ณ ค่ายกลนำส่ง หอคอยขัดเกลาชั้นที่เจ็ด
“หนึ่งปีแล้ว เป็หนึ่งปีเต็มๆ ที่ไม่ได้ออกมา คงไม่มีอะไรที่คาดไม่ถึงทำให้พวกเขาออกมาไม่ได้หรอกนะ?” ถังอีิกล่าวขึ้นในกระแสสัญญาณเสียง เขากลอกสายตาไปมา จากนั้นก็มองดูคนเผ่าหยาจื้อที่อยู่ด้านข้างซึ่งกำลังมองจ้องมาที่เขา ในใจรู้สึกเป็กังวลยิ่งนัก
ฉือเซียวก็ขมวดคิ้วขึ้นทันทีเช่นกัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวล เป็เวลาหนึ่งปีแล้วที่ไม่ได้ข่าวคราวของฉินอวี่ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เขาเป็กังวลอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะหอคอยขัดเกลาชั้นที่เจ็ดเต็มไปด้วยความอันตราย และมีพวกเผ่าหยาจื้อกำลังจ้องมองอยู่ละก็ เขาก็คิดจะเข้าไปตามหาฉินอวี่
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ฉือเซียวรู้สึกมีความหวังก็คือ ไม่ได้มีเพียงฉินอวี่เท่านั้นที่ยังไม่กลับมา แต่คนอื่นๆ ก็ยังไม่กลับออกมา ในขณะที่กำลังรอฉินอวี่ ฉือเซียวได้ทำความเข้าใจและจดจำตำแหน่งในการสร้างเรือนไม้ได้อย่างชำนาญแล้ว และพร้อมจะสร้างเรือนไม้ขึ้นได้ตลอดเวลา
แต่ฉู่สยงและฉู่เยว่ฉานกลับนิ่งเงียบไม่พูดจา พวกเขามีความกังวลใจเื่ของฉินอวี่เป็พิเศษเช่นกัน หากฉินอวี่ต้องตายจากไป พวกเขาคงจะสูญเสียประโยชน์ไปอย่างใหญ่หลวง ถึงตอนนั้น หากต้องเผชิญกับคนเหล่านี้ พวกเขาก็คงจะหมดความหวังที่จะมีชีวิตรอด
และคนที่ต่างไปจากพวกฉือเซียวทั้งสี่คนก็คือ เสี่ยหยวนที่กำลังนั่งอยู่บนพื้น เขานั่งมองทะเลหินหนืดอันร้อนระอุตรงหน้าอยู่ตลอดเวลา ฉินอวี่จากไปนานเพียงใด เขาก็ยังคงเฝ้ามองอยู่นานถึงเพียงนั้น
ฉินอวี่คือความหวังทั้งหมดของเขา เขาจึงไม่้าให้เกิดอะไรขึ้นกับฉินอวี่เป็อย่างยิ่ง
“ข้าคิดว่ากองกำลังทั้งหมดน่าจะถูกจัดการไปหมดแล้ว แดนมรณะแห่งนั้นเป็สถานที่ซึ่งคิดจะเข้าก็เข้า คิดจะออกก็ออกได้ตามอำเภอใจหรือ? พวกเราไปกันดีกว่า” อันดับสองพูดขึ้นอย่างไร้ความปรานี ดูเหมือนเขาจะร้อนใจเป็อย่างมาก ที่เขายังคงอยู่รอที่นี่ก็เป็เพราะเห็นแก่เสี่ยหยวน หากเป็เื่ปกติเขาคงจะจากไปนานแล้ว ความเป็ความตายของคนเหล่านี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาหรือ?
