเป็ภาพที่อบอุ่นเช่นเดิม
แต่ในขณะเดียวกัน ภาพนั้นกลับไปตรึงตาตรึงใจ ‘ใครบางคน’ ที่กำลังเฝ้ามองอยู่จากเงามืด
ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากเรือน ดวงตาสีทองเรืองรองจับจ้องมายังฉากตรงหน้า
แววตานั้นเย็นเยียบ ไร้ซึ่งความรู้สึก ทว่าในความเงียบงันนั้น กลับมีบางสิ่งที่ไม่อาจหยั่งถึงได้แฝงอยู่
"นางเป็คนจากตระกูลเซียวอย่างนั้นหรือ?"
เสียงของบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นแ่เบา ดวงเนตรของเขาไม่อาจละไปจากหญิงสาวในชุดบุรุษตรงหน้าได้เลย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้