ถังอีิและคนอื่นๆ ล้วนแต่มองไปทางอันดับสองอย่างโกรธเคือง แม้แต่คนหนุ่มสาวของเผ่าหยาจื้อก็เป็เช่นเดียวกัน มีคนห้าคนจากรายนามระดับสามัญทั้งสิบที่ต้องตายไปในแดนมรณะ เผ่าหยาจื้อนับว่าประสบความสูญเสียอย่างหนัก
“มีคนอยู่ตรงนั้น!” ในเวลานี้ ชายหนุ่มเผ่าหยาจื้อคนหนึ่งได้ะโขึ้นเสียงดัง
ทุกคนต่างมองไปเป็สายตาเดียว แต่กลับมองเห็นชายหนุ่มผมเผ้ากระเซิงคนหนึ่งกำลังเหาะออกมาอย่างรวดเร็ว
“นั่นหยางเต้า!” พวกฉือเซียวทั้งสี่คนต่างตกตะลึง แต่หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ก็พบว่านอกจากหยางเต้าแล้ว ก็ไม่มีใครอีก สีหน้าแต่ละคนจึงเหมือนหมดสภาพไปทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉือเซียว ที่กำลังกำหมัดแน่นพร้อมร่างกายที่สั่นเทา
“อันดับหนึ่งล่ะ? ทำไมจึงมีเพียงคนนอกออกมาแค่คนเดียว?” ชายหนุ่มเผ่าหยาจื้อเริ่มนั่งไม่ติด คนทั้งเก้าของเผ่าหยาจื้อยังไม่มีผู้ใดออกมาเลยแม้แต่คนเดียว จะไม่ให้พวกเขาเป็กังวลได้อย่างไร?
ไม่นาน หยางเต้าก็เหาะเข้ามาด้วยสีหน้ามืดมน และร่อนลงบนค่ายกลนำส่ง
เขากวาดสายตามองศิษย์หนุ่มของเผ่าหยาจื้ออย่างเยือกเย็น ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเข้มงวดและจริงจัง
“คนนอก แล้วคนเผ่าข้าล่ะ?”
“แล้วพวกอันดับหนึ่งล่ะ? หากอันดับหนึ่งไม่ออกมา ก็ไม่มีใครได้ออกไปจากที่นี่ทั้งนั้น”
“หยางเต้า หวังซิงเฉินล่ะ?”
ฝูงชนที่รายล้อมหยางเต้าอยู่ ต่างรุมถามกันขึ้นมา
หยางเต้ากวาดสายตามองเผ่าหยาจื้ออย่างเ็า และพูดไปอย่างเฉยเมย “พวกเราแยกจากกันั้แ่เข้าไปในแดนมรณะแล้วล่ะ และข้าก็ไม่รู้เบาะแสของพวกเขาด้วย” พูดจบ หยางเต้าก็นั่งลงทำสมาธิทันที
“เป็แบบนี้ได้อย่างไรกัน? ผ่านมาหนึ่งปีแล้วยังไม่มีใครออกมา คงไม่ได้เกิดอะไรขึ้นจริงๆ ใช่หรือไม่” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดด้วยความกังวล
“เหลวไหล แม้แต่คนนอกยังมีชีวิตรอดออกมาได้ พวกอันดับหนึ่งไม่เป็อะไรอยู่แล้ว พวกเขาอาจหาเืของหยาจื้อพบแล้วก็ได้”
“ก็จริง คนนอกขั้นกุมารทิพย์ยังมีชีวิตรอดมาได้ แล้วพวกของอันดับหนึ่งจะเป็อะไรไปได้อย่างไรกัน?”
คนของหยาจื้อต่างปลอบกันไปมา ฉือเซียวเหลือบมองหยางเต้าด้วยสายตาที่แปลกประหลาด หยางเต้าได้เข้าถึงขั้นกุมารทิพย์แล้ว หลังจากนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงส่งกระแสเสียงไป “หยางเต้า พี่ชายของเ้ากับหวังซิงเฉินล่ะ?”
หยางเต้าไม่ได้ตอบอะไร หากเทียบกับก่อนหน้านี้แล้ว หยางเต้าเปลี่ยนไปเหมือนเป็คนละคน แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเป็คนลุ่มลึก แต่ก็ไม่ดูดุร้ายเหมือนตอนนี้ และดูเหมือนกำลังไม่พอใจอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น พวกของฉือเซียวต่างตระหนักได้เป็อย่างดีว่าพวกเขาไม่อาจมองหยางเต้าอย่างทะลุปรุโปร่งได้ ดูเหมือนว่าจะมีพลังอันน่ากลัวที่ทำให้คนต้องตกตะลึงอยู่ภายในร่างกายของเขา
สิ่งที่ทำให้ทุกคนต่างสงสัยคือ หยางเต้าได้สิ่งวิเศษใดจากแดนมรณะกันแน่
เมื่อเสี่ยหยวนมองไปยังหยางเต้าก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันที ขอเพียงมีคนรอดชีวิตออกมา นั่นก็หมายความว่าฉินอวี่ก็มีโอกาสรอดชีวิตเช่นกัน อันดับสองมองหยางเต้าอย่างตกตะลึง หลังจากนั้นไม่นานก็ถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “แดนมรณะมีอะไรอยู่กันแน่?”
พูดตามตรง อันดับสองยังไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนรอดชีวิตออกมาจากแดนมรณะได้จริงๆ อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้อันดับสองแอบไปยังแดนมรณะ ปู่ของเขาเคยเตือนอันดับสองอยู่เสมอ ว่าเข้าไปที่นั่นแล้วจะไม่มีชีวิตรอดกลับมาอย่างแน่นอน แต่ในตอนนี้มีคนรอดชีวิตออกมาได้ ทำให้อันดับสองคิดว่าหยางเต้ายังไม่ได้เข้าไปยังแดนมรณะจริงๆ
หยางเต้าเหลือบมองอันดับสอง แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป และดูเหมือนจะไม่อยากนึกถึงเหตุการณ์ในแดนมรณะ
อันดับสองขมวดคิ้ว สีหน้าบึ้งตึง คนนอกผู้นี้ช่างไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ขณะที่อันดับสองกำลังจะโมโห กลับมีเสียงคนะโขึ้นด้วยความใ “มีคนออกมาอีกแล้ว”
“อันดับหนึ่ง นั่นอันดับหนึ่ง! ฮ่าๆ ข้าบอกแล้วว่าอันดับหนึ่งจะต้องรอดชีวิตออกมาแน่นอน”
“สมกับที่เป็อันดับหนึ่ง สามารถรอดชีวิตออกมาจากแดนมรณะได้จริงๆ”
บรรดาคนหนุ่มสาวของเผ่าหยาจื้อต่างแสดงความยินดี ที่แต่ละคนต่างตื่นเต้นเช่นนี้ ไม่ใช่เป็เพราะอันดับหนึ่ง แต่อันดับหนึ่งเคยกล่าวเอาไว้ว่า ขอเพียงเขาออกมาได้ เขาจะพาทุกคนเข้าไปยังแดนมรณะด้วยกัน เมื่อนึกถึงว่าตนเองได้เข้าไปยังแดนมรณะ และได้รับเืของบรรพชน จะไม่ให้ศิษย์เหล่านี้ตื่นเต้นได้อย่างไร?
แต่เสียงะโที่ดังขึ้นต่อมา ทำให้ศิษย์เผ่าหยาจื้อถึงกับเหนื่อยหน่ายในทันที
“เปิดใช้ค่ายกลนำส่ง หนี!” เสียงะโเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
ขณะที่ศิษย์เผ่าหยาจื้อและพวกฉือเซียวกำลังในั้น อันดับหนึ่งก็แปลงเป็ลำแสงพุ่งตกไปยังค่ายกลนำส่งทันที ใช้พลังของสายฟ้าวางศิลาิญญาลงในช่องของค่ายกลนำส่ง เพื่อเปิดการใช้งาน และแม้แต่พวกฉือเซียวก็ถูกพาหายไปในทันที
ในวินาทีที่ทุกคนกำลังหายไปอย่างไร้ร่องรอย ฉินอวี่ที่กลายเป็ลำแสงก็ตกลงมายังค่ายกลนำส่ง ผมสีขาวของเขาพลิ้วไหว มองไปยังค่ายกลนำส่งที่ว่างเปล่า ฉินอวี่ก็ขมวดคิ้วแน่น และพึมพำขึ้นมา “เกิดเื่อะไรกับอันดับหนึ่งกันแน่? ตามหลักแล้ว เขาไม่ควรจะหนีขนาดนี้ แต่ควรจะหันมาต่อสู้กับข้าสิ ยิ่งไปกว่านั้น บนค่ายกลนำส่งก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยคนของเผ่าหยาจื้อ แล้วทำไมอันดับหนึ่งยังต้องหนีอีกเล่า?”
ย้อนเวลากลับไปมอง
เมื่อสามวันก่อน ฉินอวี่กำลังตามหาอันดับหนึ่งอยู่ในแดนมรณะ อันดับหนึ่งเองก็ยังอยู่ในแดนมรณะ และทั้งสองคนก็บังเอิญพบกันพอดี
เมื่อคนมีความแค้นมาพบกันย่อมเกิดความโกรธเคือง พละกำลังของทั้งสองะเิขึ้นทันที เตรียมเข้าต่อสู้กัน
ขณะที่กำลังจะลงมือนั้น จู่ๆ อันดับหนึ่งก็ยั้งมือไว้ และเรียกพลังคืนกลับทันที จากนั้นก็เหลือบมองฉินอวี่ด้วยความหวาดกลัว แม้ว่าฉินอวี่จะรู้สึกแปลกใจ แต่ในเมื่อเขาตั้งใจจะสังหารอันดับหนึ่งแล้ว จะปล่อยไปโดยง่ายได้อย่างไร?
แต่ความเร็วที่ใช้ในการหลบหนีของอันดับหนึ่งนั้นเกินความคาดหมายของฉินอวี่ยิ่งนัก แม้เขาจะใช้พลังทั้งหมดที่มีก็ไม่สามารถไล่ตามได้ทัน ท้ายที่สุดก็ทำได้แค่ไล่ตามอันดับหนึ่งมาจนออกจากแดนมรณะ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
“หรือจะเป็เพราะสาเหตุจากแก่นโลหิต? ในฐานะที่อันดับหนึ่งเป็คนของเผ่าหยาจื้อจึงสามารถััได้ถึงพลังอันน่ากลัวในหยดเืของแก่นโลหิต? ดังนั้นจึงวิ่งหนีมาเช่นนี้?” ฉินอวี่ประหลาดใจ ยังไม่ทันเริ่มต่อสู้กัน อันดับหนึ่งก็วิ่งหนีออกมาเช่นนี้ ทำให้ฉินอวี่ต้องประหลาดใจอย่างมาก
“ไม่ได้ จะให้เขารอดชีวิตไปจากหอคอยขัดเกลาไม่ได้ ไม่เช่นนั้น จะต้องเกิดปัญหาใหญ่ในอนาคตแน่นอน” ฉินอวี่จึงเริ่มเปิดใช้งานค่ายกลนำส่ง
หอคอยขัดเกลาชั้นที่หก
อันดับหนึ่งกำลังรีบวิ่งอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเผ่าหยาจื้อ และพวกฉือเซียว
ต้องบอกเลยว่า ศิษย์เผ่าหยาจื้อและพวกของฉือเซียวต่างกำลังใอย่างมาก ในความคิดของพวกเขา สิ่งที่ทำให้อันดับหนึ่งต้องตกอยู่ในอาการเช่นนี้ จะต้องเป็สิ่งที่พวกเขาไม่สามารถต้านทานได้อย่างแน่นอน พวกเขาต่างวิ่งตามอันดับหนึ่งมาตลอดทางอย่างไม่รู้ที่มาที่ไป และทุกคนต่างออกแรงกันอย่างสุดกำลังเพื่อแย่งกันขึ้นนำข้างหน้าอย่างสุดชีวิต ไม่มีผู้ใดที่้ารั้งท้าย เพราะกลัวจะถูกบุคคลที่อันดับหนึ่งหวาดกลัวสังหาร
ใน่เวลาอันวิกฤตินี้ แต่ละคนต่างะเิพลังของตนเองออกมาอย่างเต็มที่โดยไม่ปิดซ่อนไว้เลยแม้แต่น้อย ส่วนถังอีิถึงกับต้องกลืนโอสถเพลิงอัคคีจำนวนมากไปอย่างรวดเร็ว
ส่วนฉู่เยว่ฉานที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดก็เปล่งประกายแสงออกมาอย่างสว่างไสว ราวกับแสงของจันทรา ตามหลังอันดับหนึ่งไปอย่างต่อเนื่อง ฉือเซียวและฉู่สยงก็ตามไปด้วยความรวดเร็วเต็มพิกัดเช่นกัน
ส่วนความเร็วของหยางเต้านั้น นับว่ารวดเร็วที่สุดในบรรดาสองสามคนนี้ และแทบจะเทียบได้กับอันดับหนึ่งและอันดับสอง
ชั่วครู่หนึ่ง อันดับหนึ่ง อันดับสอง และหยางเต้า ทั้งสามคนเป็ผู้นำอยู่แถวหน้า โดยมีเสี่ยหยวน ฉือเซียว และคนอื่นๆ ไล่ตามหลังมาอย่างใกล้ชิด ส่วนศิษย์หยาจื้อที่มีระดับการฝึกตนระดับต่ำต่างมีความใอย่างมาก แต่ละคนแทบจะหมดสิ้นเรี่ยวแรง และมีบางคนที่เลือกจะใช้ขุมพลังที่ได้รับการสืบทอด เพราะกลัวว่าจะถูกทอดทิ้งให้เดียวดาย
เมื่อหนีมาถึงชั้นที่สามของหอคอยขัดเกลา ที่นี่มีคนเผ่าหยาจื้ออยู่เป็จำนวนมากแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นแรงปะทุของพลังที่เพิ่มมากขึ้น และการหลบหนีอย่างสุดชีวิตของอันดับหนึ่ง ทำให้พวกเขารีบวิ่งตามหลังไปเข้าร่วมอยู่ในกลุ่มคนที่กำลังวิ่งหนีอย่างสุดชีวิตโดยทันที
ต้องบอกเลยว่า อันดับหนึ่งนั้นมีศักดิ์ศรีที่สูงที่สุดในบรรดาคนหนุ่มสาวของเผ่าหยาจื้อ ดังนั้น ไม่ว่าพวกเขาอยากจะเข้าร่วมหรือไม่ก็เข้าร่วมอยู่ดี
พวกเขาต่างคิดเพียงอย่างเดียว คนที่สามารถทำให้อันดับหนึ่งหลบหนีได้อย่างบ้าคลั่งเช่นนี้จะต้องมีความน่ากลัวมากแน่นอน
ชั้นที่สอง...
เมื่อมาถึงชั้นที่หนึ่ง กองกำลังที่หลบหนีออกมาก็มีจำนวนมากกว่าหนึ่งพันคน และทุกคนต่างวิ่งตามอันดับหนึ่งไปอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางความงุนงง
เมื่อมาถึงปากทางออก อันดับหนึ่งก็รีบเปิดใช้ค่ายกลนำส่ง กองทัพเผ่าหยาจื้อที่ตามหลังมาทั้งหมดต่างพุ่งตรงเข้าค่ายกลนำส่ง จนชนกันอย่างชุลมุนวุ่นวาย
